ภาคเอกชน กกร. หั่นเป้า GDP ไทยปี 68 เหลือ 2.0-2.2% เสี่ยงต่ำสุด 0.7% ถ้าโดนภาษีทรัมป์สูง 36% - Forbes Thailand

ภาคเอกชน กกร. หั่นเป้า GDP ไทยปี 68 เหลือ 2.0-2.2% เสี่ยงต่ำสุด 0.7% ถ้าโดนภาษีทรัมป์สูง 36%

ที่ประชุมกกร. จาก 3 ภาคเอกชนประกาศปรับลดเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.0-2.2% จากเดิมที่ 2.4-2.9% โดยครั้งนี้มองว่าในกรณีที่ไทยเจอผลกระทบจากภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงสุดที่ 36% อาจทำให้จีดีพีไทยปี 68 เสี่ยงต่ำสุดที่ 0.7%  


    เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 68 จะขยายตัวที่ 2.0-2.2% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.4-2.9% ปัจจัยหลักจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้สถานการณ์ที่ไทยถูกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อัตรา 10% ในช่วงไตรมาส 2/68 (หลังมีการเลื่อนขึ้นภาษีเต็มรูปแบบออกไป 90 วัน) และอัตราภาษีในครึ่งปีหลังยังอยู่ที่ 10%

    จากปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกทั้งปีเติบโตเพียง 0.3-0.9% จากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5-1.0% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 0.8-1.2% เช่นกัน

    แต่ถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 36% ในครึ่งปีหลัง จีดีพีปี 68 จะโตเพียง 0.7%-1.4% เหตุจากการส่งออกทั้งปีอาจหดตัวได้มากถึง -2% ทั้งนี้ ปัจจัยลบจากสงครามการค้าสามารถก่อให้เกิดหลุมรายได้ขนาดใหญ่ถึง 1.6 ล้านล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีให้สำเร็จ ประกอบกับยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในภาวะที่ตลาดสินค้ามีการแข่งขันรุนแรงขึ้น

    ทั้งนี้ จากปัจจัยสงครามการค้ากดดันเศรษฐกิจโลกปี 2568 โตต่ำกว่าคาด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการเติบโตของจีดีพีโลกปี 2568 ลงจาก 3.3% เหลือ 2.8% พร้อมเตือนว่าการกีดกันทางการค้าจะส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกเติบโตเพียง 1.7% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าช่วง European crisis เมื่อปี 2554 ทั้งนี้ประเทศหลักต่างมีสัญญาณลบ ทั้งสหรัฐฯ ที่ความเชื่อมั่นต่อทิศทางอุตสาหกรรมลดลง ส่วนภาคอุตสาหกรรมของจีนมีคำสั่งซื้อลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี สะท้อนถึงความเปราะบางระยะข้างหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอน รวมทั้งเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตในระยะยาว

    มาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กดดันภาคการส่งออก รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและ SME ภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บจะกระทบสินค้าส่งออกหลายกลุ่ม หากถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อัตรา 36% มูลค่าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ อาจจะหายไปสะสมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาทภายใน 10 ปี นอกจากนี้ ยังเพิ่มแรงกดดันต่อกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกจ้างประมาณ 3.7 ล้านคน และ SME เกือบ 5 พันราย ซึ่งต่างมีข้อจำกัดในการปรับตัวต่อภาวะผันผวนที่รุนแรงขึ้น

    ที่ประชุม กกร. สนับสนุนภาครัฐในการดำเนินแนวทางการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดจากสถานการณ์เบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) จากมาตรการขึ้นภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure) เพื่อช่วยปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศไทยที่มีแนวโน้มที่จะได้รับความเสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งภาครัฐจะต้องบูรณาการความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลการนำเข้าและส่งออก มีการใช้ระบบดิจิทัล e-Government เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ ติดตาม และเฝ้าระวังสถานการณ์สินค้านำเข้าจากการเบี่ยงเบนทางการค้า รวมทั้งมีการปรับกระบวนการ โดยให้ภาครัฐสามารถเริ่มเปิดไต่สวนได้ทันทีหากพบว่ามีการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปกติเพื่อให้สามารถป้องกันผลกระทบได้ทันต่อสถานการณ์

    นอกจากนี้ กกร. ยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐฯ โดยท่านนายกรัฐมนตรีได้มีการหารือร่วมกับ กระทรวงพาณิชย์ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาหอการค้าฯ ถึงแนวทางการเพิ่มความเข้มงวดในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไปของไทยให้มากขึ้น ซึ่งเห็นชอบร่วมกันว่าในช่วงเข้มงวดนี้ จะให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่จะออกหนังสือรับรอง Form C/O ทั่วไป สำหรับรายการสินค้าเฝ้าระวังสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันกรมการค้าต่างประเทศ มีการประกาศรายการสินค้าเฝ้าระวังแล้ว จำนวน 65 รายการ เพิ่มขึ้นจากเดิม 49 รายการ

    กกร. มองว่าต้องติดตามผลการเจรจาของประเทศคู่แข่งของไทย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งหากประเทศเหล่านี้สามารถเจรจาขอยกเว้นหรือลดอัตราภาษีนำเข้าได้ต่ำกว่าไทย ก็อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ได้ 

    ขณะเดียวกันการที่สหรัฐฯ และจีนได้ส่งสัญญาณที่จะเตรียมการเจรจาเพื่อคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ ก็เป็นสัญญานบวกต่อการค้าโลก

    ด้านค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วมาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ ถือว่าน่ากังวล ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารฯเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์ อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่นต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงาน และวัตถุดิบโดยเฉพาะในภาคเกษตรฯ ที่ลดลงไปยังภาคการผลิตและภาคประชาชนให้ได้อย่างเป็นระบบ

    ในขณะนี้ สภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างพิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่..) พ.ศ.... ซึ่งมีแก้ไขปรับปรุงกระบวนการฟื้นฟูกิจการของกิจการขนาดย่อม (กิจการที่มีหนี้ไม่เกิน 50 ล้านบาท) โดยเพิ่มเติมการฟื้นฟูกิจการโดยเร่งรัดและเพิ่มเติมการฟื้นฟูฐานะของลูกหนี้บุคคลธรรมดา ซึ่งสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติที่จะปรับปรุงดังกล่าวส่งผลกระทบในวงกว้าง และมีบางประเด็นเป็นหลักการใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้ในประเทศไทยมาก่อน จึงควรมีการศึกษาผลดีผลเสียของการใช้ระบบดังกล่าว รวมถึงกลไกที่คุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ อย่างรอบด้าน เพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ 

    นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาลดความรับผิดของผู้ค้ำประกันลงอันเป็นผลจากการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของระบบการประกันหนี้ด้วยบุคคล ทำให้ กกร. มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อวินัยทางการเงินและการเข้าถึงสินเชื่อใหม่ของกิจการ SMEs ซึ่งไม่มีทรัพย์สินมาเป็นประกัน รวมถึงต้นทุนเครดิตของลูกหนี้สูงขึ้น ดังนั้นการปรับปรุง พรบ. ดังกล่าว จึงควรมีการพิจารณาและศึกษาถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน



Photo by Anastasia Gladkikh on Unsplash



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : พาณิชย์เผยเงินเฟ้อทั่วไปเดือน เม.ย. 68 ลดลง 0.22% จากพลังงาน-ค่าไฟที่ลดลง

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine