ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับการทำงานยังคงเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งความกลัวจะถูกแย่งงานและความกังวลว่าจะไล่ตามเทคโนโลยีใหม่ให้ทันได้อย่างไร แต่สำหรับพนักงาน Microsoft ราว 3% ความวิตกกังวลเหล่านั้นได้เกิดขึ้นจริงแล้ว
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอย่าง Microsoft ประกาศปลดพนักงาน 6,000-7,000 คน คิดเป็นเกือบ 3% ของแรงงานทั้งหมดทั่วโลก โดย ณ เดือนมิถุนายนปี 2024 บริษัทมีพนักงานราว 228,000 คน ประจำอยู่ที่สหรัฐอเมริกา 126,000 คน และอยู่ต่างประเทศ 102,000 คน
“เราดำเนินการปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับองค์กรเพื่อประสบความสำเร็จในตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง” Pete Wootton โฆษกของ Microsoft กล่าว
ด้าน Amy Hood ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Microsoft เผยในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2025 ที่ผ่านมาว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น 2-3% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ “อัตราผลกำไรจากการดำเนินงานก็เพิ่มขึ้น 1% เทียบกับปีก่อนหน้า รวมเป็น 46% สูงกว่าที่คาด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสร้างทีมที่มีศักยภาพสูง และเพิ่มความคล่องตัวโดยการปรับลดขั้นตอนการทำงานและจำนวนพนักงานระดับผู้จัดการลงบางส่วน”
การตัดสินใจปลดพนักงานในครั้งนี้ ยังเป็นไปเพื่อให้มุ่งเน้นกับทรัพยกรที่จำเป็น และประหยัดงบเพื่อนำไปเป็นทุนในการพัฒนา AI
“เราทุ่มเงินลงทุนมหาศาลกับ AI เพราะมองเห็นประโยชน์ที่ผู้คน อุตสาหกรรม และสังคมจะได้จากมัน” บริษัทเผยข้อความดังกล่าวบนเว็บไซต์ โดยสำนักข่าว Reuters รายงานว่า การลงทุนใน AI ครั้งนี้ไม่ใช่การพัฒนาตัวเทคโนโลยี AI โดยตรง แต่มุ่งเน้นการนำ AI ไปใช้ประโยชน์จริงในการทำงานต่างๆ
ทั้งนี้ หุ้นของ Microsoft มีราคาแตะ 449.26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สูงสุดในปีนี้ ณ ตอนนี้ และเมื่อก่อนหน้านี้ ทางบริษัทก็เปิดเผยรายได้ประจำไตรมาสที่ 7 หมื่นล้านเหรียญ สูงกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ Satya Nadella ผู้เป็นซีอีโอเผยว่า บริษัทจะทุ่มเงิน 8 หมื่นล้านเหรียญตลอดปีงบประมาณ 2025 เพื่อการพัฒนา AI
แหล่งที่มา:
Microsoft Layoffs Impact 7,000 Workers As Company Adjusts For AI
Microsoft layoffs today: Tech giant cuts around 6,000 jobs, nearly 3% of workforce
ภาพ: AFP
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เอาด้วยไหมถ้าให้ AI สอนภาษา? Duolingo ประกาศเลิกจ้างพนักงานบางส่วน และนำ AI มาช่วยผลิตคอนเทนต์แทน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine