‘ยอด ชินสุภัคกุล’ เผยไลน์แมนวงในและสมาคมภัตตาคารไทย เตรียมคุย ‘พรรคภูมิใจไทย’ พรุ่งนี้ (9 ก.ย. 2568) หนุนฟื้นโครงการ ‘คนละครึ่ง’ อีกครั้ง ช่วยร้านอาหารทั่วไทยหลังยอดขายลดฮวบ
หนึ่งในประเด็นที่น่าจับตาหลังประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ซึ่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจนโยบายหนึ่งที่มีการพูดถึงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้คือนโยบาย ‘คนละครึ่ง’
โดย ‘ยอด ชินสุภัคกุล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่าบริษัทและสมาคมภัตตาคารไทย เตรียมเดินทางไปพูดคุยหารือกับพรรคภูมิใจไทยในวันพรุ่งนี้ (9 ก.ย. 2568) เพื่อเสนอให้ฟื้นโครงการคนละครึ่งอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี และช่วยร้านอาหารที่ภาพรวมยอดขายลดลงในปีนี้
“เรามองว่านอกจากควรฟื้นโครงการคนละครึ่งแล้ว อาจจะมีการกระตุ้นได้เพิ่มเติม เช่น คูปองคนละครึ่ง จะต้องใช้ทุกวันหรือทุกสัปดาห์ หากไม่ได้ใช้จะเสียสิทธิ์ ซึ่งตรงนี้อาจทำให้กระตุ้นการใช้จ่ายได้ดีขึ้น หรืออาจมีการกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการใช้ เช่น หากจะใช้ ต้องใช้จ่ายเกิน 200 บาท ลักษณะนี้ก็อาจทำให้การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ให้ตั้งแต่บาทแรก อันนี้เป็นข้อปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะเสนอ แต่โดยรวมใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมได้เลย
“สิ่งที่จะนำไปคุยกับรัฐบาลคือข้อมูลว่าครั้งที่แล้วโครงการนี้กระตุ้นการใช้จ่ายได้มากน้อยแค่ไหน เรามีร้านอาหารมากน้อยแค่ไหน ข้อดี-ข้อเสียของครั้งที่แล้วเป็นอย่างไร” ยอดกล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ยอด ชินสุภัคกุล ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กว่าเห็นด้วยกับการฟื้นโครงการคนละครึ่ง และหากรัฐบาลทำจริงก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับวงการร้านอาหารไทยที่ประสบปัญหายอดขายตกอย่างหนักโดยเฉพาะในปีนี้
ยอดระบุว่า จากสถิติของ LINE MAN Wongnai พบว่ายอดขายเฉลี่ยของร้านอาหารทั่วประเทศไทยลดลงมาตั้งแต่ต้นปี โดยไตรมาส 2 ลดลงมากถึง -14% หากดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ยอดขายไตรมาส 2 ซึ่งลดเยอะกว่าต่างจังหวัดคือ -16%, พื้นที่ย่านธุรกิจ (CBD) -19% และพื้นที่ยอดนิยมอย่างบรรทัดทอง ลดลงถึง -35%
“เท่าที่คุยกับเจ้าของร้านอาหารหลายๆ คน ปีนี้มันยากจริงๆ นะครับ” เขาระบุในโพสต์ ก่อนจะเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่ LINE MAN Wongnai เคยร่วมโครงการคนละครึ่งรอบที่แล้วมา ผมคิดว่าเป็นนโยบายที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เราพบว่ายอดขายของร้านขนาดเล็กโตขึ้น 1.7-4 เท่าในช่วงนั้น และถ้าดูยอดขายจากเดลิเวอรีอย่างเดียวโตเฉลี่ย 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโครงการ เท่าที่อ่านดูจากความเห็นในโซเชียลก็พบว่าประชาชนอยากให้นำโครงการนี้กลับมาจริงๆ แบบแทบจะเป็นเอกฉันท์ เพราะช่วยแก้ปัญหาค่าครองชีพได้จริง”
เขาให้เหตุผลว่าส่วนชอบโครงการลักษณะ co-payment เพราะมองว่า
1. เหมาะกับ SMB ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีกำลังพอช่วยตัวเองได้บ้าง แต่ถ้ามี “แรงหนุน” เข้ามาช่วย จะทำให้ทุกคนคล่องตัวขึ้นได้ และมีกำลังใจในการทำให้ดีขึ้นในระยะยาว
2. ป้องกัน fraud ได้ดีระดับหนึ่ง เพราะมีลักษณะ co-pay คือลูกค้าต้องออกด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งการใช้จ่ายไปยังร้านค้าที่ต้องลงทะเบียนจริง
3. สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจในระยะยาวกว่า เนื่องจากมีการจำกัดวงเงินรายวัน (ครั้งที่แล้ว 150 บาท) ดีกว่าเงินให้เปล่าที่อาจจะเกิดการใช้จ่าย (นอกระบบ) ครั้งเดียว วันเดียวจบ
“ผมคิดว่าหากรัฐบาลมีอายุสั้นเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา การนำระบบไอทีเดิมที่เคยมีอยู่แล้วกลับมาใช้งาน ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในแง่ระยะเวลาการทำงาน ส่วนการยืนยันตัวตนร้านค้าที่อาจเปลี่ยนหน้าไปบ้างในช่วง 3-4 ปีที่ไม่มีโครงการคนละครึ่ง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีช่วยได้ หากรัฐบาลจะทำโครงการนี้จริงๆ LINE MAN Wongnai มีข้อมูลร้านอาหารที่อัพเดตเป็นปัจจุบันอยู่แล้ว ก็ยินดียกข้อมูลนี้ให้ทั้งหมด เพื่อที่ร้านค้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนยันตัวตนใหม่ครับ”
เขากล่าวอีกว่า มองว่า 4 เดือนที่เหลือในปีนี้ หากรัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่ายก็น่าจะทำให้ทุกอย่างคึกคักขึ้น บรรยากาศดีขึ้น คิดว่า 4 เดือนนี้หากใช้ระบบเก่าก็น่าจะทำทันแน่นอน อาจจะแก้ไขแค่นิดเดียว
ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายวันนี้ สำนักข่าวหลายแห่งรายงานตรงกันว่า นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ารัฐบาลพร้อมเดินหน้าโครงการคนละครึ่งทันที โดยจะนำระบบเก่ามาใช้ และมีงบประมาณที่เตรียมไว้อยู่แล้ว
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สุกี้ตี๋น้อยรุกตลาดพรีเมียม เปิดตัว “Teenoi Gold” เสิร์ฟเมนูระดับโรงแรม 5 ดาว มีครบติ่มซำ เป็ดย่าง เนื้อวากิว
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
