ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับลูกคลัง พร้อมร่วมมือ ‘ฟื้นกองทุน LTF’ ที่เคยช่วยดึงเงินไหลเข้า 4-5 หมื่นล้านบาท - Forbes Thailand

ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับลูกคลัง พร้อมร่วมมือ ‘ฟื้นกองทุน LTF’ ที่เคยช่วยดึงเงินไหลเข้า 4-5 หมื่นล้านบาท

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองบวกกรณีคลังพิจารณานำกองทุน LTF กลับมา เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย พร้อมให้ข้อมูลสนับสนุนกับภาครัฐ เผยในอดีต LTF ช่วยดึงเม็ดเงินเข้าตลาดฯ ปีละ 40,000 - 50,000 ล้านบาท ส่วนภาวะหุ้นไทย เดือน เม.ย. 67 ปรับลดลงเล็กน้อยที่ 0.7% แต่มองว่า FundFlow อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น


    นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET เปิดเผยว่า กรณีที่กระทรวงการคลังกำลังพิจารณานำกองทุน LTF (กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ซึ่งสามารถลดหย่อนภาษีได้) กลับมานั้น ทาง SET สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กำลังให้ข้อมูลเรื่องนี้ และรอที่จะให้คำปรึกษากับภาครัฐอยู่

    ทั้งนี้ การฟื้นกองทุน LTF หากเปรียบเทียบจากแนวทางการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (กองทุน Thai ESG) แล้ว คาดว่าการฟื้นกองทุน LTF จะเห็นความคืบหน้าได้เร็ว

    นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร SET กล่าวว่า ตลาดทุนโชคดีที่มีรัฐมนตรีคลังที่เคยเป็นประธานของตลาดหลักทรัพย์ฯ และเข้าใจกลไกตลาดทุน และมีความเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหากตลาดทุนเข้มแข็ง จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งไปด้วย และเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกันยังต้องติดตามรายละเอียด และเงื่อนไขว่าจะเหมือนหรือแตกต่างจากกองทุน LTF ที่เคยมีหรือไม่

    ทั้งนี้ จากข้อมูลในอดีตพบว่า แต่ละปีพบว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF เข้ามาเฉลี่ยที่ปีละ 40,000 - 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่เพียงการนำเงินมาพักไว้ จึงมีส่วนช่วยในการสนับสนุนตลาดหุ้นไทย

    อย่างไรก็ตาม หากย้อนดูแทนวทางของ กองทุน Thai ESG ที่ออกมาเมื่อปลายปี 2566 พบว่า แม้จะมีระยะเวลาให้ลงทุนเพียง 15 วันในเดือน ธ.ค. แต่มีกองทุนในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 30 กองทุน ทำให้ปัจจุบันมีจำนวน 120 กองทุน (เพิ่มขึ้นมาจากช่วง 10 ปีก่อนที่มีเพียง 2 กองทุนเท่านั้น) ในด้านนักลงทุนพบว่า มีมูลค่าเงินลงทุนราว 6,000 ล้านบาท หรือมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนราว 106,000 บัญชี ส่วนใหญ่เป็น First Jobber

    อีกทั้ง จากการสนับสนุนทุนให้รายย่อยเข้ามามีส่วนในตลาดทุนมากขึ้น ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันลดบทบาทลงไปมาก โดยปัจจุบันอยู่ที่ 8% ลดลงจากเดิมที่อยู่ราว 10 - 11 % และเชื่อว่าแนวโน้มนักลงทุนรายย่อยจะ Active ขึ้น

    ด้าน ภาวะหุ้นไทย สิ้นเดือน เม.ย. 2567 พบว่า SET Index ปิดที่ 1,367.95 จุด ปรับลดลง 0.7% จากเดือนก่อนหน้า ถือว่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค (ปรับลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า) ส่วนผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 3,787 ล้านบาท ถือว่ากลับเข้ามาบางส่วนและปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า (ขายสุทธิ 41,238 ล้านบาท) ซึ่งนับจาก ม.ค. - เม.ย. 67 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 65,075 ล้านบาท

    โดยฝั่งนักลงทุนยังกังวลต่อความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบโลกและทองคำปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งอาจทำให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าคาด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นสวนทางกับดัชนีหุ้นสหรัฐฯ 

    ทั้งนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่มีมติคงดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งจากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ Jerome Powell มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น ขณะเดียวกันได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกในอนาคต ทำให้ผู้ลงทุนปรับความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยของ FED อยู่ที่ 1-2 ครั้งในปีนี้ (ครั้งแรกในเดือน ก.ย. 67)

    ในเดือน เม.ย. 2567 ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนโดยอ่อนค่านำสกุลเงินภูมิภาค ตามการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของ Fed อีกทั้ง ภาคการส่งออกยังมีแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นจากปีก่อน จากแรงส่งด้านบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว รวมทั้งคาดการณ์ว่าจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3-4 จากทั้งรายจ่าย และการลงทุนของรัฐบาลที่หดตัวตาม พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าทำให้นักวิเคราะห์ปรับ Forward EPS ของ SET เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า ขณะที่ valuation ของหุ้นไทยหลาย sector ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : หรือ Apple จะสิ้นความสร้างสรรค์? เมื่อโฆษณา iPad Pro ใหม่ ไม่ได้ปัง แล้วยังพังกว่าที่คิด

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine