สมุนไพรไทยต้องไประดับโลก! "วังพรม" ทุ่มงบ 150 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ รับเทรนด์รักสุขภาพ - Forbes Thailand

สมุนไพรไทยต้องไประดับโลก! "วังพรม" ทุ่มงบ 150 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ รับเทรนด์รักสุขภาพ

FORBES THAILAND / ADMIN
24 Jan 2024 | 06:31 PM
READ 1376

สมุนไพรวังพรม ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยมากว่า 30 ปี ประกาศเดินหน้ายกระดับศักยภาพการผลิต ทุ่มงบลงทุนกว่า 150 ล้านบาท เปิดโรงงานแห่งใหม่เพื่อเป็นทั้งศูนย์กลางการผลิตและศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มมาตรฐานระดับสากล ตั้งเป้าส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดและส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพแก่ผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
ในอนาคต


    วัชรีภรณ์ วังพรม ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด กล่าวว่า “สมุนไพรวังพรมได้รับการยอมรับจากลูกค้ารุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ธุรกิจของเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยไลน์อัพสินค้าครอบคลุมหลากหลายกลุ่มทั้ง กลุ่มยาหม่องสมุนไพร กลุ่มน้ำมันนวดสมุนไพร กลุ่มยาดมสมุนไพร และยาแคปซูลสมุนไพรเป้าหมายของเราต้องการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงวางเป้าให้ผลิตภัณฑ์ของสมุนไพรวังพรมขึ้นแท่นเป็น
ยาสามัญประจำบ้าน

    พร้อมอธิบายว่าผลิตภัณฑ์ของวังพรมต้องการการรองรับมาตรฐานการส่งออก GMP/PICs ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาของประเทศในสหภาพยุโรป มาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตยาสามัญ ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่มีเป้าหมายปรับปรุงมาตรฐานการผลิตของผู้ผลิตยาแผนโบราณขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงผู้ผลิตที่ผลิตยาในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำในประเทศ จึงเป็นที่มาของการลงทุนเปิดโรงงานแห่งใหม่ ที่จะทำให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้


วัชรีภรณ์ วังพรม

    ปัจจุบันสัดส่วนยอดจำหน่ายโดยรวมของสมุนไพรวังพรม มีกลุ่มยาหม่องสมุนไพรครองสัดส่วนอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะยาหม่องเสลดพังพอนและยาหม่องไพล ทั้ง 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ครองสัดส่วน 93% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด อัตราการเติบโตของยอดขายกลุ่มสินค้ายาหม่องและน้ำมันนวดในปี 2566 ที่ผ่านมา คิดเป็น 12% จากปีก่อน และคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายเติบโตขึ้นเป็น 15% เนื่องจากมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น

    สำหรับสัดส่วน
การขายแบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 70% โดยเป็นยอดขายในเขตกรุงเทพฯ 40% และในต่างจังหวัด 60% ส่วนตลาดต่างประเทศมีสัดส่วนยอดขายที่ 30% ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ในช่วงที่ผ่านมา จึงหันมามุ่งเน้นและให้ความสำคัญ
กับการส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าจนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ทำให้สามารถเปิดตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น ได้แก่ กลุ่มประเทศ CLMV, เกาหลีใต้, จีน, รัสเซีย และประเทศกลุ่มคาบสมุทรอาหรับ ในปีนี้ทางบริษัทมีเป้าหมายขยายตลาดสู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเพื่อรองรับความต้องการของสินค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้ตัดสินใจขยายโรงงานใหม่เพิ่ม

    โรงงานแห่งใหม่ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ใช้งบประมาณรวม 150 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนใหญ่
ในรอบ 20 ปี แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่

    โซนที่ 1 พื้นที่ผลิตยา มีห้องแยกย่อยกว่า 40 ห้องเป็นระบบปิดทั้งหมดและเป็นห้องคลีนรูม 
ติดเครื่องปรับอากาศทั้งหมดทุกห้อง ใช้มาตรฐาน GMP/PICs ในการผลิต รวมถึงใช้ระบบน้ำ RO (มาตรฐานเดียวกับน้ำดื่มขวด Pet ) ในการล้างภาชนะ ตลอดจนคำนึงถึงการประหยัดพลังงานโดยการติดตั้งโซล่าร์เซลล์ให้กำลังไฟกว่า 120 Kw ช่วยลดค่าไฟ ประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอน และเสริมเครื่องจักรเต็มไลน์ผลิต



    โซนที่ 2 โซนสำนักงาน ที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของทีมงานฝ่ายบริหาร มีห้องประชุม 2 ห้อง 
พื้นที่รับประทานอาหารภายใน

    โซนที่ 3 คือโกดังเก็บสินค้า เพื่อสามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

    ในช่วงระยะแรกคาดว่าโรงงานแห่งนี้จะมีกำลังในการผลิตสินค้าสมุนไพรได้เดือนละ 1 ล้านขวด จากเดิมที่เคยผลิตได้ปีละ 6.5 ล้านขวด คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น 50% เพื่อรองรับตลาดในอีก 5 ปี

    ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าสินค้าแบรนด์ไทยบ้านๆ ก็สามารถพัฒนาจนสามารถได้รับการยอมรับมาตรฐานระดับโลกได้ ซึ่งแบรนด์สมุนไพรวังพรม จะมุ่งมั่นพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่างสินค้าสมุนไพรไทยที่ผลิตด้วยมาตรฐานระดับสากล



    สำหรับทิศทางของตลาดสมุนไพร วังพรมมองว่าตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของกรมการแพทย์แผนไทยฯ คาดการณ์ในปี 2566 ที่ผ่านมาว่าตลาดสมุนไพรไทย
จะมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท ในขณะที่ Euromonitor คาดการณ์ว่า ในปี 2569 ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพร
ในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 59,500 ล้านบาทเลยทีเดียว

    ทั้งนี้เนื่องมาจากคนยุคใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติ รวมไปถึงชาวต่างชาติที่มีความชื่นชอบสมุนไพรไทยเป็นทุนเดิม นอกจากนี้ทิศทางตลาดอุตสาหกรรมยาทั่วโลกในปี 2567 มีแนวโน้มจะปรับราคายาขึ้นไปอย่างต่ำ 20% ส่งผลให้อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย

    “เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งด้วยทิศทางของตลาดที่มีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับจุดแข็งของสมุนไพรวังพรมที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา โดยเฉพาะยาหม่องที่ลูกค้าชอบใช้ในการนวดด้วยสูตรเฉพาะตัวทำให้นวดได้ลื่นโดยไม่ร้อนแสบผิวแต่เย็นสบายและหายเมื่อย” วัชรีภรณ์ยังพูดถึงเอกลักษณ์ของยาหม่องวังพรมคือกลิ่นที่ไม่มีใครเหมือน แม้จะมีสินค้าเลียนแบบที่พยายามทำแพคเกจจิ้งให้คล้ายกัน แต่ลูกค้าที่ใช้ประจำจะสามารถแยกแยะได้ทันที

    ในปีนี้เรายังมีแผนพัฒนาออกสูตรใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าเจาะเข้าถึงหลากหลายกลุ่มทั้ง กลุ่มคนรักสุขภาพ-ออกกำลังกาย, กลุ่มผู้สูงอายุ Boomer, 
กลุ่มเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน, กลุ่ม Gen X, Y และเริ่มขยายเข้ากลุ่ม Gen Z โดยเฉพาะ First jobber มากขึ้น” 
วัชรีภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : “บ้านปู” เซ็นสัญญาเงินกู้ 2.4 พันล้าน หนุนธุรกิจตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า ขยายฐานการผลิตแบตฯ EV ในจีน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine