สู้ไม่ถอย! ทายาท Gen 3 'ไชยแสง' จ.สิงห์บุรี กางแผน 5 ปี สู้ศึกตลาดค้าปลีกท้องถิ่น - Forbes Thailand

สู้ไม่ถอย! ทายาท Gen 3 'ไชยแสง' จ.สิงห์บุรี กางแผน 5 ปี สู้ศึกตลาดค้าปลีกท้องถิ่น

นี่ไม่ใช่เวลา “ล้มหายตายจาก” ของค้าปลีกท้องถิ่น เจน 3 ไชยแสง จากสิงห์บุรี เผย แผน 5 ปี เตรียมเข้าตลาดฯ ระดมทุนขยาย ”ซูเปอร์สโตร์” ขนาดกว่า 1,000 ตารางเมตร 50 แห่งในต่างจังหวัด โดยจะเริ่มปักหมุดจากลพบุรี ล่าสุดทุ่ม 50 ล้าน เปิดตัว “CS Park Market’’ ศูนย์รวมร้านอาหารชั้นนำและความบันเทิงเพื่อเติมการใช้ชีวิต...สู้ศึกค้าปลีกในตลาดหัวเมืองรอง


    ตลาดค้าปลีกในเมืองไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ในช่วงที่เศรษฐกิจดีมีการเติบโตกว่าจีดีพีของประเทศถึง 2-3 เท่า แต่ในยามเศรษฐกิจไม่ดีก็ไม่เติบโตเลย วันนี้มูลค่ารวมธุรกิจค้าปลีกของเมืองไทยมีมูลค่าสูงถึง 4.2 ล้านล้านบาท จากเคยอยู่ที่ 3.3 ล้านล้านบาทใน 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการขยายตัวต่อเนื่องของหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะร้านค้าปลีกที่เน้นขายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่จากกรุงเทพฯ และค้าปลีกท้องถิ่นซึ่งสมาคมค้าปลีก คาดการณ์ว่าน่าจะมีอยู่ราว 200-300 รายทั่วประเทศ

    ภาพการล้มหายตายจากของค้าปลีกท้องถิ่นในยุคหลังนี้ต่างจากในอดีตมาก เพราะเจนใหม่ที่เข้ามารับช่วงบริหารงานต่อ ปรับตัวและรับมือกับการขยายตัวเข้ามาของยักษ์ใหญ่ได้ดี ด้วยการเติมเต็มโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เข้าพอร์ต ไม่เพียงแค่ยืนได้ในจังหวัดของตัวเองเท่านั้น แต่หลายรายสามารถขยายธุรกิจไปยังจังหวัดใกล้เคียง เช่น ธนพิริยะ เชียงราย หรือ สหแสงชัย พิจิตร เป็นต้น วันนี้ “ไชยแสง ดีพาร์ทเม้นต์สโตร์” จากสิงห์บุรี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างค้าปลีกท้องถิ่นที่กำลังเตรียมขยายธุรกิจสู่จังหวัดใกล้เคียง เป็นรายล่าสุด


    “เรากำลังจะขยาย ไชยแสง ซูเปอร์สโตร์ ไปที่ลพบุรีในพื้นที่ 5 ไร่ และชัยนาทในอนาคตอีก 5 ปี ขนาดพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร หรือมากกว่า ที่เราเลือก 2 จังหวัดนี้ก่อนเพราะมีที่ดินรองรับอยู่บ้างแล้ว รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนในจังหวัดลพบุรีอยู่ที่ 26,678บาท พอๆ กับสิงห์บุรีหรือสูงกว่าเล็กน้อย การเดินทางสะดวกเพราะลพบุรีห่างจากเราเพียง 27 กิโลเมตร เดินทาง 30 นาทีก็ถึงแล้ว ส่วนชัยนาทห่างจากเรา 51 กม. เดินทางไม่ถึงชั่วโมง และที่สำคัญคู่แข่งน้อย ยังไม่มีค้าปลีกท้องถิ่นรายใหญ่มากๆ ที่นั่น” เอกภูมิ ตรีชัยรัศมี ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายขาย ในเครือไชยแสงกรุ๊ป  ประกอบไปด้วย ห้างหุ้นส่วนจำกัดไชยแสงดีพาร์ทเม้นสโตร์ และ บริษัท ซีเอส พาร์ค จำกัด บอก

    เอกภูมิบอกอีกว่า ดูจากความเป็นไปได้ น่าจะมีโอกาสเห็นไชยแสงซูเปอร์สโตร์ขยายไปได้ 50 สาขาในจังหวัดใกล้เคียง อาทิ ลพบุรี ชัยนาท อ่างทอง นครสวรรค์ ซึ่งเป็นลูกค้าในปัจจุบันของไชยแสงอยู่แล้ว

    แม้เอกภูมิ มีพื้นฐานการศึกษาทางด้านนิติศาสตร์ แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการรับไม้ต่อจากพ่อ เขาสามารถบริหารงานได้ดี เพราะการค้าขายที่อยู่ในสายเลือดของเขา และภาพจำการทำงานของพ่อและแม่ที่เขาเห็นมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็ก เขาเพิ่งเข้ามารับไม้ต่อจากคุณพ่อเทียนชัยเมื่อช่วงแรกๆ โควิดระบาด ทำงานเคียงคู่กับ โชว์สิริ พี่สาวที่มีแบคกราวน์การศึกษาจากเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ซึ่งเข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านตั้งแต่ปี 2012 ในตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ฝ่ายค้าปลีกและค้าส่ง แม้เข้ามาร่วมงานได้เพียงไม่กี่ปี ฝันของสองพี่น้องเพื่อต่อยอดอนาคตธุรกิจของไชยแสงชัดเจน โดยไชยแสงจะเริ่มเปิด ไชยแสงซูเปอร์สโตร์ขนาดมากกว่า 1,000 ตารางเมตรที่ลพบุรีในอีก 5 ปีข้างหน้า ตามด้วยชัยนาท ซึ่งได้ไปสำรวจตลาดมาเรียบร้อยแล้วพร้อมคุณพ่อเทียนชัย

    ไชยแสง ดีพาร์ทเม้นสโตร์เมื่อ 60 ปีก่อนเป็นเพียงร้านจำหน่ายผ้าเมตรเล็กๆ ในสิงห์บุรี ภายใต้ชื่อว่า “ร้านใช่เส็ง” รสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำให้ ในปี พ.ศ. 2517 ผู้บริหารต้องผันตัวเองมาเป็นผู้จำหน่ายสินค้าค้าปลีกเสื้อผ้าสำเร็จรูปพร้อมๆ กับชื่อใหม่คือ “ห้างไชยแสง” ช่วงนี้เองที่ชื่อเสียงของห้างไชยแสงเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับของประชาชนในจังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดใกล้เคียง กิจการค้าเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ไชยแสง จึงโดดเข้าสู่วงการห้างสรรพสินค้าอย่างเต็มตัวในปี พ.ศ. 2533 ใช้ชื่อว่า “ห้างไชยแสงดีพาร์ทเม้นท์สโตร์” เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรก และ แห่งเดียวในสิงห์บุรี และ เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางตอนบนในขณะนั้น เป็นอาคาร 3 ชั้น บนเนื้อที่ 400 ตารางวา มีพื้นที่ขายรวม 1,600 ตารางเมตร

    “แม้ทำเลที่ตั้งของห้างไชยแสง อยู่กลางเมือง รายล้อมด้วย ชุมชน อาคารพาณิชย์ โรงพยาบาล  โรงเรียน ธนาคาร และตลาดสด การเดินทางไปมาระหว่างจังหวัดใกล้เคียง อาทิ อยุธยา อ่างทอง สุพรรณบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี สะดวก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สุดของไชยแสงจนถึงปัจจุบัน แต่เราก็แอบกลัวโลตัสอยู่ในใจ” โชว์สิริบอก


    เอกภูมิบอกว่า การเข้ามาของโลตัสทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ด้วยราคาสินค้าที่นำเสนอ มีความสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่น ตลอดจนทำเลที่ตั้งของคู่แข่งทั้งโลตัส แมคโคร ที่อยู่บนถนนสายเอเชีย ซึ่งไม่ตอบโจทย์ลูกค้าสิงห์บุรีที่นิยมใช้มอเตอร์ไซค์มากกว่ารถขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ไชยแสงยังเปิดร้าน “คุ้มจริง” ตามอำเภอต่างๆ เมื่อ 4 ปีก่อน เป็นเสมือนโชว์รูมและต้นแบบตัวอย่างการจัดร้านให้ร้านโชวห่วยที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมราคาสินค้าที่ถูกกว่าปกติอีก 5% และโปรเด็ด ปัจจุบันคุ้มจริงมี 20 สาขาและจะเพิ่มเป็น 30 สาขาในปีหน้า

    ความท้าทายที่สองพี่น้องต้องเผชิญอีกครั้งหลังจากการเข้ามาของท็อปส์ในเครือเซ็นทรัลรีเทลที่พร้อมทั้งเงินทุน เทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากเครือข่ายทั่วประเทศเมื่อ 6 ปีก่อน นอกจากไชยแสงจะปรับปรุงห้างครั้งใหญ่แล้ว เขายังลงทุนสร้าง CS Park ไปพร้อมๆ กับช่วงที่ท็อปส์พลาซ่าเข้ามาที่นี่

    “แม้จะมีทำเลทองเพราะอยู่ในตัวเมือง ตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลที่มีคนเข้าออกทั้งวัน แต่การดีลกับแบรนด์ดังอย่างโรงหนัง และสตาร์บัคในช่วงแรกๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากระดับหนึ่ง แต่ก็หายเหนื่อยเมื่อแบรนด์ดังอย่างเดอะพิซซ่า คอมพานี สเว่นเซ่นส์ และคำมั่ว ตบเท้าเข้ามาที่ส่วนดีพาร์ทเม้นต์สโตร์ ซึ่งช่วยเรียกความเชื่อมั่นดึงซัพพลายเออร์เข้ามาในห้างสรรพสินค้าอีกจำนวนไม่น้อย ถึงวันนี้คอนเน็คชั่นยังเป็นความได้เปรียบของค้าปลีกจากส่วนกลาง การดีลกับอินเตอร์แบรนด์เป็นเรื่องที่ต้องพยายามกันต่อไป และที่ผ่านมา มีร้านอาหารและเครื่องดื่มหลายร้าน ย้ายมาอยู่กับเราเมื่อสัญญากับที่แรกสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตามการดีลกับแบรนด์อินเตอร์ก็ยังคงเป็นความท้าท้ายมากที่สุดของเรา ที่มาพร้อมกับความกดดันจากคุณพ่อที่มีแสตนดาร์ดการทำงานสูง  พ่อเป็นคนขยัน  ความเชื่ิอของคนเจนก่อน คือ “ชีวิตคืองาน” พ่อให้เวลากับงาน 100% ขณะที่ เจน Y อย่างผมต้องการบาลานซ์งานกับชีวิตส่วนตัว” เอกภูมิบอก


    ด้วยแนวคิดการดำเนินธุรกิจของเทียนชัยและทายาทรุ่น 3 ที่ยึดมั่นเรื่อง “ความซื่อสัตย์ การตรงไปตรงมากับลูกค้า ไม่เอาเปรียบ” ทำให้วันนี้ยอดขายของกลุ่มไชยแสงได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้อาณาจักรของไชยแสง มีครบวงจร ตั้งแต่โซนซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงอินเตอร์ฟู้ด และ wholesale สินค้าอุปโภค บริโภค ในพื้นที่ขายรวมทั้งหมด 20,000 ตารางเมตร ไม่รวม “ซีเอส พาร์ค” ซึ่งทำธุรกิจทั้งค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในชื่อ “ไชยแสงซูเปอร์สโตร์ บนพื้นที่อีกกว่า 40 ไร่ ซึ่งมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 4,500 คนต่อวัน และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,500 บาทต่อบิล ฐานลูกค้าของซูเปอร์สโตร์เป็นร้านค้าส่ง 60 เปอร์เซ็นต์และห้างสรรพสินค้า 40 เปอร์เซ็นต์  และเป็นคนท้องถิ่น 70% ที่เหลือ 30% เป็นลูกค้าจากจ้งหวัดใกล้เคียง

    ล่าสุดบริษัทได้ลงทุน 50 ล้านบาท เปิด “CS Park Market’’ ศูนย์รวมร้านอาหารชั้นนำและความบันเทิงเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในจังหวัดสิงห์บุรีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา CS Park Market มีพื้นที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร มีที่จอดรถมากกว่า 500 คัน พร้อมสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สถานที่สำหรับครอบครัว และ Pet Friendly Zone 


    เอกภูมิบอกว่า ด้วยร้านค้าส่วนใหญ่ใน CS Park Market ยังเป็นแบรนด์ท้องถิ่น บริษัทจึงพยายามหาแบรนด์ใหญ่ๆ เข้ามา ขณะนี้กำลังเจรจากับแบรนด์อินเตอร์และแบรนด์ไทย อาทิ สุกี้ตี๋น้อย เคเอฟซี เอสแอนด์พี และเอ็มเค เพื่อเป็นแม็กเน็ตดึงคนเข้าร้านมากขึ้นนอกจากนี้ยังมีแผนจะสร้างสถานที่จัดเลี้ยงทั้ง indoor และ outdoor เพิ่มในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับกิจกรรมและงานแต่งในอนาคต

    นอกจากค้าปลีกแล้ว ไชยแสง ยังให้บริการโรงแรมอีก 2 แห่งได้แก่ ไชยแสงพาเลส และโรงแรมไชยแสงวิลล่าจำนวน 150 ห้องห่างจากโครงการ 2 กิโลเมตร ปัจจุบันอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 80% ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย มีต่างชาติเพียง 20% เท่านั้นเป็นลูกค้าจากฝรั่งเศส อังกฤษ สิงคโปร์ จีนและสหรัฐอเมริกา โรงแรมทั้งสองแห่งนี้สามารถรองรับงานเลี้ยงขนาดใหญ่ได้ 500 คน

    ในวันที่เริ่มธุรกิจก่อนหน้านี้ ไชยแสงมีพนักงานเพียง 100 คน แม้จะมีผู้เล่นรายหลักที่น่าเกรงขามเข้ามาแข่งขัน ไชยแสงยังคงเติบโตต่อเนื่องสะท้อนจากจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว ด้วยบริการและบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากตัวลูกค้า 

    ทั้งโชว์ศิริและเอกภูมิเชื่อมั่นในทุกก้าวย่างในอนาคต เพราะเชื่อว่า “ไชยแสง โมเดิร์นรีเทล ท้องถิ่น ภายใต้การบริหารของรุ่น 3 ที่มีพ่อเทียนชัยคอยเป็นลมใต้ปีก ไม่มีอะไรต้องกลัวคู่แข่ง หรือใคร ยกเว้นการแข่งกับตัวเอง ที่ต้องเดินหน้าตลอดและให้ทันกับรสนิยมและพฤติกรรมลูกค้าที่พร้อมเปลี่ยนทุกเวลา”


ภาพ : ไชยแสง กรุ๊ป



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'นักท่องเที่ยวลด' ไม่กระทบธุรกิจ! ท็อปกอล์ฟ โฟกัสลูกค้าไทย จัดแคมเปญฉลองครบ 3 ปี คาดลูกค้าใหม่เพิ่ม 30%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine