เทรนด์ ‘เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก’ ยังฮอต! ทาสยอมเปย์หนักสูงสุดตัวละ 50,500 บาท/ปี - Forbes Thailand

เทรนด์ ‘เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก’ ยังฮอต! ทาสยอมเปย์หนักสูงสุดตัวละ 50,500 บาท/ปี

FORBES THAILAND / ADMIN
10 Sep 2025 | 09:49 AM
READ 256

วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เปิดข้อมูลสุดอินไซต์ของอนาคตตลาดสัตว์เลี้ยงไทย ซึ่งยังคงเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตา ชี้คนยุคใหม่หันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกครอบครัวมากขึ้น ดันมูลค่าโตแรง คาดปี 69 ทะลุ 1.01 แสนล้านบาท โดยยังพบกลุ่ม Pet Humanization ช็อปไม่อั้นใช้จ่ายสูงสุดเฉลี่ยกว่า 50,500 บาทต่อปี/ตัว ซึ่งกำลังกลายเป็นกำลังซื้อหลักของตลาด


    อาจารย์ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวในงานสัมมนา "Pawssible Society: Pet in the City" ว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไทยที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง คนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากมีลูกเพิ่มขึ้น วิถีชีวิตคนเมืองที่นิยมอยู่คนเดียวมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้คนเมืองหันมานิยมเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น

    เพราะนอกจากสัตว์เลี้ยงจะน่ารัก มอบความสุขทางใจ และเป็นเพื่อนคลายเหงาได้อย่างดีแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเลี้ยงลูกจริงๆ จึงทำให้เทรนด์การเลี้ยงสัตว์เสมือน “สมาชิกในครอบครัว” (Pet Humanization) ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถิติที่น่าสนใจระบุว่าชาว Pet Humanization ยอมใช้จ่ายเงินเพื่อสัตว์เลี้ยงสูงถึง 50,500 บาทต่อปี/ตัว ในขณะที่ Pet Owners ธรรมดามีค่าใช้จ่ายเพียง 7,910 บาทต่อปี/ตัว



    โดยพฤติกรรมเจ้าของที่พร้อมทุ่มเทและทุ่มทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของสมาชิกในครอบครัวนี้ นับเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงไทยเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ยปีละ 13.2% จาก 3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 พุ่งแตะ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าจะทะลุ 1.01 แสนล้านบาทในปี 2569


    กระแสดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดว่าหัวใจของตลาดสัตว์เลี้ยงวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่สินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการดูแลขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังต้องตอบโจทย์ “Peace of Mind” ที่ทำให้เจ้าของมั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงจะมีชีวิตที่ดีและอายุยืนยาว ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของผู้ประกอบการและนักการตลาดควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

    อาจารย์ประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่มากยิ่งขึ้น CMMU จึงได้จัดทำงานวิจัย “โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P - กรอบกลยุทธ์เชิงธุรกิจสัตว์เลี้ยง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม แรงจูงใจ และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการสำหรับสัตวเลี้ยงเพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดเข้าใจพฤติกรรมผู้โภค และสามารถนำผลวิจัยไปต่อยอดและพัฒนากลยุทธ์เชิงธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    โดยการทำวิจัยครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่าง 357 คน (Baby Boomers & Gen X = 102 คน Gen Y = 155 คน และGen Z = 100 คน) ในจำนวนนี้เป็นเจ้าของสุนัข 160 คน แมว 160 คน และสัตว์เลี้ยงพิเศษหรือ Exotic Pets อีก 37 คน

    จากการเจาะอินไซต์พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและบริการของผู้เลี้ยงใน 4 หมวดหลัก ได้แก่ ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods) การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) และเทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) มีผลที่น่าสนใจ ดังนี้

    1) ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods) พบว่า ผู้เลี้ยงตัดสินใจเลือกซื้ออาหารโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบมากที่สุดถึง 56% ตามด้วยราคาที่เหมาะสม 45% ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ 41% และจากรีวิวและความสะดวกในการซื้อ 20%

    โดยมีการใช้จ่ายเงินอาหารสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยสูงถึง 32,000 บาทต่อปี/ตัว และยังมีกลุ่มที่ยอมจ่ายเงินมากกว่า 36,000 บาทต่อปี/ตัว สูงถึง 30% และยอมจ่ายมากกว่า 120,000 บาทต่อปี/ตัว ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม Super Premium Segment ถึง 7.4% โดยมี Gen Y ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวไม่มีลูก นิยมเลี้ยงสัตว์แทนลูก มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงและสัดส่วน Top Spender มากที่สุด เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด


    2) การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) พบว่าผู้เลี้ยงนิยมพาสัตว์เลี้ยงไปรับบริการด้านสุขภาพที่คลินิกมากที่สุด 63.3% โรงพยาบาลเอกชน 57.1% โดย 3 อันดับบริการยอดนิยม ได้แก่ ฉีดวัคซีน 86.3% ตรวจสุขภาพ 65.3% ทำหมัน 61% ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 10,000 -30,000 บาทต่อปี/ตัว

    โดย Gen Z ให้ความสำคัญกับสุขภาพสัตว์มากที่สุด ส่วนเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกสถานพยาบาล ทุก Gen ลงความเห็นตรงกันว่าเลือกจากใกล้บ้าน ราคาสมเหตุสมผล และความเชี่ยวชาญของสัตวแพทย์เป็นหลัก และ 3 บริการสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ Grooming 51.6%, Hotel 18.5% และ Pet Friendly 11.5%

    3) ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) พบว่าผู้เลี้ยงสัตว์ 71.4% รู้จักผลิตภัณฑ์ประกันภัยสัตว์เลี้ยง แต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้บริการจริง โดยปัจจัยในการเลือกซื้อ ให้ความสำคัญกับความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดถึง 75.8% ค่าเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล 60.6% ความง่ายในการเคลมและความสะดวกในการใช้บริการ 57.6% และผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ถึง 71 % ต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่เกิน 2,500 บาทต่อปี/ตัว

    4) เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) ปัจจุบันยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก แต่ได้มีการสำรวจภาพรวมการรับรู้ของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีสัตว์เลี้ยง 5 กลุ่ม พบว่า Smart home device เป็นที่รู้จักมากที่สุด 93% และมีโอกาสเติบโตสูงสุดในตลาด Pet Tech รองลงไป Service & Commerce Platforms 78%, Health and Nutrition 77%, Behavior & Emotion Tech 67% และ Genetic & Bio Tech 64% โดย Baby Boomers & Gen X 67% พร้อมเปิดใจและอยากทดลองใช้

    ในขณะที่ Gen Y และ Gen Z 24% อยากลองเทคโนโลยีเพื่อความสะดวก และ 34% พร้อมจ่ายเพื่อความสะดวกสบายของสัตว์เลี้ยง ส่วนความคาดหวังที่ต้องการได้จาก Pet Tech สูงสุด คือ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ด้วย โดย Gen Z ให้ความสนใจกับ Pet Tech มากที่สุดเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับสัตว์เลี้ยง

    “ปัจจุบันตลาด Pet Tech ในไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แม้การรับรู้จะเพิ่มสูงแต่การนำไปใช้งานจริงยังต่ำ เนื่องจากผู้เลี้ยงยังติดปัญหาเรื่องราคา ความน่าเชื่อถือ และความยุ่งยากในการใช้งานรวมทั้งยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการหลายด้าน เช่น การมี demo ที่จับต้องได้ และระบบ Software & Data Integration ที่เชื่อมโยงทุกการดูแลสัตว์เลี้ยงไว้ในที่เดียว

    “ดังนั้น โอกาสของตลาด Pet Tech จึงไม่ควรมองแค่การพัฒนาอุปกรณ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่คือต้องเน้นการสร้างความเข้าใจ ความคุ้มค่า และความน่าเชื่อถือ เพื่อปูทางสู่การยอมรับในวงกว้างในอนาคต” อาจารย์ประเสริฐ กล่าว

    ด้าน ณัชชารีย์ โชติธนะชัยพงษ์ นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า จากผลการวิจัยได้นำมาสรุปเป็น “โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P - กรอบกลยุทธ์เชิงธุรกิจสัตว์เลี้ยง” กรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการอธิบายพฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มของตลาดสัตว์เลี้ยง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “Peace of Mind” ให้เจ้าของที่พร้อมลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของสัตว์เลี้ยง

    โดยโมเดล 5P ไม่ใช่แค่กลยุทธ์เชิงวิชาการแต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงเพื่อช่วยให้นักการตลาดสร้างการรับรู้ การจดจำ การวางแนวทางและต่อยอดสู่การสร้างคุณค่าและการยอมรับของผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีในตลาดสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย

    Pet Food - Premiumization: “เลือกเพราะเชื่อใจ กินเพราะสุขภาพ” จากเดิมที่อาหารสัตว์เลี้ยงเป็นแค่การตอบสนองความอยู่รอดขั้นพื้นฐาน แต่ปัจจุบันเจ้าของพร้อมจ่ายเพื่ออาหารเกรดพรีเมียมที่จะช่วยทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว การเลือกซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดจึงไม่ได้เป็นแค่การดูแลต่อมื้อหรือแค่การให้รางวัล แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้าง Peace of Mind ว่าสัตว์เลี้ยงจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดและอยู่ด้วยกันไปนานๆ

    Pet Health & Wellness - Prevention: “สุขภาพดี เริ่มที่การดูแลเชิงป้องกัน” ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก “รักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “การดูแลสุขภาพเชิงรุก คือ ป้องกันก่อนเป็น” และกำลังกลายเป็น "New Norm" ของผู้เลี้ยงสัตว์ยุคใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเจ้าของที่ใส่ใจการดูแลแบบองค์รวม ตั้งแต่การฉีดวัคซีน การตรวจสุขภาพเป็นประจำ ไปจนถึงการเลือกอาหารเสริม ที่ช่วยยืดอายุขัยซึ่งล้วนเป็นการสร้าง Peace of Mind ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด

    Pet Insurance - Package: “คุ้มค่า และ คุ้มครอง ตอบโจทย์แล้วจริงไหม?” เจ้าของสัตว์เลี้ยงมองหาแพ็กเกจประกันที่คุ้มครองครอบคลุมทุกความเสี่ยงในราคาจับต้องได้ แม้ว่าผู้เลี้ยงกว่า 71% จะรู้จักประกันสัตว์เลี้ยง แต่มีเพียง 9 % เท่านั้นที่ใช้บริการจริง สะท้อนให้เห็นทั้งช่องว่างในการสร้างความเข้าใจความน่าเชื่อถือและโอกาสทางการตลาด การนำเสนอแพ็กเกจที่ตอบโจทย์ตรงใจจึงเปรียบเสมือนการซื้อ Peace of Mind ให้กับเจ้าของที่ต้องการสร้างหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงสำหรับทุกสถานการณ์

    Pet Tech - Proactivity: “ผูกพันใกล้ชิด ด้วยเทคโนโลยีที่ใส่ใจ” เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง กำลังเริ่มมีบทบาทสำคัญ โดยเจ้าของ 39% ให้ความสนใจใช้ Pet Tech เพื่อให้รู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ใกล้กัน ซึ่งเป็นโอกาสของแบรนด์ที่จะสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าแค่การขายอุปกรณ์การติดตามตำแหน่ง และดูแลสุขภาพแบบเรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่เป็นการมอบ Peace of Mind ให้เจ้าของรู้สึกได้ดูแลสัตว์เลี้ยงได้อย่างใกล้ชิดโดยไม่คลาดสายตา

    Pet Legal - Protection: “กฎหมายสัตว์เลี้ยงเพื่อการปกป้องทั้งสัตว์เลี้ยง เจ้าของ และทุกคนในสังคม” การตระหนักรู้ถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงมีสูงขึ้นกว่า 79% โดยเฉพาะกฎหมายใหม่ของกรุงเทพมหานครฯที่บังคับใช้ปี 2569 สะท้อนถึงความต้องการให้มีการปกป้องทั้งคน สัตว์ และสังคม การปฏิบัติตามกฎหมายและให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์ จึงเท่ากับการสร้าง Peace of Mind ให้กับทั้งเจ้าของและชุมชนรอบข้างว่าทุกชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างปลอดภัยและสงบสุข

    “หากแบรนด์ต้องการสร้าง “Peace of Mind” และเข้าไปนั่งใจลูกค้าได้สำเร็จ จะต้องยกระดับจากผู้ขายสินค้าไปสู่การเป็น “ผู้ดูแล” ที่เข้าใจความต้องการเชิงลึกและตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างแท้จริง การสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดนี้จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขาย แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวบนพื้นฐานของความเข้าอกเข้าใจ ไว้วางใจ และตระหนักถึงคุณค่าของสัตว์เลี้ยงว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกสำคัญของครอบครัวลูกค้าอย่างแท้จริง” ณัชชารีย์ กล่าวสรุป



ภาพ: Freepik



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : คนไทยเลี้ยงแมวมากขึ้น! เลี้ยงหมาลดลง ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนทิศทางสู่สุขภาพ ความยั่งยืน และอายุยืน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine