วัฒนธรรมบริษัทเป็นอย่างไร
วัฒนธรรมของ ฤทธา เริ่มจากกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทได้มีโอกาสไปทำงานที่บริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น จึงได้ซึมซับวัฒนธรรมจากองค์กรและนำมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับบริษัท ฤทธา จนถึงปัจจุบัน วัฒนธรรมดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า Hāto Culture โดยคำว่า Hāto มีที่มาจากคำว่า Heart ที่แปลว่า "หัวใจ" ซึ่งพอนำมาใช้ร่วมกับการทำงาน จะได้ความหมายว่า "การทำงานด้วยใจ ใจที่รักองค์กรและลูกค้า" เปรียบเสมือนว่า ไม่ว่าบริษัทจะทำสิ่งใดก็จะทำด้วยใจซึ่งจะสอดคล้องกับหลักการของ Hāto คือ ถ้างานไม่เสร็จ เราไม่เลิก เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้าอย่างตรงเวลา แม้จะต้องอดหลับอดนอนก็จะทำจนกว่าจะเสร็จตามมาตรฐานที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อพนักงานทำงานด้วยใจผลที่ออกมาก็จะนำไปสู่ความสำเร็จ ทั้งนี้แนวคิดของ Hāto ไม่เพียงทำงานแค่ในขอบเขตหน้าที่ แต่จะทำงานเกินหน้าที่ด้วยใจที่อยากจะทำ ด้วยแนวคิดนี้จึงกลายมาเป็นสิ่งที่สืบต่อกันมาภายในองค์กรโดยที่ทุกคนยินดีจะทำด้วยใจและมองภาพเดียวกันคือต้องการส่งมอบให้ตรงเวลาตามที่ได้มีการตกลงกันไว้พร้อมกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพ ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวนอกจากเรื่องการทำงานด้วยใจที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในบริษัทก่อสร้างญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ "ความใส่ใจต่อผู้ร่วมงาน" สิ่งนี้ถือว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารให้ความสำคัญเป็นอย่างมากตั้งแต่ตอนที่เริ่มก่อตั้งบริษัท เช่น ถ้าลูกน้องหิวข้าวเราก็จะมีข้าวให้ทานร่วมกันเป็นทีม เป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าวหม้อเดียวกัน รวมถึงใส่ใจเรื่องอื่นๆ นอกจากเรื่องงานด้วยไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว การเรียนรู้ เป้าหมายในอนาคต เปรียบเสมือนเป็นดั่งคนในครอบครัว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมาจาก คุณสุวัฒน์ เชาว์ปรีชา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ฤทธา จำกัด โดยเวลาที่คุณสุวัฒน์ไปดูหน้างานก่อสร้างจะชี้ไปยอดตึกแล้วจะพูดเสมอว่า "ถ้าคนที่ยืนทำงานอยู่บนยอดตึกเป็นลูกหลานเราแล้วต้องทำงานโดยไม่มีอุปกรณ์ Safety เราจะรู้สึกอย่างไร คนงานก็ต้องทำงานโดยมีอุปกรณ์ Safety เหมือนกัน เพราะคนงานก็เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเราเช่นกัน" ในฝั่งของ Subcontractor และ Supplier เมื่อครบกำหนดเราห้ามบิดพลิ้ว เราต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้ตรงเวลา เพราะเป็นความรับผิดชอบเรา เราไม่เคยติดหนี้ค้างชำระใครหรือจ่ายเงินล่าช้า นอกเสียจากว่าเขาไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้ เราไม่ได้ดูแลแค่พนักงานของเราแต่เราคิดเสมอว่า Subcontractor และ Supplier ก็ถือว่าเป็นครอบครัวของเราเช่นกัน

Hāto Culture มีบทบาทอย่างไรในองค์กร
Hāto Culture เป็นสิ่งที่ส่งผ่านกันมาตั้งแต่พนักงานรุ่นแรกจนถึงพนักงานใหม่ที่เข้ามาในบริษัทโดยจะถูกปลูกฝังในเรื่องระเบียบวินัย ความตรงต่อเวลา เป็นสิ่งสำคัญ โดยวิธีที่เราปลูกฝังคือจัดให้มี Morning Talk ที่ไซต์งานก่อสร้างสำหรับพูดคุยในทุกวันก่อนเริ่มทำงานหรือแม้แต่ตอนประชุม Weekly Meeting ที่จะมีการจัดประชุมขึ้นในทุกสัปดาห์เพื่อวางแผนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ใช่เป็นแค่การคุยกันในระดับผู้บริหารแต่รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่หัวหน้าได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่างคือการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกน้องภายในทีมไม่ว่าจะเป็นการไปถึงหน้างานตั้งแต่เช้าตรู่ ในทุกวันเพื่อแสดงให้ทีมเห็นว่าแม้จะเป็นหัวหน้าแต่ก็ยังใส่ใจในเรื่องของระเบียบวินัยและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกน้องเพื่อทำตามในอนาคต ไม่ใช่แค่ในเวลางานแต่รวมถึงเวลาพักหัวหน้าก็จะเข้าไปคลุกคลีอยู่กับลูกน้องภายในทีมเพื่อไม่ให้รู้สึกห่างไกลจากทีม เปรียบเสมือนกับเราเป็นครอบครัวเดียวกันและสร้างความสนิทสนมภายในทีมซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานที่ลูกน้องจะส่งมอบกลับมาให้แก่บริษัท นอกจากนี้หัวหน้าก็จะไปนอนพักที่หน้างานกับลูกน้องด้วยเช่นกันและในทุกๆ เดือนจะมีการจัด Safety Meeting เพื่อรวมตัวกันไปทานอาหารและพูดคุยว่าการดำเนินงานที่ผ่านมามีจุดไหนที่มีความเสี่ยงและสามารถเป็นอันตรายกับพนักงานได้หรือไม่ อีกทั้งยังถือว่าเป็นการทานข้าวร่วมกันเพื่อผ่อนคลายและพัฒนาระบบความปลอดภัยของบริษัทรวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย อีกหนึ่งพฤติกรรมที่เราจะทำไม่ว่าเราจะไปก่อสร้างที่ไหนคือการใส่ใจพื้นที่รอบข้างที่เราก่อสร้างและไม่มีการสร้างปัญหาให้กับผู้คนหรือชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเราใส่ใจตั้งแต่การติดตั้งแผงป้องกันฝุ่น การลดเสียงรบกวนจากงานก่อสร้าง สเปรย์พ่นน้ำเพื่อลดฝุ่นผงในอากาศ การทำพื้นที่โดยรอบให้สะอาดและไม่รบกวนผู้อื่น สิ่งเหล่านี้อยู่ในทุกการทำงานของเรา หากเกิดปัญหาขึ้นสิ่งสำคัญคือผู้นำเนื่องจากผู้นำต้องไม่ท้อถอยและต้องยืนหยัดอยู่ด้านหน้าเผชิญกับปัญหาเพื่อทุกคน การมีผู้นำที่คอยให้กำลังใจคอยนำพาเดินนำไปข้างหน้าจะทำให้ทุกคนภายในทีมเชื่อมั่นและพร้อมก้าวตามไปด้วยกันแม้จะเจองานที่ยากลำบากแค่ไหนทุกคนก็พร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่แม้จะล่วงเลยเวลางานเพื่อให้สามารถส่งมอบงานได้สำเร็จในท้ายที่สุด

ช่วงไหนคือช่วงที่บริษัทเผชิญกับความยากลำบากที่สุด
ช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดของบริษัทมีด้วยกัน 2 ช่วง โดยช่วงแรกคือช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเนื่องจากในช่วงนั้นทุกภาคส่วนในประเทศได้รับผลกระทบกันหมด ทำให้จำนวนงานก็ปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้บริษัทต้องหาทางอยู่รอดในวิกฤตครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกันบริษัทก็มองเห็นความสำคัญของพนักงานมาเป็นลำดับต้นๆ โดยบริษัทไม่เคยปลดพนักงานแม้จะไม่มีงาน เพราะเราคิดว่าทุกคนมีค่าใช้จ่ายที่จะต้องแบกรับ เราเลยไม่คิดจะปลดพนักงาน จะมีก็แต่คนที่ไม่ดีคดโกงเท่านั้นที่บริษัทจะปลดออก ด้วยเหตุนี้ทำให้บริษัทไม่เสียบุคลากรที่มีคุณค่าและความสามารถออกไปจากบริษัทในช่วงวิกฤตเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นๆ ส่งผลให้บริษัทมีความพร้อมมากกว่าและไม่ต้องเสียเวลาหาบุคลากรใหม่จากวิกฤตที่เกิดขึ้น เพราะในช่วงวิกฤตเราเตรียมตัวรอพร้อมรับงาน พองานมาก็พร้อมรับและพร้อมลุยทันที ซึ่งการที่กลุ่มผู้บริหารแสดงความใส่ใจในช่วงที่ยากลำบากทั้งตัวบริษัทและพนักงาน ทำให้พนักงานก็ซาบซึ้งและยินดีที่จะตอบแทนบริษัทอย่างเต็มกำลังความสามารถจนนำไปสู่การรักองค์กรด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็มาจากรากฐาน Hāto Culture ที่อยู่ในสายเลือดของการเป็นพนักงาน ฤทธา
ช่วงต่อมาคือช่วงวิกฤต COVID-19 บริษัทได้รับผลกระทบมากในโครงการหนึ่งที่อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งมอบ เนื่องจากปัญหาต่างๆ ได้แก่ คนงานหายาก วัสดุขึ้นราคาเป็นต้น แต่บริษัทก็พยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถในการส่งมอบ เพราะเราจะแก้ปัญหาในทุกวิถีทางเพื่อส่งมอบงานให้ทันตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับเจ้าของโครงการ แต่ในท้ายที่สุดถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้หรืออยู่นอกเหนือการควบคุม บริษัทก็จะแจ้งให้กับทางผู้ว่าจ้างทราบถึงที่มาของความล่าช้าในการส่งมอบงาน ตัวอย่างเช่น งานที่ไม่ได้อยู่ในแผนตั้งแต่เริ่มหรือเป็นงานที่เพิ่มเติมจากที่ตกลงกันไว้ในตอนแรก ซึ่งเป็นความเสี่ยงของบริษัทที่จะรับและดำเนินการให้แล้วเสร็จทันเพื่อเป้าหมาย แต่ก่อนจะถึงขั้นนั้น ฤทธาจะพยายามดำเนินการให้แล้วเสร็จทันตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับเจ้าของโครงการภายใต้มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยระดับสูง จึงเรียกได้ว่าสิ่งนี้เป็น DNA ของบริษัทก็ว่าได้

โลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มีผลต่อวัฒนธรรมและองค์กรอย่างไร
ด้วยแนวคิดและวัฒนธรรมขององค์กรที่บอกว่า "ทำด้วยใจ ใจถึงใจ" แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่การทำอะไรด้วยใจจะไม่มีวันเปลี่ยน โดยฤทธาจะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้นำในด้านงานก่อสร้างและพัฒนาไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพของงานให้มากขึ้นและลดข้อผิดพลาดเนื่องจากเรามองว่าการจะทำผลลัพธ์ให้ดีได้จะต้องผ่านการทำงานที่สนุกซึ่งการนำเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาใช้จะช่วยทำให้ทีมงานไม่รู้สึกเบื่อกับงานที่ทำและจะสนุกไปกับความท้าทายใหม่ๆ จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและลดภาระงานของผู้ปฏิบัติงาน คำพูดของผู้บริหารท่านหนึ่งได้บอกไว้ว่า "เราต้องมอบอาวุธใหม่ที่แข็งแกร่งแก่คนทำงานเพื่อเพิ่มแรงใจและประสิทธิภาพ" อีกสิ่งหนึ่งที่แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วแค่ไหนแต่สิ่งที่เราไม่เคยเปลี่ยนคือความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่แค่กับบริเวณพื้นที่ก่อสร้างเท่านั้นแต่รวมถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนโดยรอบพื้นที่ก่อสร้างและพนักงานด้วยเช่นกัน เช่น การวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพเสียง รวมถึงการดูแลเรื่องความสะอาดโดยรอบโครงการก่อสร้าง นอกจากนี้ สำนักงานใหญ่ของเราที่ออกแบบมาเพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานอาคารอนุรักษ์พลังงานระดับ LEED Gold จาก U.S. Green Building Council (USGBC) โดยสิ่งนี้สะท้อนถึงความใส่ใจของบริษัทต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่อดีตไปจนถึงอนาคตเพื่อก้าวไปข้างหน้าพร้อมโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ ฤทธา ภูมิใจ
ฤทธาเรามีเป้าหมายเดียวกัน ในแง่ธุรกิจแน่นอนว่าเรื่องกำไรขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ความภูมิใจเวลาเราได้ก่อสร้างงานใหม่ๆ ที่มีความท้าทาย ทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ฝ่ายประมาณราคา ฝ่ายออกแบบ ฝ่ายจัดซื้อ ไปจนถึงหน่วยงานที่ดูแลหน้างานล้วนอยากจะส่งมอบงานเพื่อให้ผู้ว่าจ้างรู้สึกมั่นใจได้แน่นอนว่าฤทธาสามารถดำเนินงานให้สำเร็จได้แน่นอน โดยส่งมอบงานที่มีคุณภาพและความปลอดภัย และเมื่อโครงการที่เราก่อสร้างได้รางวัลไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือระดับโลก เราก็มีความภาคภูมิใจกับงานที่ออกมา เรื่องที่เราให้ความสำคัญและภูมิใจไม่แพ้กันคือเรื่องความปลอดภัยในการทำงานที่ทุกภาคส่วนไม่มีการเกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่น การทำงาน 10 ล้านชั่วโมงโดยไม่มีอุบัติเหตุเลยจนได้รับรางวัลแสดงความชื่นชมจากเจ้าของโครงการ โดยเราไม่ได้มองแค่งานว่าจะต้องเสร็จให้ทันอย่างเดียวแต่เรามองถึงความปลอดภัยของพนักงานและทุกคนที่ร่วมทำงานในโครงการ เพราะเราเชื่อว่าถ้าอยากให้งานออกมาดีและมีคุณภาพเราต้องเริ่มที่การใส่ใจในตัวพนักงานก่อนเป็นอันดับแรก หากพนักงานได้รับการดูแลและใส่ใจก็จะแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในโครงการนั้นๆ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจกับผลงานที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ฤทธาจะไม่ยอมอ่อนข้อและเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้คือเรื่องการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตตั้งแต่มูลค่าน้อยหรือมูลค่ามากก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะถือว่ามีเจตนาและตั้งใจที่จะทำสิ่งไม่ดีต่อบริษัท โดยบริษัทมีนโยบายไม่รับของขวัญไม่ว่าจะเป็นงานปีใหม่หรืองานใดๆ จะไม่มีการรับสินบนหรืออะไรที่จะนำมาซึ่งการทุจริต หรือแม้แต่เรื่องการเจรจาข้อตกลงกับลูกค้าในเรื่องการลดคุณภาพและความปลอดภัยในงานก่อสร้างเพื่อลดต้นทุนของโครงการ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถยอมรับได้ เพราะหากเราตัดสินใจรับงานแล้วเราถือว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยภายใต้การบริการด้วยความทุ่มเท เอาใจใส่อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อส่งมอบงานแก่ลูกค้าตามที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเกียรติภูมิของ "ฤทธา"


