จากบริษัทที่จะล้มละลาย Hungry Hub ทะยานแตะร้อยล้าน ปีนี้ขยายต่อสู่มาเลเซีย ตั้งเป้าเป็น OTA ร้านอาหารระดับโลก

จากบริษัทที่จะล้มละลาย Hungry Hub ทะยานแตะร้อยล้าน ปีนี้ขยายต่อสู่มาเลเซีย ตั้งเป้าเป็น OTA ร้านอาหารระดับโลก

จากสตาร์ทอัพที่เคยเกือบล้มละลาย สู่แพลตฟอร์มจองร้านอาหารที่สร้างยอดขายให้ร้านค้ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท และก้าวออกนอกไทยสู่สิงคโปร์–มาเลเซีย Hungry Hub กำลังเปลี่ยนบทบาทจากดีลร้านอาหารสู่การเป็น OTA ด้านอาหารระดับภูมิภาค นี่คือเส้นทางการ “พลิกเกม” ของ Hungry Hub ที่น่าติดตามที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการสตาร์ทอัพไทย


    ในโลกของธุรกิจสตาร์ทอัพ การทำให้บริษัท “อยู่รอด” ยังเป็นโจทย์ที่ยาก แต่การสร้าง “กำไร” ให้ได้ยิ่งท้าทายกว่า หลายรายต้องใช้เวลานานนับสิบปีจึงจะไปถึงจุดนั้น

    ทว่า Hungry Hub คือหนึ่งในไม่กี่รายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการมองเห็น pain point ที่แท้จริงสามารถพลิกอนาคตได้ จากธุรกิจที่เคยสุ่มเสี่ยงต่อการล้มเหลว สู่บริษัทที่ทำกำไรและสร้างยอดขายมหาศาลให้ร้านอาหารพันธมิตร พร้อมเดินหน้าขยายสู่ต่างประเทศด้วยเป้าหมายเป็นแพลตฟอร์ม OTA ด้านอาหารระดับอินเตอร์

    แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub บอกว่าช่วงแรกธุรกิจของเขาก็เคยแทบล้มละลายมาก่อน

    ย้อนกลับไปในปี 2014 ปีแรกที่ Hungry Hub ถือกำเนิดขึ้นในฐานะผู้ให้บริการระบบจองโต๊ะร้านอาหาร แต่สามปีหลังจากนั้นเขาล้มเหลว ร้านค้าไม่ได้รู้สึกว่าใช้งานง่ายอย่างที่เขาอยากให้เป็น และมองเห็นตรงกันข้าม

    “แต่ก่อนเรามองว่าต้องใช้ส่วนลดดึงคนใช้บริการเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าดีสำหรับผู้บริโภค แต่ไม่ดีสำหรับมาร์จิ้นของร้านค้า เพราะได้แค่ภาพว่าทำให้ร้านดูมีคนเต็มแน่นร้านเท่านั้น ขณะที่พฤติกรรมคนในปัจจุบันก็ตัดสินใจก่อนไปรับประทาน ไม่ใช่เดินผ่านหน้าร้านแล้วตัดสินใจ ทำให้ยุคแรกแพลตฟอร์มอาจจะดีมากสำหรับผู้บริโภค แต่ไปเร็วมากสำหรับร้านอาหาร”

    สุรสิทธิ์เล่าว่า สิ่งที่เขาเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ โครงสร้างราคาอาหารในร้านอาหารไทย ถูกสร้างมาสำหรับพฤติกรรมการกินของคนยุโรป ที่แต่ละคนสั่งอันไหนก็กินอันนั้นและจ่ายเท่าที่กิน ส่วนคนไทยมีพฤติกรรมแบบ sharing หรือเลี้ยง ทำให้การใช้จ่ายแต่ละครั้งอาจมากกว่าที่คิดไปมาก

    “เราเห็นอีกโอกาสหนึ่ง โอกาสที่ร้านอาหารจะได้ลูกค้าและรายได้ที่มากขึ้น เราเห็นโอกาสในการสร้างแพ็คเกจ ที่เปลี่ยนจากอะลาคาร์ทเป็นบุฟเฟ่ต์ โดยแบ่งออกเป็นหลายเทียร์ ปี 2017 เราคิดค้นโมเดลนี้ เพื่อให้ขายทั้งอะลาคาร์ทและบุฟเฟ่ต์ได้ในร้านเดียวกัน แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นบุฟเฟ่ต์ โมเดลนี้ทำให้เราเทิร์นจากบริษัทที่กำลังจะล้มละลายมาเป็นกำไรได้”

    หลังจากเริ่มโมเดลใหม่ ปี 2018 Hungry Hub ระดมทุนเพื่อไปขยายกิจการไปต่างประเทศ แต่มาเจอโควิดปี 2020 การไปต่างประเทศจึงล่าช้ามาถึงปลายปี 2024 ที่ขยายไปสิงคโปร์เป็นประเทศแรก และใช้เวลากว่า 6 เดือนเป็นบทสอบพิสูจน์ว่าโมเดลนี้ขยายไปต่างประเทศได้จริงๆ หรือเปล่า และแน่นอนว่าได้ จนนำมาสู่การขยายไปสู่มาเลเซียเมื่อเร็วๆ นี้


    ถามว่า Hungry Hub ประสบความสำเร็จขนาดไหน ลองมาดู

    -ปัจจุบันมีร้านอาหารและโรงแรมเป็นพันธมิตรกว่า 2,500 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 1,700 ร้าน

    -ร้านอาหารในปัจจุบัน แบ่งเป็น ในไทย 2,200 ร้าน, สิงคโปร์ 250 ร้าน และมาเลเซีย 50 ร้าน

    -ตั้งแต่ใช้โมเดลนี้มาสามารถสร้างยอดขายให้กับร้านค้าได้แล้วกว่า 4 พันล้านบาท เสิร์ฟลูกค้าไปแล้วกว่า 5 ล้านที่นั่ง

    -ร้านอาหาร 50% ที่อยู่บน Hungry Hub เป็นประเภทบุฟเฟ่ต์, 20% เป็นไฟน์ไดนิ่ง ส่วนที่เหลือเป็นประเภทอื่น

    -ค่าใช้จ่ายต่อบิลของคนไทยอยู่ที่ 1,100 บาท ส่วนคนสิงคโปร์อยู่ที่ 75 เหรียญสิงคโปร์

    -ร้านอาหารระดับต้นๆ ที่ทำรายได้สูงบน Hungry Hub สามารถทำรายได้ถึง 1 ล้านบาท/เดือน ทำให้ Hungry Hub กลายเป็นช่องทางอันดับต้นๆ ในการสร้างรายได้ให้ร้านค้า

    -ผู้บริโภคที่ใช้บริการจองดีลบน Hungry Hub อยู่ที่หลักแสนคนต่อเดือน เฉลี่ยกินซ้ำคนละ 4 ครั้ง/ปี แต่มีประมาณ 10,000 คนที่ใช้บริการจองกินบน Hungry Hub ราว 14-15 ครั้ง/ปี

    -Hungry Hub ยังช่วยเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติให้ร้านค้าได้มากขึ้น โดยปีนี้สามารถเพิ่มยอดขายให้กว่า 100 ร้านอาหารในไทย ให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวมากกว่า 50,000 บาทต่อเดือนได้


    “เขา (ร้านอาหาร) ไม่มีอะไรจะเสีย เราไม่มีค่าแรกเข้า ไม่มีค่ารายเดือน เป็น risk free platform คุณมีค่าใช้จ่ายให้เราก็ต่อเมื่อคุณมีลูกค้า สิ้นเดือนเราจะ invoice ค่าคอมมิชชั่นกับคุณ” สุรสิทธิ์ระบุ โดย Hungry Hub มีรายได้ 90% มาจากค่าธรรมเนียมที่จะได้จากร้านค้าเมื่อลูกค้าจองมื้ออาหาร ซึ่งค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 12% ส่วนรายได้ที่เหลือมาจากค่ามีเดียที่ Hungry Hub รับทำให้กับร้านที่ต้องการโปรโมทเพิ่ม

    ทั้งนี้ ปี 2024 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 90 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท

    “ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจเดียวที่ไม่มีเอเจนต์ มีแค่เดลิเวอรี่ แต่ร้านระดับกลางและบน สัดส่วนจากเดลิเวอรี่มีเพียง 5-10% ของยอดขายเท่านั้น ร้านกลุ่มนี้ต้องพึ่งตัวเองในการหาลูกค้า ถ้าไม่ได้อยู่ในเชนใหญ่จะต่อรองกับอินฟลูหรือแพลตฟอร์มไม่ค่อยได้ เราจึงเข้ามาเป็น marketing arm ให้ โดยที่เราไม่ได้บอกว่าต้องอยู่กับเราเจ้าเดียว เราต้องการเป็นช่องทางเสริม เราไม่ได้อยากเป็น 95% ของยอดขาย เราแค่อยากมาช่วยเติมเต็ม” สุรสิทธิ์ย้ำ


ก้าวสู่ OTA ระดับโลกในอนาคต

    สำหรับการขยายไปมาเลเซีย สุรสิทธิ์บอกว่าตอนนี้มีร้านเป็นพันธมิตร 20 ร้านแล้ว และจะเพิ่มเป็น 50 ร้านในสิ้นเดือนนี้ โดยมีทั้งร้านในโรงแรมและร้านดังมากมาย

    เขาให้เหตุผลในการขยายไปมาเลเซียว่าเป็นเพราะมาเลเซียมีความคล้ายไทยและสิงคโปร์ คือ มีความคึกคักทั้งลูกค้าโลคอลและต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่มาเลเซียเท่านั้น เขายังมีแผนสำหรับขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ อีกในปีหน้า

    “สิงคโปร์เราจัดให้เป็นตลาดเทียร์ 1 ส่วนประเทศไทยแม้ในเชิงร้านอาหารจะเป็นเทียร์ 1 แต่ในแง่จับจ่ายเป็นเทียร์ 2 ส่วนมาเลเซียเป็นเทียร์ 2 เหมือนไทย เรากำลังประเมินว่าเทียร์ไหนไปได้เร็วกว่ากัน ถ้าเป็นเทียร์ 1 เราก็อาจจะไปดูไบ หรือออสเตรเลีย ถ้าเป็นเทียร์ 2 ก็อาจจะไปเวียดนามหรืออินโดนีเซีย”


สารพัดฟีเจอร์ช่วยดันยอดขายร้านค้า

    สุรสิทธิ์บอกอีกว่า Hungry Hub ยังพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การเพิ่มช่องทางการจองผ่านการผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์อื่นๆ เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าให้ได้มากที่สุด เช่น OTA เจ้าอื่นอย่าง Trip.com และปีนี้กำลังขยายพาร์ทเนอร์ไปสู่ Loyalty Platform เช่น PointX ของ SCBX เป็นการเป็นการเปิดโลกใหม่ในการให้ benefit กับลูกค้าได้

    นอกจากแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ในปีนี้ Hungry Hub ยังได้มีการเปิดตัว 2 ฟีเจอร์ใหม่ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ ฟีเจอร์การแสดงผลหลายสกุลเงิน (Multi-currency) ช่วยให้นักท่องเที่ยวเห็นราคาในสกุลเงินของตนเอง ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการจองสะดวกและง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอง

    และฟีเจอร์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น (Dynamic Pricing) ตามดีมานด์ของลูกค้า ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถตั้งราคาได้ตามดีมานด์ของลูกค้า เช่น การตั้งราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่นั่ง (เช่น ทุก 10 ที่นั่ง เพิ่ม 5%) หรือการปรับราคาในช่วงเทศกาล (เช่น วาเลนไทน์, สงกรานต์) นอกจากนี้ยังมีระบบ AI ที่ช่วยแนะนำการปรับราคา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้ AI ปรับราคาอัตโนมัติหรือให้เจ้าของร้านเป็นผู้อนุมัติการปรับเปลี่ยนราคาเอง

    “Dynamic Pricing เป็นฟีเจอร์ที่เข้ามาทลายขีดจำกัดเดิมๆ ของร้านอาหาร ให้สามารถตั้งราคาได้อย่างยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกวัน ทุกเวลา หรือทุกนาที คล้ายๆ กับเวลาเราจองตั๋วเครื่องบินหรือที่พัก ถ้าเป็นช่วงพีค มีความต้องการสูง ราคาก็สูงตาม

    “ผมมองว่า ถ้านำมาปรับใช้กับร้านอาหาร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและจัดการกับดีมานด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร้านอาหารมิชลินหรือร้านที่มียอดจองเต็มตลอดเวลา สามารถเลือกเพิ่มราคา 30% สำหรับ 10 ที่นั่งสุดท้าย เพื่อเพิ่มมูลค่าจากดีมานด์ที่สูง หรือ ในวันศุกร์ที่ปกติจะมีการจอง 50 ที่นั่ง แต่หากฝนตกและมีการจองแค่ 10 ที่นั่ง ร้านก็สามารถลดราคา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาทานมากขึ้น”

    สุรสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่อเศรษฐกิจมากมายในปีนี้ แต่เขาเชื่อว่า Tools หรือฟีเจอร์ต่างๆ ที่พัฒนาออกมา จะช่วยส่งเสริมยอดขายให้ร้านค้าได้ โดยบริษัทตั้งเป้าว่าปีนี้จะยอดเงินใช้จ่ายบนแพลตฟอร์มราว 1,100 ล้านบาท ส่วน Hungry Hub จะมีรายได้ราว 100-120 ล้านบาท กำไร 20 ล้านบาท

    ส่วนปีหน้าเขาตั้งเป้าขยายพาร์ทเนอร์ร้านค้าเพิ่มเป็น 4,000 ร้าน และตั้งเป้ารายได้และกำไรในปีหน้าเติบโต 50-60%

    “หมุดหมายสำคัญของ Hungry Hub ในอนาคต คือ การเป็นบริษัทไทยที่เติบโตในระดับภูมิภาค ในฐานะ Online Travel Agent (OTA) สำหรับวงการร้านอาหาร ที่ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ด้านการจองร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังพร้อมยกระดับประสบการณ์การกินและการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่ สร้างประสบการณ์การกินและการเดินทางระดับโลกอย่างไร้รอยต่อ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงและให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน”

    ทั้งนี้ ในปีนี้ Hungry Hub ยังจัดงานประกาศรางวัล “Hungry Hub Red Table Awards 2025” เพื่อยกย่องและเชิดชูพันธมิตรธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมระดับแนวหน้า ที่ร่วมสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมตลอดปี จัดเต็มรางวัลอันทรงเกียรติกว่า 48 รางวัล ครอบคลุมทุกรูปแบบ ตั้งแต่ Best Chain Restaurant, Best Rooftop Restaurant, Best Fine Dining ไปจนถึง Rising Star Award อีกทั้งยังมีรางวัลใหม่สำหรับร้านอาหารที่ทำยอดขายสะสมผ่าน Hungry Hub ครบ 50 และ 100 ล้านบาท



ภาพ: Hungry Hub



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ถอดแนวคิด 3 SME ไทย ‘Mizumi-เจี้ยนชา-นายอ้วนเย็นตาโฟ’ ต้องใช้ ‘ความกล้า’ หรือ ‘ความเชื่อ’

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine