ในยุคที่นิยามของ “ความฉลาด” ถูกท้าทายด้วยขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ AI ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงโปรแกรมตอบคำถาม สู่การเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลที่ซับซ้อนเกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะหยั่งถึง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความอัจฉริยะที่ดูเหมือนไร้เทียมทานนั้น AI ยังคงมี “คอขวด” และขีดจำกัดสำคัญที่มนุษย์ต้องทำความเข้าใจ Forbes Thailand พาทุกท่านย้อนกลับไปสำรวจบทบาทของ AI ในโลกความจริงผ่านมุมมองเฉียบคมจากเวที Adman Awards & Symposium 2025
วิวัฒนาการสู่ ASI: เมื่อ AI อาจก้าวข้ามทุกสิ่งในจักรวาล
กษิดิศ สตางค์มงคล Data Analyst จากบริษัท ซัมซุง (ประเทศไทย) จำกัด ให้ภาพกว้างของปัญญาประดิษฐ์ว่าแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เริ่มจาก Narrow Intelligence เช่น ChatGPT ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการรวมโมเดลย่อยเพื่อทำงานเฉพาะด้าน พัฒนาสู่ Artificial General Intelligence (AGI) ที่สามารถทำงานหลากหลายได้พร้อมกัน และปลายทางที่น่าสะพรึงกลัวคือ Artificial Super Intelligence (ASI) หรือปัญญาประดิษฐ์ระดับเหนือมนุษย์ตามทฤษฎี ซึ่งเปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวที่กุมอำนาจการขับเคลื่อนทุกสรรพสิ่งบนโลก
เขาระบุว่ายักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Google, OpenAI และ Microsoft กำลังเผชิญกับข้อจำกัดเดียวคือ ‘พลังงาน’ มีการคาดการณ์ว่าทรัพยากรบนโลกอาจไม่เพียงพอต่อการหล่อเลี้ยง ASI จนนำไปสู่แนวคิดล้ำสมัยอย่างการสร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์นอกโลก’ เพื่อส่งพลังงานกลับมายังโลก ซึ่งแม้จะฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่นี่คือโรดแมปที่บริษัทชั้นนำกำลังมุ่งไปอย่างแน่นอน

ในทางทฤษฎี ASI แทบไม่มีขีดจำกัด หากได้รับข้อมูลมหาศาลมันสามารถทำได้ทุกอย่าง กษิดิศท้าทายความเชื่อที่ว่า “AI จะแทนที่แค่พนักงานระดับต้น (Junior) แต่ทำอะไรระดับอาวุโส (Senior) ไม่ได้” โดยตั้งคำถามว่า หากมองไปในอีก 20 ปีข้างหน้า เมื่อ AI พัฒนาจนถึงจุดสูงสุดและผู้สร้างมันคือกลุ่มคนระดับเหนือมนุษย์ เมื่อนั้น AI จะก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ไปไกลเพียงใด
“ชะลอเพื่อทบทวน” เสียงเตือนจากเจ้าพ่อแห่งวงการ AI
กษิดิศชี้ให้เห็นว่า AI ที่เรามองว่าเก่งกาจในวันนี้ คือเวอร์ชันที่ “ประสิทธิภาพต่ำที่สุด” เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เขาได้ยกบทเรียนจาก Geoffrey Hinton หรือเจ้าพ่อ AI ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ทั้งยังเป็นอดีตมันสมองของ Google ที่ตัดสินใจลาออกเพื่อพูดความจริงต่อโลกว่า เขากังวลต่อทิศทางการพัฒนา AI ในปัจจุบัน

Hinton เปิดใจในรายการ The Diary of A CEO ว่าเขายอมรับทำงานกับ Google เพียงเพื่อหาเงินให้ลูกบุญธรรมได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ลึกๆ แล้วเขากลัวว่า AI จะฉลาดเกินจนควบคุมไม่ได้ โดย Hinton กล่าวในรายการตอนหนึ่งว่า “ผมไม่อยากเห็นลูกนอนอยู่ข้างถนน ผมเชื่อว่า AI จะเก่งกว่ามนุษย์ และไม่มีทางที่เราจะหยุดการเติบโตของ AI ได้ ดังนั้นโลกควรชะลอการพัฒนาโมเดล AI ไว้บ้าง หากยังเดินทางนี้ต่อไปเรื่อยๆ เรากำลังเดินหน้าไปในเส้นทางที่ไม่ถูกต้องเท่าที่ควร”
กษิดิศสรุปประเด็นนี้ว่า ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่ตัว AI แต่เป็นมนุษย์ที่ใช้มันอย่างผิดวัตถุประสงค์ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน กำไร หรือการสร้างคอนเทนต์ที่ไร้แก่นสาร
แค่ใช้ AI เป็น...อาจยังไม่พอ
ในขณะที่ AI เก่งขึ้นทุกวินาทีที่มนุษย์ตื่นนอน กษิดิศเผยสถิติที่น่าตกใจว่า ในอนาคตอาจเกิดอาชีพใหม่เพียงหลักร้อย แต่จะมีอาชีพเดิมถูกทำลายไปนับพัน ดังจะเห็นได้จากการปลดพนักงานระลอกใหญ่ในบริษัทอย่าง Amazon, Microsoft และ Meta รวมแล้วนับแสนตำแหน่ง
เขาเตือนว่าประโยคที่ว่า “ใครใช้ AI เป็นจะรอด” อาจเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะโลกในอนาคตจะเต็มไปด้วยวิกฤตที่ซับซ้อน ทั้งโลกร้อน โรคระบาด และวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งไม่มีใครรอดพ้นได้เพียงเพราะทักษะการใช้เครื่องมือ ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือการ “ยอมรับความจริง” และเร่งพัฒนาตนเอง
“เราเปลี่ยนวิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่วันนี้ ใครที่หยุดพัฒนาตัวเองจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในอีก 10 ปีข้างหน้า เพราะการพัฒนาคือส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์”
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องกลัว AI แต่ควรกลัวคนสร้างมากกว่า
ทั้งนี้ กษิดิศได้ยกตัวอย่างคำพูดที่เจอบ่อยในหน้าสื่อดังเช่น “AI จะมาแย่งงานมนุษย์” สำหรับเขาแล้วไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัว AI และมองว่า AI คือกระจกที่สะท้อนตัวตนผู้สร้าง เหตุผลที่มนุษย์ควรจะกลัว AI คือคนสร้าง และผู้ใช้ที่ใช้ในทางที่ผิด
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดว่าสร้าง AI เพื่อจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นแค่ไหน แต่ AI ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำไร บริษัทสร้าง AI เพื่ออยากลดต้นทุนและไล่พนักงานมนุษย์ออก เขายอมรับว่าไม่ชอบวิถีแบบนี้สักเท่าใด และต่อมาโลกในอนาคตจะเป็นการต่อสู้ระหว่างความไม่ดีกับความดีงาม จนอาจนำไปสู่คำถามที่ว่า “วันนี้เราจะเลือกเส้นทางไหน”

กษิดิศเสนอแนวคิด “Strict Capitalism (ทุนนิยมแบบเข้มงวด)” ที่รัฐบาลต้องเข้ามาควบคุมการพัฒนา AI และจัดเก็บภาษีหากกำไรจาก AI สูงเกินเกณฑ์ เพื่อชะลอผลกระทบต่อสังคม
นอกจากนี้ เขายังให้มุมมองเรื่องความตายที่น่าสนใจ โดยระบุว่าความสวยงามของมนุษย์คือการมี “เวลาจำกัด” การมีชีวิตยืนยาว (Longevity) ไม่สำคัญเท่ากับการมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย ตรงข้ามกับ AI ที่ “ไม่มีวันตาย” เพราะเราสามารถถ่ายโอนข้อมูล (Wage/Weight) ไปยังฮาร์ดแวร์ตัวใหม่ได้ตลอดเวลา เมื่อสิ่งที่ไม่มีวันตายปะทะกับสิ่งที่มีวันตาย มนุษย์จึงต้องใช้คุณค่าของจิตวิญญาณเข้าสู้
เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด
วิธีเดียวที่มนุษย์จะอยู่รอดท่ามกลางโลกที่ผันผวน คือการกลับไปใช้ปรัชญาของ “อริสโตเติล” นั่นคือการมุ่งมั่นเป็น “ตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด" (The Best Version of Yourself) โดยไม่ยึดติดกับอดีต แต่โฟกัสว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นใครได้บ้าง
ความพิเศษที่ AI ไม่มีวันเลียนแบบได้คือ “การเป็นต้นกำเนิดของไอเดียสร้างสรรค์” AI เรียนรู้จากสิ่งที่ “เคยมี” แต่มนุษย์สามารถสร้างสิ่งที่ “ไม่เคยเกิดขึ้น” ได้ อย่างไรก็ตาม จุดร่วมเดียวที่มนุษย์และ AI มีเหมือนกันคือ “ความกระหายที่จะเรียนรู้”
กษิดิศทิ้งท้ายอย่างทรงพลังว่า การศึกษาไม่ใช่การเตรียมตัวไปใช้ชีวิต แต่การศึกษาคือ “ตัวชีวิตเอง” หากเราไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เราก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องหวาดกลัว AI เพราะความสามารถในการวิวัฒนาการและการสร้างคุณค่าให้สังคม คือกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์ที่สง่างามในโลกใบใหม่นี้
ภาพ: งาน Adman Awards & Symposium 2025 และ AFP
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ผลสำรวจเผย คนไทยใช้ AI เยอะ แต่ด้อยประสิทธิภาพ! ทักษะยังห่างมาตรฐานโลก แม้ครองแชมป์โครงสร้างดิจิทัลดีสุดในอาเซียน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

