SCB Financial Markets (SCB FM) มองครึ่งหลังปี 2568 เงินบาทไทยอาจกลับมาแข็งค่าพร้อมประเทศอื่นในภูมิภาค สวนทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลง มีแนวโน้มเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนและตลาดพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้น แนะจับตาผลเจรจาการค้าและนโยบายทรัมป์
วชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทในปีนี้ยังคงผันผวนสูง โดยในปีนี้เงินบาทเคยอ่อนค่าไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าแตะระดับต่ำสุดที่ราว 32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเปลี่ยนแปลงถึง 7.4% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน ความผันผวนนี้มาจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สำหรับครึ่งหลังของปี 2568 ค่าเงินบาทยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยมาจากปัจจัยสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่
1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ: ช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือ Bull Market มีนักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ จำนวนมาก แต่ด้วยผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องแนวทางการรับมือในกรณีที่สหรัฐฯ ขาดดุลการคลังมากขึ้น ต่อเนื่องไปจนถึงการปรับฐานลดลงของตลาดอันเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน และการปรับตัวลดลงของตัวเลขเศรษฐกิจบางตัว ทำให้เงินค่าดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง
2. ค่าเงินในภูมิภาคแข็งขึ้น: ค่าเงินบาทมักมีแนวโน้มแข็งค่าไปพร้อมๆ กับค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาค อาทิ ดอลลาร์ไต้หวัน เยนญี่ปุ่น และวอนเกาหลีใต้
3. ราคาทองคำกลับมาสูงขึ้นบางช่วง: ค่าเงินบาทไปมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับราคาทองคำสูงกว่าประเทศอื่น โดยเมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เงินบาทก็มักแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
4. เงินทุนเคลื่อนย้าย: เมื่อนักลงทุนเริ่มเทขายสินทรัพย์ในตลาดสหรัฐฯ โดยหันไปกระจายความเสี่ยงสู่ตลาดเอเชียและยุโรป ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนลงในปีนี้
สหรัฐฯ ต้องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยวชิรวัฒน์อธิบายว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 110 จุดเมื่อก่อนหน้านี้มีความ Overvalue หรือก็คือแข็งค่าเกินปัจจัยโครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ถึง 15% เนื่องมาจากการขาดดุลการค้าในฐานะผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลกที่นำเข้ามากกว่าส่งออก นำมาสู่นโยบายภาษีสุดโต่งของทรัมป์
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลงและเริ่มมีการขายต่อเนื่องมาเรื่อยๆ อย่างกรณีของจีนที่ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ โดยหันมาสะสมทองคำแทนตั้งแต่ยุคทรัมป์ 1.0 ล่าสุดญี่ปุ่นก็เริ่มเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ เพื่อมาถือสัดส่วนสินทรัพย์ในประเทศของตัวเองมากขึ้น โดยภาพรวมแล้ว SCB FM จึงมองว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
อนึ่ง ยังมีนักลงทุนภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ อยู่ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ไม่ได้สูญเสียความสำคัญและจะยังคงสถานะ reserve currency อยู่โดยมีสัดส่วนที่ 58.2% ในขณะที่เงินยูโรอยู่ที่ 19.8% และเงินหยวนของจีนอยู่ที่ 2.1% ทั้งนี้การถือครองเงินยูโรและเงินหยวนในฐานะ reserve currency มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ไทยได้รับอานิสงส์เงินทุนเคลื่อนย้าย แต่ไม่มาก
เมื่อเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากสหรัฐฯ ย่อมต้องมีจุดหมายปลายทางอื่น นั่นก็คือเอเชียและยุโรป โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังโควิด-19 ผ่านพ้นไป การค้าของประเทศในเอเชียเติบโตขึ้น สิ่งหนึ่งที่เห็นคือรายการฝากเงินในสกุลเงินต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย กล่าวคือมีการซื้อขายแต่ไม่ได้แลกเงินกลับมาเป็นสกุลเงินท้องถิ่น (local currency) ถ้าในปีนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลง ก็มีแนวโน้มการแลกเงินกลับมาเป็นสกุลเงินท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สกุลเงินเหล่านี้อาจแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
“เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มันคือการที่ตลาดปรับมุมมองการลงทุน” วชิรวัฒน์กล่าว พร้อมชี้ให้เห็นภาพว่าที่ผ่านมา นักลงทุนเคยโฟกัสกับตลาดสหรัฐฯ แต่ตอนนี้กลับกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เคยอยากถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ตอนนี้กลับอยากดึงเงินกลับเข้ามาในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศในสัดส่วนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก เงินที่จะดึงกลับมาจึงมีน้อย ขณะเดียวกันความน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน สะท้อนจากสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติที่มีเพียงราว 9.8% เท่านั้น ต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
อีกทั้งสัดส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยในดัชนี JPMorgan Government Bond Index-Emerging Markets ยังถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 8.8% จึงทำให้แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย อาจไหลเข้าไทยไม่มากนัก SCB FM จึงมองกรอบเงินบาทที่ราว 31.50 - 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปีนี้
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของไทย 2 ปีคาดจะอยู่ที่ 1.25-1.45% และ 10 ปีจะอยู่ที่ 1.55-1.80% ณ สิ้นปีนี้ ขณะเดียวกัน SCB FM มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ ในขณะที่มุมมองตลาดคาดการณ์ไว้ที่อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ช่วงเดือนตุลาคมไปที่ 1.25%

SCB พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ช่วยบริหารสภาพคล่อง
ในโอกาสนี้ แพทริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เน้นย้ำบทบาทของ SCB FM ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงินกับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย โดยนำเสนอ 5 ผลิตภัณฑ์และบริการหลัก ประกอบด้วย
1. ธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และเครื่องมือบริหารความเสี่ยง อาทิ FX Forward และ FX Options ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของลูกค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงด้านค่าเงินจากการค้าระหว่างประเทศ
2. การขยายผลิตภัณฑ์ FX และคู่สกุลเงินใหม่ เพื่อรองรับสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ของประเทศปลายทาง สำหรับลูกค้าที่กำลังขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่
3. ช่องทางดิจิทัล อาทิ FX Online และ FX API ที่สามารถเชื่อมต่อธุรกรรม FX เข้ากับระบบ Treasury ของลูกค้าได้โดยตรง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ และการซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง (Secondary Bond) ผ่านแอป SCB Easy เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้กับลูกค้ารายย่อย
4. ผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบ Structured Notes ที่ออกแบบโดยอิงกับหลากหลายสินทรัพย์ อาทิ ค่าเงิน หุ้น และอัตราดอกเบี้ย เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของลูกค้า
5. บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-FCD) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
“การบริหารความเสี่ยงด้วย FX อาจจะไม่เพียงพอในการเติมเต็มโอกาสให้แก่ ลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนที่ยอมรับได้ เพื่อบริหารสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ผสานกับศักยภาพทางเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ และเรามีแผนเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง” แพทริกกล่าว
ภาพ: SCB Financial Markets
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : HSBC เผยผลวิจัย ธุรกิจครอบครัวเอเชียอยาก ‘ส่งต่อ’ ธุรกิจให้ทายาท แต่เกินครึ่งยังไม่มีแผนจริงจัง!
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine