‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ ยังโตต่อเนื่อง รายได้พุ่ง 3.26 หมื่นล้าน ขยับสู่ผู้ผลิตอาหารอันดับ 6 ของไทย - Forbes Thailand

‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ ยังโตต่อเนื่อง รายได้พุ่ง 3.26 หมื่นล้าน ขยับสู่ผู้ผลิตอาหารอันดับ 6 ของไทย

อายิโนะโมะโต๊ะ ปี 2567 กวาดรายได้ในไทยรายได้ถึง 32,663 ล้านบาท ขยับสู่ผู้ผลิตอาหารอันดับ 6 ของประเทศ ล่าสุดประกาศทิศทางใหม่ ขอลบภาพผู้ผลิตเครื่องปรุงรสแบบดั้งเดิม ทรานส์ฟอร์มตัวเองสู่ “เวลบีอิ้งคอมปะนี” หวังโตต่อและพิชิตใจคนรุ่นใหม่ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก “ขยายตลาด-หนุนโภชนาการกีฬา-พึ่งพาเทคโนโลยี FarmAI ลดคาร์บอน”


    จากความท้าทายของธุรกิจอาหารในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเงินเฟ้อ พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค และความใส่ใจเรื่อง ESG บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ได้ปรับตัวรับทุกความท้าทายและพัฒนาสินค้าไปอีกขั้นเพื่อพิชิตใจคนยุคใหม่ สร้างมิติใหม่ให้กับวงการธุรกิจอาหาร ทำให้ในปีที่ผ่านมา อายิโนะโมะโต๊ะ สร้างรายได้ถึง 32,663 ล้านบาท และกระโดดก้าวข้ามจากบริษัทผู้ผลิตอาหารรายใหญ่อันดับ 8 ในประเทศไทยในปี 2566 ขึ้นมารั้งอันดับ 6 ได้ในปี 2567 ที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทฯ ได้พยายามยกระดับการสร้างความกินดีมีสุขให้คนไทยไปอีกขั้น ด้วยการส่งสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาด แต่ภาพจำของบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ในมุมมองของผู้บริโภคไทยก็ยังคงเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องปรุงรสแบบดั้งเดิมเหมือนเมื่อ 65 ปีที่เข้ามาตั้งฐานผลิตผงชูรสในประเทศไทย

    “เรากำลังจะทรานส์ฟอร์มอายิโนะโมะโต๊ะ จากบริษัทเครื่องปรุงรสแบบดั้งเดิม สู่บริษัทในมุมมองใหม่ซึ่งนำความกินดีอยู่ดีสู่คนไทยและการเข้าถึงลูกค้าคนรุ่นใหม่ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การขยายตลาดและสร้างการเติบโต การหนุนโภชนาการกีฬาให้ทัพนักกีฬาและคนไทย และการใช้เทคโนโลยี FarmAI ช่วยลดคาร์บอนสร้างความยั่งยืน” อิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว


    แม้ความท้าทายเรื่องสงคราม ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นและนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ทำให้การวางแนวทางการดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างลำบาก แต่บริษัทยังจะมีการขยายการลงทุนต่อเนื่องในไทยตามแผนที่วางไว้ เพราะไทยเป็นตลาดในเอเชียที่มีความสำคัญกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

    อิชิโระ กล่าวว่า แผนการลงทุนขยายตลาดและสร้างการเติบโตในเมืองไทยนั้น อายิโนะโมะโต๊ะได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ “กินดี มีสุข” และเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรส ด้วยการปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้เป็นมิตรเข้าถึงง่าย โดยใช้ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะสร้างประสบการณ์ความสนุกและความอร่อยในการทำอาหาร

    ขณะเดียวกันก็รีเฟรชการสื่อสาร กาแฟเบอร์ดี้ ให้ทันสมัยเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์หมวดอาหารแช่แข็งสไตล์ญี่ปุ่นที่กินง่ายและดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน แบบ Ready-to-eat เจาะกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันที่ชีวิตรีบเร่งแต่ยังใส่ใจสุขภาพ

    นอกจากนี้ ยังเตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดอะมิโน ที่ใช้นวัตกรรมจาก “AminoScience” เพื่อตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของคนในทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ กลุ่มคนที่รักการเล่นกีฬา หรือผู้ที่ใส่ใจด้านสุขภาพและความงาม ด้านเซอร์วิส “แอปพลิเคชัน i-LiveWell – แพลตฟอร์มกินดีมีสุขฉบับมนุษย์เงินเดือน” บริษัทฯ วางแผนผนึกพันธมิตรธนาคาร ประกันสุขภาพ โค้ชสุขภาพ และ telemedicine เป็นต้น

    ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการนำเทคโนโลยี FarmAI มาใช้ เพื่อช่วยลดคาร์บอนสร้างความยั่งยืน บริษัทตั้งเป้าลดใช้คาร์บอน พร้อมเพิ่มปริมาณการตรวจสอบกลับ (traceability) จากโครงการ “Thai Farmer Better Life Partner” ขึ้นเป็น 45,000 ตัน หรือประมาณ 30% โดยมีแอปพลิเคชัน FarmAI เป็นเครื่องมือใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการตรวจสอบกลับการดำเนินงานในระบบ ecosystem พร้อมเดินหน้าโมเดล Ajinomoto FD Green one-stop service มีการใช้เทคโนโลยียกระดับการเกษตร เพิ่มผลผลิตและให้ความรู้แก่เกษตรกรมันสำปะหลังและกาแฟเพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการลดคาร์บอนตามเป้าหมายใน Scope 3

    “จากกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ จะยังเติบโตธุรกิจได้ต่อเนื่อง และมั่นใจว่าอายิโนะโมะโต๊ะ จะเป็น Well-Being Company ที่บรรลุเป้าหมายในการสนับสนุนความ “กินดี มีสุข” แก่สังคมไทยผ่านโภชนาการที่ดี ด้วยนวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพชีวิตที่ดีแก่คนไทยและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” อิชิโระ กล่าว

    อิชิโระกล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะเห็นการเติบโตของยอดขายของอายิโนะโมะโต๊ะโดยรวมอย่างต่อเนื่อง และในธุรกิจแต่ละประเภทจะต้องมีการเติบโตมากกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมนั้นๆ โดยเฉพาะในสินค้า 3 แบรนด์หลักได้แก่ อายิโนะโมะโต๊ะ รสดี และเบอร์ดี้

    ในปีที่ผ่านมา อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) ทำรายได้ 32,663 ล้านบาท ธุรกิจของบริษัทยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะสินค้าของบริษัท โดยเฉพาะ 3 แบรนด์ ได้แก่ อายิโนะโมะโต๊ะ รสดี และกาแฟเบอร์ดี้ ที่เป็นผู้นำตลาดและครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 90%, 80% และ 50% ตามลำดับ และยังมีการเติบโตต่อเนื่อง



    พนิดา เนื่องรักษา ผู้จัดการหน่วยงาน Household Business กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาธุรกิจสินค้า household ได้ออกสินค้าใหม่ที่เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่หลายตัว ได้แก่ “รสดีเมนู แป้งชุบทอดปรุงรสสำเร็จ” สูตรลดการอมน้ำมัน 30% และลดโซเดียม “รสดีมายด์” ลดเกลือลง 15% และ“รสดีซุปก้อน ฮอทพอท รสซุปหม่าล่า” เพิ่มความสะดวกในการทำอาหารมากขึ้น และได้เปิดตัวเบอร์ดี้ทั้งสูตรใหม่เพื่อสุขภาพและในบรรจุภัณฑ์ใหม่คือ “เบอร์ดี้คาเฟ่” แบบขวด PET สู่ตลาด ประกอบกับการทำการสื่อสารที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและเป็นมิตรมากขึ้น ทำให้กลุ่มธุรกิจนี้เติบโตได้

    วันนเรศวร์ สุขีลักษณ์ ผู้จัดการหน่วยงาน Nutrition และ Well-Being กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาสินค้า 2 กลุ่มคือ food supplement และ sport nutrition เพื่อตอบโจทย์คนที่ต้องการนอนหลับลึกและคนรักการออกกำลังกาย เมื่อเร็วๆ นี้ได้แนะนำ อะมิโนไวทัล ฟิทท์ กลิ่น บลัดออเร้นจ์ จำหน่ายในช่องทางออนไลน์และเจ็ทส์ ฟิตเนส 7 สาขา จากก่อนหน้านี้ได้วางตลาด “อายิโนะโมะโต๊ะ อะมิโนไนท์” และ อะมิโนไวทัล วอเตอร์ชาร์จ สู่ตลาด

    นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว “อายิโนะโมะโต๊ะ ควิก มีล” โจ๊กพร้อมทานและเตรียมเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์หมวดอาหารแช่แข็งสไตล์ญี่ปุ่นที่กินง่ายและดีต่อสุขภาพด้วย

    พิมพ์สร เลิศอุตสาหกูล ผู้จัดการหน่วย Food Vender Business กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะนำสินค้าเจาะตลาดร้านอาหารอีสานมากขึ้น จากที่ผ่านมาได้ขยายตลาดเข้าร้านสตรีทฟู้ดไปแล้ว โดยร้านสตรีทฟู้ด มีสัดส่วนถึง 90% ของร้านอาหารไทยโดยรวมที่มีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาท และมีจำนวนร้านค้าประมาณ 7 แสนถึง 1 ล้านแห่งทั่วประเทศ จากตัวเลขนี้คาดว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวมากกว่า 2 แสนร้านค้า นอกจากสินค้าเครื่องปรุงรสในรูปแบบผงแล้ว บริษัทได้วางตลาดสินค้าในรูปแบบอื่นๆ สู่ตลาดด้วย อาทิ “ซุปก๋วยเตี๋ยวรสดี แบบน้ำ สูตรซุปกระดูกหมูเคี่ยวนาน” และ “อายิพลัส ผงนัวสูตรเข้มข้น” ที่ช่วยให้ปรุงอาหารได้อร่อยคงที่


    ทิพย์วดี กรุมรัมย์ ผู้จัดการหน่วย New Business Creation เปิดเผยว่า บริษัทจะเข้ามาขับเคลื่อนนวตกรรมอาหารมากขึ้นใน 3 ด้านคือ โภชนาการเฉพาะบุคคล โปรตีนทางเลือก และเทคโนโลยีการหมัก และมีการร่วมมือกับสตาร์ทอัพทั้งในไทยและเอเชียทั้งในระยะกลางและระยะยาว เพื่อต่อยอดธุรกิจและขับเคลื่อนสินค้านวตกรรมอย่างยั่งยืน

    แม้ขณะนี้จะมีความท้าทายจากทั้งนอกและในประเทศ อาทิ การเมืองระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่ยังไม่มีผลกระทบกับอายิโนะโมะโต๊ะมากนัก เพราะบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทโลจิสติกส์ส่งสินค้าเข้าไปทั้งทางบกและทางทะเล ส่วนผลกระทบกับมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกานั้นยังไม่มี เพราะบริษัทไม่ได้ส่งออกสินค้าไปตลาดอเมริกา แต่มีผลกระทบทางอ้อมที่ได้รับคือ การที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำให้บริษัทบริษัทต้องมอนิเตอร์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นรายเดือน พร้อมกับเตรียมมาตรการที่ยืดหยุ่นพร้อมปฏิบัติในทันทีได้

    “สิ่งที่เราเป็นห่วงที่สุดคือ การรับมือกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยในเมืองไทย ทำให้การบริโภคเปลี่ยนไป และการลดลงของประชากรเกิดใหม่ อายิโนะโมะโต๊ะพร้อมรับมือ แล้วประเทศไทยพร้อมรับมือหรือยัง” อิชิโระกล่าวทิ้งท้าย



ภาพ: อายิโนะโมะโต๊ะ



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ถึงคราวพิสูจน์ ‘ภัตตาคารฟูจิ’ ไม่ได้เก่งแค่อาหารญี่ปุ่น ทนา กรุ๊ป ลุยเปิดร้านอาหารไทย ‘ชอบ บราสเซอรี่’

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine