สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ตั้งเป้ายอดขาย 4.5 พันล้าน จากงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025 - Forbes Thailand

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ตั้งเป้ายอดขาย 4.5 พันล้าน จากงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025

FORBES THAILAND / ADMIN
19 Aug 2025 | 08:06 PM
READ 190

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านประเมินตลาดครึ่งปีหลัง 2568 ตลาดฟื้นตัวจาก 6 แรงส่ง อาทิ ต้นทุนสร้างบ้านใหม่ราคาเดิม โปรโมชั่นลดราคาพิเศษในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025” พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 4.5 พันล้านบาท จากการขนทัพแบบบ้านใหม่หลากหลายสไตล์ที่มีทุกระดับราคาให้เลือกตั้งแต่ 1-100 ล้านบาท


    อนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เผยว่า สถานการณ์ตลาดบ้านสร้างเองช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่า 96,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีมูลค่าสูงสุด อันดับ 1 คือ 19,200 ล้านบาท คิดเป็น 20% ส่วนต่างจังหวัดมีมูลค่า 76,800 ล้านบาทคิดเป็น 80% 


    โดยอันดับ 2 คือภาคใต้ มูลค่า 18,240 ล้านบาท คิดเป็น 19% อันดับ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมูลค่า 16,320 ล้านบาท คิดเป็น 17% อันดับ 4 ภาคเหนือและภาคตะวันออก มีมูลค่าเท่ากันที่ 15,360 ล้านบาท คิดเป็น 16% และตามด้วยภาคตะวันตก มูลค่า 7,680 ล้านบาท คิดเป็น 8% และภาคกลาง มูลค่า 3,840 ล้านบาท คิดเป็น 4% 


    ตัวเลขข้างต้นชี้ให้เห็นว่ามูลค่าตลาดบ้านสร้างเองช่วงครึ่งปีแรก 2568 ลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2567 ที่มีมูลค่า 107,000 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงครองสัดส่วนอันดับ 1 อยู่ถึงแม้ว่ามูลค่าจะลดลง 5%

    ส่วนสัดส่วนแบ่งตามระดับราคาบ้าน ซึ่งเก็บข้อมูลจากยอดเซ็นสัญญาของสมาชิกสมาคมฯ มีดังนี้ อันดับ 1 ราคา 10-20 ล้านบาท คิดเป็น 26% อันดับ 2 ราคา 2.5-5 ล้านบาท คิดเป็น 25% อันดับ 3 ราคา 5-10 ล้านบาท คิดเป็น 23% อันดับ 4 ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็น 20% และอันดับสุดท้ายราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท คิดเป็น 6% 

    ขณะที่มูลค่ารวมของตลาดบ้านสร้างในปี 2567 มีมูลค่า 211,000 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีมูลค่า 107,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 คือ 26,750 ล้านบาท คิดเป็น 25% และต่างจังหวัดมูลค่า 80,250 ล้านบาท คิดเป็น 75% 

    อันดับ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่า 21,000 ล้านบาท คิดเป็น 20% อันดับ 3 ภาคใต้และภาคเหนือมีมูลค่าเท่ากันที่ 17,120 ล้านบาท คิดเป็น 16% ตามด้วยภาคตะวันออก มูลค่า 12,840 ล้านบาท คิดเป็น 12% ภาคตะวันตก มูลค่า 7,490 ล้านบาท คิดเป็น 7% และภาคกลาง มูลค่า 4,280 ล้านบาท คิดเป็น 4%

    ส่วนสัดส่วนแบ่งตามระดับราคาบ้าน ซึ่งเก็บข้อมูลจากยอดเซ็นสัญญาของสมาชิกสมาคมฯ ช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีสัดส่วน ดังนี้ อันดับ 1 ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็น 33% อันดับ 2 ราคา 10-20 ล้านบาท คิดเป็น 25% อันดับ 3 ราคา 5-10 ล้านบาท คิดเป็น 20% อันดับ 4 ราคา 2.5-5 ล้านบาท คิดเป็น 17% และอันดับสุดท้ายต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท คิดเป็น 5% 

    ทั้งนี้ อนันต์กร ยังกล่าวถึงแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2568 ว่า จากที่ติดลบ 15% ในไตรมาสแรกสู่การติดลบ 10% ในไตรมาสที่ 2 ภาพรวมตลาดเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้นทั้งในตลาดกรุงเทพฯ ปริมณฑล โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา เชียงใหม่ และภูเก็ต โดยธุรกิจรับสร้างบ้านยังสามารถไปต่อได้ในครึ่งปีหลัง 2568 จาก 6 ตัวเร่งที่สำคัญ ดังนี้



    1. ความต้องการสร้างบ้านของกลุ่มลูกค้าที่มีที่ดินอยู่แล้ว มีเงินออม พร้อมที่จะปลูกสร้างบ้าน ยังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ค่อยผันผวนเหมือนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ 

    2. การรับรู้แบรนด์บริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นและมั่นใจในการใช้บริการของสมาชิกสมาคมฯ จากมาตรฐานงานก่อสร้างที่ชัดเจน และสำคัญที่สุดคือไม่มีปัญหาเรื่องทิ้งงาน 

    3.บริษัทสมาชิกยังไม่ปรับราคาขึ้น แม้ว่าตลาดจะมีการปรับขึ้นค่าแรงแล้ว ขณะที่และราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับราคาขึ้นในอนาคต 

    4. เป็นช่วงไฮซีซัน จากการเก็บสถิติพบว่าช่วงไตรมาส 3 ผู้บริโภคมักตัดสินใจจองปลูกสร้างบ้านในช่วงนี้ 

    5. ได้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษสามารถกู้ได้ 100% จากธนาคารพันธมิตร 

    6. สมาคมฯ จัดงานแฟร์ เพื่อกระตุ้นตลาด โดยมีโปรโมชั่นพิเศษ พร้อมลุ้นรับทองคำแท่งมูลค่ากว่า 4 แสนบาท เมื่อจองปลูกสร้างบ้านภายในงาน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 กันยายน 2568 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 6 ภายในงานมีแบบบ้านมากกว่า 1,000 พร้อมทีมงานสถาปนิกให้คำปรึกษา โดยตั้งเป้าว่าจะมียอดผู้ชมงานกว่า 11,000 คน และยอดขาย 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดจองสร้างบ้านภายในงาน 3,000 ล้านบาท และยอดติดตามหลังงานอีก 1,500 ล้านบาท


ภาพ : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ส่อง '5 ทำเลทอง' ซื้อ-ขายอสังหาฯ ยิ่งติดรถไฟฟ้า BTS-MRT ยิ่งฮอต! ผู้บริโภคต้องการสูง!

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine