ท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง ความผันผวนจากนโยบายการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องจับตาอย่างใกล้ชิด สำหรับประเทศไทย ความสามารถในการแข่งขันในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน ควบคู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อรองรับบริบทของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
Thai Union Group มองความไม่แน่นอนเหล่านี้เป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตครั้งสำคัญ ผ่าน “กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573” หรือ Strategy 2030 โร้ดแม็ปใหม่ที่ตั้งเป้าเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเลพร้อมสร้างการเติบโตอย่างสมดุลในทุกมิติของธุรกิจ

ต่อยอดแบรนด์หลัก ขยายพอร์ตสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่
กลยุทธ์สำคัญของไทยยูเนี่ยนในปี 2026 คือการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก ด้วยการต่อยอดพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ระดับโลก อาทิ Chicken of the Sea, John West, King Oscar และ Petit Navire ผ่านการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและการทำตลาดที่สอดรับกับเทรนด์สุขภาพ โภชนาการ และความรับผิดชอบต่อส่วนรวมที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น
ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ Private Label ครอบคลุมสินค้าอาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารพร้อมรับประทาน ด้วยเครือข่ายโรงงานและบริษัทร่วมทุนใน 15 ประเทศ ช่วยให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในกว่า 120 ประเทศทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความยั่งยืนเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ระยะยาว
ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® ที่ขับเคลื่อนต่อเนื่องและกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 10 โดยมี 11 พันธกิจ ที่ครอบคลุมการดูแลทั้งผู้คนและโลก สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติถึง 10 ประการ
อาทิ มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การทำประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และเกษตรกรรมอย่างรับผิดชอบ ยกระดับระบบตรวจสอบและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สอดรับกับมาตรฐานสากลที่เข้มข้นขึ้น ในด้านการดำเนินงาน เรามีกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับประสิทธิภาพและการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย ผ่านโครงการทรานส์ฟอเมชั่นระดับโลก การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมศักยภาพการทำงาน และลดความซับซ้อนของกระบวนการ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและขีดความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารของโลก จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ประจำปี 2567 และยังได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 11 ติดต่อกันแล้ว โดย DJSI เป็นดัชนีที่ประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนหลายพันแห่ง

ลงทุน Innovation เสริมความยืดหยุ่น สร้างการเติบโต
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ไทยยูเนี่ยนเดินหน้าลงทุนในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเสริมความแข็งแกร่งเพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอาทิ Marine Collagen จาก ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ของแบรนด์ John West ที่สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึงปีละ 65 ตัน ลดการใช้เหล็กเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์ได้กว่า 400 ตันต่อปี ลดการใช้กระดาษได้ถึง 300 ตันต่อปี และรีไซเคิลได้ง่าย และ Functional Petfood ให้สอดรับกับเทรนด์ Pet Humanization ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงการมองสัตว์เลี้ยงจากแค่เพื่อน แต่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวและเป็นศูนย์กลางความรัก โดยเจ้าของทุ่มเทเงิน เวลา และความใส่ใจมากขึ้น ส่งผลให้เกิดตลาดและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นอาหารพรีเมียม, บริการดูแลสุขภาพ, โรงแรมสัตว์เลี้ยง และสินค้าเฉพาะทาง ทำให้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโดยรวมได้อย่างดี



มุมมองผู้บริหารเน้นการปรับตัวเร็ว ลดความซับซ้อน เพิ่มความแข็งแกร่ง
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและภายใน กลยุทธ์รับมือของไทยยูเนี่ยนจึงมุ่งเน้น Resilience การปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ Simpler การลดความซับซ้อนของการทำงาน Leaner เพิ่มความคล่องตัว, และ Faster การสร้างความเร็วในการทำงานและตัดสินใจ ควบคู่การปลูกฝัง Growth Mindset ให้บุคลากรไม่หยุดเรียนรู้และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ธุรกิจสามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางความผันผวน
เดินหน้าปี 2026 บนสมดุลของการเติบโตและความยั่งยืน
หัวใจของการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนคือ การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบ โดยปี 2026 ของไทยยูเนี่ยนจะเป็นปีแห่งการเสริมความแข็งแกร่งเชิงโครงสร้างของธุรกิจ ผ่านการผสานความยั่งยืน นวัตกรรม และประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้ถือหุ้น ลูกค้า และสังคม พร้อมยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

