การบริหารสไตล์ พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร “สร้างงานที่มีประโยชน์ และทุกคนมีความสุข” - Forbes Thailand

การบริหารสไตล์ พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร “สร้างงานที่มีประโยชน์ และทุกคนมีความสุข”

    สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ The Civil Aviation Authority of Thailand (CAAT) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการกำกับ ดูแล ส่งเสริม ควบคุม และพัฒนากิจการการบินพลเรือนของไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา องค์การบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (FAA) ได้ปรับระดับมาตรฐานการบินของไทยกลับไปสู่ Category 1 ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีของอุตสาหกรรมการบินของไทย แต่หน่วยงานยังมีภารกิจสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมการบินให้เจริญเติบโตภายใต้การบริหารงานของผู้อำนวยการ CAAT พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร

    "CAAT ถือเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินทั้งหมด การตัดสินใจมาสมัครเพื่อรับตำแหน่งเพราะมองเห็น Pain Point หลายประการที่เกิดจากกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ซึ่งไม่เอื้อประโยชน์ในการทำธุรกิจของภาคเอกชน เนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้นได้ถูกกำหนดขึ้นมาเป็นเวลานาน (พรบ. เดินอากาศ 2497) มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง แต่ยังมีข้อจำกัดในการที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น รวมทั้งยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายสากลที่องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization -ICAO) กำหนด ทำให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทยให้เจริญเติบโตทันกับนานาชาติได้"

​พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร

    พล.อ.อ.มนัท มีความมุ่งมั่นตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักบิน โดยได้เข้าเรียนชั้นประถมและมัธยมที่วชิราวุธวิทยาลัยและได้สอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของทหารอากาศ เมื่อจบการศึกษาและได้รับคัดเลือกให้เข้าเป็นศิษย์การบินที่โรงเรียนการบิน กองทัพอากาศ ณ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และจบหลักสูตรเป็นนักบินของกองทัพอากาศ ด้วยคะแนนสูงสุดภาคอากาศในส่วนของเครื่องบินไอพ่น รวมทั้งยังได้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี (Commercial Pilot License) อีกด้วย พล.อ.อ.มนัท ได้เลือกที่จะเป็นนักบินของกองทัพอากาศและเติบโตในเส้นทางของนักบินจนได้เป็นผู้บังคับฝูงบิน F-16 ADF (ฝูงบิน 102 กองบิน 1 นครราชสีมา) โดยในระหว่างที่เป็นนักบิน F-16 นั้นได้รับคัดเลือกให้ไปเข้ารับการฝึกในหลักสูตร F-16 Advanced Fighter Weapons Course ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังเป็นผู้บังคับการกองบิน 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นฐานบินของเครื่องบิน Gripen ที่ พล.อ.อ.มนัท ได้ไปทำการบินประเมินค่า ที่ประเทศสวีเดนในปี 2547 ก่อนที่กองทัพอากาศจะได้ตัดสินใจจัดซื้อในปี 2550 ซึ่งการเป็นผู้บังคับฝูงบินและผู้บังคับการกองบินนั้นทำให้มีความรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการ ทั้งทางด้าน Operations การส่งกำลังบำรุง (Logistics) รวมทั้งการกำกับดูแลในด้านการซ่อมเครื่องบิน (Aircraft Maintenance, Air Worthiness and Safety) อีกด้วย

    จากประสบการณ์ด้านการบินทั้งในและต่างประเทศ การเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) ซึ่งเป็นสถาบันที่ผลิตบุคลากรด้านการบินให้กับประเทศไทย การเป็นกรรมการของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และได้มอบหมายให้เป็นประธานกรรมการตรวจสอบ และประธานในการเตรียมความพร้อมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการที่จะเปิดใช้รันเวย์ที่ 3 ทำให้ พล.อ.อ.มนัท เข้าใจและมองเห็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยให้เจริญเติบโตและสามารถเป็นจุดศูนย์กลางการบินในภูมิภาคได้


    ​พร้อมร่วมมือยกระดับไทยสู่ฮับการบิน

    พล.อ.อ.มนัท กล่าวว่า การที่จะทำให้ไทยเป็นจุดศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub) นั้น นอกจากการกำกับ ดูแล และควบคุมให้กิจการการบินในประเทศมีความปลอดภัยได้มาตรฐานแล้ว CAAT ยังมีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาอีกด้วย โดยมองว่าภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน สร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการบินของไทยเจริญเติบโตได้ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม

    "ในประเทศอื่นนั้นภาครัฐและเอกชนจะทำงานส่งเสริมกันเพื่อพัฒนาประเทศ แต่ไทยเรานั้นมักจะแยกกันระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งบางครั้งผมมองว่าเป็นอุปสรรคในการพัฒนา ซึ่งการช่วยเหลือภาคเอกชน โดยที่รัฐไม่เสียหาย เราควรจะสนับสนุนให้ทำ ซึ่งการเอื้อประโยชน์นั้นไม่ใช่การทำเพื่อตัวเองหรือส่วนบุคคล แต่เป็นการทำให้การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนสามารถเจริญเติบโตได้ ตัวอย่าง เช่น สำนักงานการบินพลเรือนของฝรั่งเศส (DGAC) ได้ช่วยเหลือและสนับสนุนให้สายการบินในประเทศได้เกิดขึ้น โดยในบางครั้งยังสนับสนุนด้านการเงินอีกด้วย เนื่องจาก DGAC มีแนวคิดว่า เมื่อผู้ประกอบการเจริญขึ้นและเติบโตขึ้นก็จะจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการประกอบการกลับมาให้กับ DGAC และเสียภาษีให้กับประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น

    ในส่วนของไทยเรานั้น ทาง DGAC ได้ร่วมกับบริษัทแอร์บัส ในการสนับสนุนบุคลากรเพื่อช่วยพัฒนาการตรวจสอบด้านมาตรฐานความปลอดภัยให้กับประเทศไทย โดยที่ทั้ง DGAC และแอร์บัสมีแนวคิดว่าเมื่อการกำกับดูแลด้านการบินมีมาตรฐาน การเดินทางมีความปลอดภัย สายการบินต่างๆ ก็จะเติบโตขึ้น ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการบินก็จะย้อนกลับไปซื้อเครื่องบินของแอร์บัส และทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกัน"


​    แนวทางการบริหารของ พล.อ.อ.มนัท จึงมุ่งส่งเสริมและสร้างความร่วมมือกับเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทยให้เติบโต โดยมีหลายโครงการที่ตั้งใจผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นโครงการจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานที่สนามบินสุวรรณภูมิ (Maintenance Repair and Overhaul, MRO) การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมนักบิน ลูกเรือ รวมถึงช่างซ่อมเครื่องบิน (Aviation Training Center) ซึ่งจะทำให้ไทยมีการสร้างบุคลากรด้านการบินครบวงจร นอกจากนั้น ยังส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินในส่วนของ General Aviation และ Private Jet ให้มากขึ้น การส่งเสริมธุรกิจการขนส่งทางอากาศ (Air Cargo) โดยโครงการต่างๆ นี้ เป็นการดำเนินการภายใต้นโยบาย Aviation Hub ของรัฐบาล และจะต้องอาศัยความร่วมมือกันของทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นต้น

    "กิจการ Private Jet นั้นเรามักจะมองว่าเป็นเรื่องของคนที่มีฐานะและมีจำนวนน้อย แต่ในความจริงแล้วคือธุรกิจที่จะมาตอบโจทย์ในเรื่อง Luxury Tourism เพราะเจ้าของธุรกิจหรือมหาเศรษฐี มักจะไม่เดินทางโดยใช้สายการบินปกติ ดังนั้น การผลักดันให้มีเทอร์มินัล สำหรับ Private Jet ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือท่าอากาศยานภูเก็ต จะทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องมากมาย โดยในปัจจุบันเรามีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากับสายการบินปกติมากพอสมควร ซึ่งเป็นเชิงปริมาณ (Quantity) และถ้าเราเสริมด้วยคุณภาพของนักท่องเที่ยวระดับที่มีกำลังซื้อสูง (Quality) เหล่านี้ก็จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของประเทศได้มากขึ้น"

    ส่วนในด้านการส่งเสริมด้านความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพของสนามบินนั้น พล.อ.อ.มนัท ยังได้สนับสนุนให้มีการติดตั้งระบบ Digital Tower ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและช่วยเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้มากขึ้นอีกด้วย การส่งเสริมให้นำระบบ Inspection & Security AI Drone มาใช้ในการตรวจพื้นที่ต่างๆ ของสนามบิน รวมทั้งการติดตั้งระบบ Anti Drone เพื่อดูแลความปลอดภัยของสนามบิน โดยในปัจจุบันโครงการต่างๆ เหล่านี้ได้รับความร่วมมือจาก บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี

    "การช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการบินในประเทศช่วง Low Season โดยได้เสนอขอลดภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเครื่องบินลง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่ลดลงและจะจำหน่ายตั๋วในราคาที่ถูกลง โดยบังคับให้สายการบินต้องแสดงราคาที่ลดลงจากการลดภาษีน้ำมันให้ผู้โดยสารทราบก่อนซื้อ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนเลือกเดินทางทางเครื่องบินมากขึ้น กิจการการบินและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตขึ้น"


​    "ความยุติธรรมสร้างความสุขในองค์กร"

    นอกจากแนวทางการสร้างความร่วมมือเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมการบินแล้ว การบริหารองค์กรเป็นอีกภารกิจสำคัญ โดยในฐานะผู้นำองค์กรหัวใจสำคัญที่จะทำให้พนักงานมีความสุขคือสร้างระบบการทำงานที่ยุติธรรม ทำงานประสานสอดคล้องกัน และยกระดับการพัฒนาองค์ความรู้ภายในองค์กรทั้งส่วนรวมและส่วนบุคคลของพนักงาน

​    พล.อ.อ.มนัท กล่าวว่า สำหรับตัวเองนั้นการทำงานคือความสุขและไม่เคยกลัวงานหนัก แต่กลับมีความรู้สึกว่าถ้าไม่ได้ทำงานจะไม่มีคุณค่า ในส่วนของพนักงานนั้นสิ่งที่จะทำให้พนักงานมีความสุขคือการสร้างระบบงานที่ยุติธรรม เพราะเมื่อพนักงานได้รับความยุติธรรมจะมีความตั้งใจ มีกำลังใจในการทำงาน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ซึ่งหากสามารถทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอาคารสถานที่ สวัสดิการของพนักงาน รวมทั้งการสนับสนุนในเรื่องของ Work Life Balance เพราะมองว่า เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การทำงานมีความสุข

    "เมื่อตอนที่อยู่กองทัพอากาศผมเป็นคนประชุมเร็ว โดยกำหนดให้ประชุมไม่เกิน 50 นาที แต่บางครั้ง 15-20 นาทีก็เสร็จ เราควรประชุม สรุป และเอาเวลาที่เหลือไปทำงาน อีกเรื่องหนึ่งคือ ความสามารถในการทำงานแทนกันได้ ด้วยการแบ่งปันความรู้ มีการบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ (Knowledge Base Management, KM) และการสร้างหน่วยงานให้เป็น Learning Organization ยกตัวอย่างเช่น การส่งเสริมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลาพักผ่อน แต่ก่อนที่จะลาไปนั้น จะต้องสอนงานของตัวเองให้คนอื่นทำงานแทนได้ก่อน หรือการให้ไปทำงานในส่วนอื่นที่จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้เรียนรู้และเข้าใจในงานของส่วนที่เกี่ยวข้อง การสร้างฐานข้อมูลรวมขององค์กร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรในการถ่ายทอดความรู้ และทำให้คนในองค์กรสามารถทำงานร่วมอย่างมีความสุข"

    ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ในการก้าวสู่เส้นทางของการเป็นนักบินตั้งแต่เด็กจนเติบโตในสายวิชาชีพนักบิน หลอมรวมประสบการณ์ที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน ภารกิจในการเป็นผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยของ พล.อ.อ.มนัท จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเติมเต็มความฝันที่อยากจะให้อุตสาหกรรมการบินของไทยเจริญเติบโตและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป