“เอสซีฯ” นำธง “บ้านเดี่ยวโตสวนตลาด” ครึ่งปีขาย 9.6 พันล้าน ไตรมาส 2 โต 118% - Forbes Thailand

“เอสซีฯ” นำธง “บ้านเดี่ยวโตสวนตลาด” ครึ่งปีขาย 9.6 พันล้าน ไตรมาส 2 โต 118%

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว สำหรับตลาดระดับกลาง-ล่าง ในขณะที่ตลาดบนราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปยังคงเติบโตด้วยดี แม้ช่วงเวลาเคลียร์สต็อกบ้านแนวราบจะขยายเวลาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็ตาม


    “เอสซี แอสเสท” ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท้อป 10 ในตลาด ยังคงสร้างความเติบโตและยอดขายเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ยอดขายในภาพรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เอสซีฯ ยังคงสามารถสร้างการเติบโตได้ ด้วยการเจาะตลาดที่ยังคงมีกำลังซื้อและเชื่อมั่นในบริษัทฯ

    ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยในโอกาสพบปะสื่อมวลชนในวาระพิเศษ เพื่ออัพเดตสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผลการดำเนินงานของเอสซี แอสเสท โดยยอมรับว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูง หรือคอนโดมิเนียม ชะลอตัวมากกว่าตลาดแนวราบหรือธุรกิจบ้านจัดสรรที่ยังคงเติบโตได้ในบางเซกเมนต์ โดยเฉพาะตลาดระดับบนขึ้นไป


ครึ่งปีแรกขาย 9.6 พันล้าน

    “ระยะเวลาในการขายโครงการยืดออกไปเป็นเท่าตัว โดยบ้านจัดสรรจากเดิมเคยใช้เวลา 2.5 ปีต่อโครงการ ยืดเป็น 5 ปี ขณะที่คอนโดฯ จากที่เคยขายได้หมดภายใน 1-1.5 ปี ขยายเป็น 2.5 ปี” ณัฐพงศ์ เผยข้อมูลจากการติดตามสถานการณ์ธุรกิจอย่างละเอียด และยอมรับว่าระยะเวลาการขายที่เพิ่มขึ้นสะท้อนการชะลอตัวของตลาดได้อย่างชัดเจน


    อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมตลาดจะชะลอตัว แต่ซีอีโอเอสซีฯ เผยว่าบริษัทฯ ยังคงมียอดขายที่ดีโดยในครึ่งแรกของปี 2568 บริษัททำยอดขายได้ 9,613 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบ้านจัดสรรแนวราบในตลาดระดับบน คือราคาต่อยูนิตที่ 20 ล้านบาทขึ้นไป เจาะกลุ่มพรีเมียมและลักชัวรี่ ซึ่งยังมีกำลังซื้อที่ดี แต่ก็ยอมรับการซื้อบ้านด้วยเงินสดลดลงไปมากพอสมควร

    หากเจาะลึกในรายละเอียดสำหรับการขายบ้านไตรมาส 2/2568 ของเอสซีฯ พบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว คือ 118% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 และเพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2567 โดยพบว่า โครงการบ้าน 20 ล้านบาท เป็น “พระเอก” ของตลาด และเป็นพระเอกของเอสซีฯ ด้วยเช่นกัน โดยมียอดขายถึง 5,204 ล้านบาท หรือราว 68% ของยอดขายบ้านจัดสรรทั้งหมดในช่วง ครึ่งแรกของปี 2568



    โดยโครงการขายดี ได้แก่ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขสวัสดิ์-พระราม 3 (GRAND BANGKOK BOULEVARD SUKSAWAT-RAMA 3), แมทเทอร์ งามวงศ์วาน (MATTER NGAMWONGWAN) และเรฟเฟอเรนซ์ สาทร วงเวียนใหญ่ (REFERENCE SATHORN-WONGWIANYAI)

    และโครงการที่ใกล้ปิดการขาย ได้แก่ คอนนาเซอร์ (CONNOISSEUR), เวนิว โฟลว์ แจ้งวัฒนะ (VENUE FLOW CHAENGWATTANA), เวิร์ฟ เพชรเกษม (VERVE PETCHKASEM) และ วีคอมพาวด์ ติวานนท์-รังสิต (V COMPOUND TIWANON-RANGSIT) ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ขายได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะเอสซีฯ เลือกจับตลาดถูกเซกเมนต์ โดยเป็นเจ้าตลาดบ้านระดับพรีเมียม



เตรียมเปิดอีก 8 โครงการ

    ดังนั้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เอสซีฯ จึงเตรียบเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการเด่นที่เปิดขาย 8 โครงการ ซึ่งเลือกกลุ่มทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์สูง ได้แก่ กรุงเทพฯ ชั้นใน คือโครงการโค้บบ์ ลาดพร้าว-สุทธิสาร (COBE LADPRAO-SUTTHISAN) และจะเปิดแบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท

    นอกจากนี้ยังมีทำเลฝั่งเหนือของกรุงเทพฯ ได้แก่ บางกอก บูเลอวาร์ด ติวานนท์-ดอนเมือง (BANGKOK BOULEVARD TIWANON-DONMUEANG), บางกอก บูเลอวาร์ด วิภาวดี-พหลโยธิน 2 (BANGKOK BOULEVARD VIBHAVADI-PHAHOLYOTHIN 2)

    ส่วนฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ได้แก่ เวนิว ฟอร์ม บางนา ศรีวารี (VENUE FORM BANGNA-SRIVAREE) และฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ได้แก่ ซันเล เรสซิเดนเซส (SONLE RESIDENCES), บางกอก บูเลอวาร์ด งามวงศ์วาน (BANGKOK BOULEVARD NGAMWONGWAN)

    ไม่เพียงโครงการที่อยู่อาศัย เอสซีฯ ยังเดินหน้าขยายโครงการที่สร้างรายได้หมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการคลังสินค้า หรือ Warehouse & Factory for Rent ซึ่งภายในสิ้นปี 2568 จะก่อสร้างเสร็จสะสมกว่า 150,000 ตร.ม. ตั้งเป้าปล่อยเช่าเต็ม 100% โดยมีฐานลูกค้าในธุรกิจ Logistics 45%, Manufacturing 25%, Data Center 16% และ Others 14%

    นอกจากนี้ธุรกิจโรงแรมก็เป็นอีกหนึ่งแผนกระจายความเสี่ยง ที่เอสซีฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่าที่ผ่านมาได้เปิดโรงแรมไปแล้วหลายแห่ง เช่น YANH RATCHWAT เปิดให้บริการแล้ว ที่จะเปิดในเดือนกันยายนนี้ คือ KROMO CURIO COLLECTION by Hilton และจะเปิดในเดือนตุลาคมนี้คือ โรงแรม The Standard Pattaya Na Jomtien นอกจากนี้ยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีก 1 โครงการ


แผนกระจายความเสี่ยง

    ณัฐพงศ์ เผยว่า นอกจากโครงการข้างต้นแล้ว เอสซีฯ ยังมีแผนกระจายความเสี่ยงและมีการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาโครงการด้วย รวมทั้งกระจายแหล่งเงินทุนหลากหลาย เช่น สถาบันการเงินรายใหญ่, พันธมิตรการลงทุน (Investment Partner), หุ้นกู้ (Bond)

    ในส่วนของพันธมิตร ที่ผ่านมาเอสซีฯ ได้จับมือพันธมิตรหลากหลายทั้งไทยและต่างชาติ 6 ราย ร่วมกันพัฒนาและลงทุนใน 4 ธุรกิจ ได้แก่ พันธมิตรญี่ปุ่น โตเกียว ทาเทโมโนะ, ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป, นิชิเทตสึ มีโครงการที่เป็นการร่วมลงทุน (Joint venture) 10 โครงการ เช่น Landed ได้แก่ เพฟ กาญจนาฯ-ราชพฤกษ์ (PAVE KANCHANA-RATCHAPHRUEK) Condo ได้แก่ เรฟเฟอเรนซ์ เกษตร ดิสทริค (REFERENCE KASET DISTRICT), เรฟเฟอเรนซ์ เอกมัย (REFERENCE EKKAMAI), เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ (REFERENCE SATHORN-WONGWIANYAI) และ เดอะ เครสท์ พาร์ค เรสซิเดนซ์ (THE CREST PARK RESIDENCES)

    นอกจากนี้ยังมี Warehouse ได้แก่ SCX Logistics Bangna km.20, SCX Logistics LaemChabang และ SCX Logistics Amata Chonburi และในส่วนของโรงแรม ได้แก่ KROMO CURIO COLLECTION by Hilton และ The Standard

    ส่วนการระดมทุนได้มีการออกหุ้นกู้ปี 2568 เปิดขายไปแล้ว 2 ครั้ง ขายหมด 100% มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ และความแข็งแกร่งทางการเงินของเอสซีฯ ซึ่ง ณัฐพงศ์ เผยว่าได้วางกลยุทธ์ 3B ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ทำให้องค์กรแข็งแกร่งผ่านทุกสถานการณ์

    ซึ่งกลยุทธ์ 3B ประกอบด้วย

    Believe: สร้างแบรนด์ SC ให้น่าเชื่อถือทั้งในแง่คุณภาพ บริการ ความใส่ใจโลก

    Buffer: ดูแลสุขภาพการเงินให้แข็งแกร่ง สภาพคล่องสูง ระดับหนี้ต่ำ มีแหล่งเงินทุนและพันธมิตรการลงทุนหลากหลาย

    และ Blend: ผสมผสานพอร์ตธุรกิจหลากหลาย รองรับโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

    ซีอีโอ เอสซีฯ ยอมรับว่าการทำธุรกิจยากขึ้นทุกวัน ปัจจัยความเปลี่ยนแปลงมีเข้ามาตลอด แต่เขาและทีมงานยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพและมองว่าธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ แผนงานระยะกลางและระยะยาว 3-5 ปีและอีก 10 ปีข้างหน้ายังคงมีเป้าหมาย แต่การประเมินปัจจัยเสี่ยงและความเป็นไปได้ ต้องทำทุกเดือนเพื่ออัพเดตความพร้อม โอกาส และความเป็นไปของธุรกิจและสภาพแวดล้อม ซึ่งต้องมองในรายละเอียดมากกว่ายุคก่อนค่อนข้างมาก และต้องมีแผนระยะสั้นเพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ



ภาพ: SC Asset



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : SC Asset อวดยอดขายบ้านหรูไตรมาส 2/2568 โตแรง 118% เซ็กเมนท์หลังละ 20 ล้านครองแชมป์ยอดขายสูงสุด

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine