Microsoft เผยข้อดีระบบ AI ขณะที่พนักงานไทย 66% กังวลใจกลัวถูกแย่งงาน - Forbes Thailand

Microsoft เผยข้อดีระบบ AI ขณะที่พนักงานไทย 66% กังวลใจกลัวถูกแย่งงาน

Microsoft เผยข้อมูลเชิงลึกปี 2023 ของการใช้เทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI ในภาคธุรกิจ โดย 86% ของพนักงานไทยต้องการให้ AI ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่การทำงาน ขณะที่ 66% พนักงานเกิดความกังวลระบบดังกล่าวจะแย่งงานตนเอง


    หลังเปิดบริการ Microsoft 365 Copilotไปเมื่อต้นปี โดยนำจุดแข็งความอัจฉริยะของระบบ AI มาเสริมศักยภาพของแอปพลิเคชันที่มีผู้ใช้หลายล้านคนในทุกวันอย่าง ไมโครซอฟท์ เวิร์ด เอ็กเซล พาวเวอร์พ้อยต์ เอ้าท์ลุค ไมโครซอฟท์ ทีมส์และอื่นๆ

    ล่าสุด Microsoft ประกาศเดินหน้าขยายให้ลูกค้าทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยมีทดลองใช้งาน Microsoft 365 Copilot มากขึ้น พร้อมเปิดข้อมูลเชิงลึกจากงานวิจัย Work Trend Index ปี 2023 ถึงมุมมองความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในชีวิตการทำงานยุค AI

    สุภาณี อนุวงศ์วรเวทย์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด และปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า เทคโนโลยี AI ส่งผลให้วิธีการทำงานต้องเปลี่ยนไปในทุกด้าน จากเดิมที่มีระบบอัตโนมัติทั่วไปในการทำงาน มาเป็นระบบผู้ช่วยที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างชาญฉลาด ทำให้พนักงานหลุดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่า ‘Digital Debt’ หรือภาระงานที่เกิดจากการโต้ตอบกันทางอีเมล แชท และประชุม จนไม่สามารถไปคิดค้นนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาได้


    “เมื่อการทำงานเปลี่ยนไปเพราะ AI คนทำงานก็ต้องพัฒนาตนเองให้เท่าทันเช่นกัน พนักงานส่วนใหญ่ในไทยมองว่า AI เป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา จากรายงาน Work Trend Index 2023 ระบุว่า พนักงานไทยถึง 86% ยินดีที่จะมอบหมายให้ AI ทำงานแทนให้ได้มากที่สุด เพื่อลดภาระงานลง ดังนั้นผู้บริหารในยุคนี้ จึงมีโอกาสและแรงผลักดันให้ต้องเร่งทำความเข้าใจวิธีใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อลดความจำเจในการทำงาน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และยกระดับความเชี่ยวชาญด้าน AI ไปพร้อมๆ กัน”

    ทั้งนี้ Microsoft ได้เผยรายงานเชิงลึก Work Trend Index 2023 ชี้ให้ผู้นำธุรกิจเห็นถึงข้อสรุปที่สำคัญ 3 เรื่องใหญ่เพื่อทำความเข้าใจและนำเอไอมาใช้ในองค์กรอย่างถูกต้องเหมาะสม ได้แก่


    1. Digital Debt หรือการยับยั้งการสร้างนวัตกรรมใหม่ ไมโครซอฟท์ มองว่า ปัจจุบันพนักงานทุกคนล้วนมีภาระในโลกดิจิทัลของที่ทำงาน มีข้อมูล อีเมล และแชทปริมาณมหาศาลตลอดวัน จนไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจได้ในทุกส่วน

    ดังนั้น การนำ AI เข้าไปประยุกต์ใช้ จึงเป็นโอกาสในการทำให้การสื่อสารมีประสิทธิผลมากขึ้น เพราะยิ่งเสียเวลาไปกับภาระ digital debt เหล่านี้มากเท่าไร ยิ่งทำให้พนักงานไม่มีเวลาใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น มีข้อมูลเวลาทำงานใน Microsoft 365 ชี้ว่าโดยเฉลี่ยพนักงานใช้เวลาทำงาน 57% ไปกับการติดต่อประสานงาน และเพียง 43% ในการสร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้นมา ส่วนอุปสรรคอันดับหนึ่งที่ขัดขวางประสิทธิผลในการทำงาน คือ การประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพ

    2. เทคโนโลยี AI พร้อมเป็นพันธมิตรคู่ใจคนทำงาน โดย Microsoft มองว่า พนักงานส่วนใหญ่ในไทย 66% มีความกังวลที่จะถูก AI แย่งงาน ขณะที่ 86% ต้องการให้ AI ช่วยแบ่งเบาภาระงานให้ได้มากที่สุด ซึ่ง 9 ใน 10 คน ของพนักงานต้องการแบ่งงานที่ซับซ้อนให้ AI ทำ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือการสร้างสรรค์งานใหม่ๆ โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่งานเอกสารธุรการทั่วไป

    3. พนักงานทุกคนต้องเชี่ยวชาญ AI เรียนรู้ในด้านใหม่ๆ เช่น การวางโครงสร้างและเขียนคำสั่งสำหรับเอไอ (prompt engineering) แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเอไอเท่านั้น ข้อมูลเชิงลึกชี้ว่า ผู้บริหารในไทยกว่า 90% คาดว่า พนักงานจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในยุค AI 

    ขณะที่ พนักงานไทย 86% ระบุว่า พวกเขายังขาดความสามารถที่เหมาะสมในการทำงานให้สำเร็จ ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าทักษะใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญด้านเอไอ จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน พร้อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างนับตั้งแต่แนวทางการเขียนเรซูเม่ ไปจนถึงประกาศรับสมัครงาน

    อย่างไรก็ตาม สัตยา นาเดลลา ซีอีโอ ของบริษัท Microsoft ได้ออกมากล่าวก่อนหน้านี้ว่า เทคโนโลยีใหม่ของ AI ที่บริษัทได้ประกาศโครงการ Microsoft 365 Copilot เพื่อให้ลูกค้าในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ 600 รายทั่วโลกได้มีโอกาสใช้งานนั้น จะช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ยอดเยี่ยม เอกสารที่ยอดเยี่ยม พาวเวอร์พอยต์ที่ยอดเยี่ยม และงานศิลปะ รวมถึงทำการวิเคราะห์ขั้นสูงโดยใช้ข้อความค้นหาที่เป็นภาษาธรรมชาติมากขึ้น



อ่านเพิ่มเติม: บลูบิค เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยี ปี 66-69 เขย่าโลกธุรกิจ


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine