“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นำวิถียั่งยืน ดันรายได้ “SC Asset” 3 หมื่นล้าน

เป้าระยะยาว เอสซี แอสเสท ปี 2566 เดินหน้าสู่กำไร 3 พันล้านบาท

เอสซี แอสเสทกำลังพัฒนา ‘วิธีการอยู่อาศัย’ และแตกแขนงธุรกิจใหม่กับ ‘บ้านมือสอง’

<h2>เดินทางมาครึ่งปี 2561 เอสซี แอสเสทสรุปผลครึ่งปีแรกเก็บรายได้ 6,652 ล้านบาทจากบ้านแนวราบ-โอนคอนโดฯ ศาลาแดง วัน ครึ่งปีหลังโหมเปิด 15 โครงการ ดันยอดขาย-รายได้สู่เป้า 1.7 หมื่นล้าน แย้มราคาคอนโดฯ ที่ดินหลังสวนเกิน 6 แสนบาท/ตร.ม.</h2>
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในทิศทางที่ดี เป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ทำให้เอสซี แอสเสทเองมีผลประกอบการที่ดีเช่นกัน โดยสามารถสร้างยอดพรีเซลได้ 7,235 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 1.7 หมื่นล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 70% และโครงการแนวสูง 30%

ในขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกของบริษัททำได้ 6,652 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 1.7 หมื่นล้านบาท รายได้ครึ่งปีแรกเติบโตขึ้น 44% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการเติบโตสูงของกลุ่มโครงการแนวราบราคา 8-20 ล้านบาท และราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ประกอบกับการโอนคอนโดมิเนียมศาลาแดง วัน ทำให้รายได้เติบโตกว่าปีก่อน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8496648c2d72280bb0bc253ca5c4e648.png" alt="" width="638" height="387" /><figcaption> เป้าหมายรายได้ 1.7 หมื่นล้านของเอสซี แอสเสท ยังต้องมียอดขายจากโครงการพร้อมโอนเข้ามาเสริมอีก 31%</figcaption></figure>

ส่วนรายได้ในครึ่งปีหลังมีแผนจะไปให้ถึงตามเป้าที่วางไว้ โดยมาจากแบ็กล็อกรอโอนในปีนี้รวมกับรายได้ค่าเช่าคิดเป็นมูลค่า 5,507 ล้านบาท ทำให้เหลือช่องว่างรายได้อีก 31% หรือประมาณ 5,270 ล้านบาทที่เอสซี แอสเสทจะผลักดันการขายโครงการพร้อมอยู่ทั้งแนวราบและแนวสูงเพื่อเป็นรายได้ของปีนี้

&nbsp;
<h2>การตลาดออนไลน์: เพิ่มลูกค้า-ลดค่าใช้จ่าย</h2>
สำหรับกำไรสุทธิครึ่งปีแรกอยู่ที่ 704 ล้านบาท เติบโต 107% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเติบโตสอดคล้องกับรายได้ที่สูงขึ้น และการลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ทั้งส่วนค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลง -13% เนื่องจากเอสซี แอสเสทหันมาทำตลาดออนไลน์มากกว่าเดิม และค่าใช้จ่ายการก่อสร้างที่ลดลง -15%

“การตลาดออนไลน์เรามีการทำ JBP (Joint Business Partner) กับ Google นำทีมการตลาดของเราไปเรียนกับ Google โดยตรง ทำให้ทำงานได้ดีขึ้น จนเราเป็น 1 ใน 4 แบรนด์อสังหาฯ ที่มีคนค้นหาใน Google สูงที่สุด และทำให้ยอด walk-in เข้าชมโครงการเรามาจากการตลาดออนไลน์และการบอกต่อเพิ่มเป็น 45% ของทั้งหมด รวมทั้งยอดจองโครงการจากสองช่องทางนี้รวมกันเพิ่มเป็น 60% แล้ว” ณัฐพงศ์กล่าว

&nbsp;
<h2>เปิดคอนโดฯ อ่อนนุช – ปูพรมบ้านทุกระดับราคา</h2>
ด้านโครงการเปิดตัวช่วงครึ่งปีแรกบริษัทเปิดตัวไปแล้ว 3 โครงการ ครี่งปีหลัง 2561 เอสซี แอสเสทจะเปิดอีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้านบาท

แบ่งเป็นคอนโดฯ 1 โครงการ คือ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท ทำเลห่างจากสถานีบีทีเอสอ่อนนุช 230 เมตร โครงการพัฒนาเป็น 3 อาคาร ซึ่งปีนี้จะเปิดขาย 1 อาคารสำหรับลูกค้าเก่า พนักงาน และลูกค้าต่างชาติก่อน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/edc6d053ba0ceafc838cda62808c6bb5.jpg" alt="" width="638" height="338" /><figcaption> ภาพจำลองส่วนล็อบบี้อาคารของคอนโดฯ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น</figcaption></figure>

ทั้งนี้ โครงการ เดอะ เครสท์ สุขุมวิท 23 จะเลื่อนไปเปิดตัวปี 2562 เนื่องจากปีหน้าบริษัทจะเปิดตัวเดอะ เครสท์พร้อมกัน 2 ทำเล คือ สุขุมวิท 23 และลาดพร้าว ด้านโครงการบนที่ดินซอยหลังสวนซึ่งเอสซีฯ ซื้อที่ดินมาในราคา 3.18 ล้านบาทต่อตร.ว. และให้บริษัทร่วมทุน บริษัท สโคป จำกัด เป็นผู้ดูแลการพัฒนา จะเปิดตัวช่วงครึ่งปีแรก 2562 โดยณัฐพงศ์คาดว่าจะเป็นคอนโดฯ ราคาไม่ต่ำกว่า 6 แสนบาทต่อตร.ม.

ส่วนอีก 14 โครงการเปิดตัวปีนี้ เป็นโครงการแนวราบ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 10 โครงการ กระจายระดับราคาครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ เช่น เดอะ เจนทริ เอกมัย-ลาดพร้าว ราคาเริ่ม 30 ล้าน, บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา ราคาเริ่ม 8 ล้าน, เวนิว พระราม 9 ราคาเริ่ม 6 ล้าน, เพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา ราคาเริ่ม 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่สองของบริษัทที่บุกฉะเชิงเทรา

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6593df08dba2b251a4ffa1b22d9270f8.jpg" alt="" width="638" height="352" /><figcaption> คลับเฮาส์ของแบรนด์ใหม่ วี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า</figcaption></figure>

นอกจากนี้เป็นกลุ่มทาวน์เฮาส์-โฮมออฟฟิศ 3 โครงการ ในราคาเริ่มต้น 2-6 ล้านบาท และแบรนด์ใหม่ วี คอมพาวด์ ทำเลราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นแบรนด์ผสมทาวน์โฮมกับบ้านแฝดในโครงการเดียวด้วยราคาเริ่ม 3 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้จะทำให้เอสซี แอสเสทมีโครงการระหว่างขายรวม 51 โครงการ มูลค่ารวม 4.7 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้มีคอนโดฯ ศาลาแดง วัน และ บีทนิค สุขุมวิท 32 ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนแล้ว และเป็นคอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรี ทำให้เชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้หนุนบริษัทให้ทำได้ตามเป้าหมาย

เอสซี แอสเสท เดินเครื่องล่าเป้ายอดขาย-รายได้ 1.7 หมื่นล้าน เปิดตัวเพิ่มอีก 15 โครงการ

<h2>คลื่นลูกใหม่อสังหาฯ เล็งปรับวิธีคิดรับแลนด์สเคปธุรกิจเปลี่ยนสู่ Living Solutions Provider เดินหน้าตามแผน “SC Re-Invention 2020” สร้างยอดขายรวมทะยานมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ย้ำภาพผู้นำบ้านเดี่ยวพรีเมียม พร้อมขยับฐานแมสครอบคลุมกลุ่มผู้อยู่อาศัย</h2>
“ประสบการณ์ที่ได้รับผสมผสานทั้งด้านบริหาร สถาปัตยกรรม การตลาด การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และที่ปรึกษา ทำให้เรามีมุมมองกว้างขึ้น สามารถสื่อสารได้กับคนหลากหลายหน้าที่ เพราะงานพัฒนาอสังหาฯ เหมือนผลิตภัณฑ์ชิ้นใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนหลายเรื่อง ขณะที่มุมมองสถาปัตย์ฯ ทำให้เราเข้าใจมิติผลิตภัณฑ์ลึกขึ้น”

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการปรับความรู้ที่ผ่านมาด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ MBA จาก DePaul University สหรัฐอเมริกา และยังสั่งสมความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายบทบาทหน้าที่ ก่อนจะเข้าสู่บ้านเอสซี แอสเสท ปี 2555

จากวันแรกในบ้านหลังใหญ่ที่มีโครงการในมือกว่า 30 โครงการและเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากพันล้านบาทสู่หมื่นล้านบาทในช่วงเวลา 10 ปี ผู้บริหารรุ่นใหม่เรียนรู้ที่จะลดอุณหภูมิความต้องการเร่งสร้างความเปลี่ยนแปลงในทศวรรษต่อมาโดยให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจธุรกิจและเสริมทัพความแข็งแกร่งของบริษัทให้สามารถเติบโตพร้อมกันในระยะยาว

“สิ่งที่ต้องทำก่อนเปลี่ยนแปลงคือ รู้จักตัวเอง รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ในวันนั้นเราทำหลายอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะทีมไม่ได้วิ่งไปกับเรา ผมต้องถอยออกมาก้าวหนึ่ง เราต้องรู้ว่าบริษัทเราแข็งแรงเรื่องไหน และต้องเติมเรื่องไหน ผมดึงตัวเองให้ช้าลง เพื่อเดินไปด้วยกันกับทีม”

สำหรับจุดแข็งของบริษัทยุคแรกในมุมมองของณัฐพงศ์อยู่ที่การเอาใจใส่ดูแลทั้งทีมงาน ลูกค้า และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการรักษาเครดิตตามเงื่อนไขสัญญาที่ระบุไว้ ทั้งสถาบันการเงิน คู่ค้า หรือผู้อยู่อาศัย ส่งผลให้เกิดการแนะนำบอกต่อและความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่สร้างการเติบโตให้บริษัทได้อย่างแข็งแกร่ง

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/a78e83147cc8066182fbc976a89b3b5e.jpg" alt="" />
<h3>ถอดสมการ Human-Centric</h3>
ณัฐพงศ์พร้อมปรับวิธีคิดนำบริษัทก้าวสู่บริบทใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นในการเป็น “Living Solutions Provider”ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย ด้วยการทำงานเชื่อมโยงกันภายใต้ ecosystem ที่มีสมาชิกหลากหลายและมีการเชื่อมต่อระหว่าง ecosystem เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่มากกว่าผลิตภัณฑ์และบริการ

สำหรับการทำงานร่วมกันใน ecosystem ของ 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่ม incumbents หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดิม และกลุ่ม tech entrepreneurs ทำงานด้วยความรวดเร็วและสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงกลุ่ม digital giants ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มขยายขนาดและขอบเขตการทำธุรกิจครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

“เรื่องหลักในวันนั้นคือคุณภาพ แต่วันนี้มี 3 เรื่อง ได้แก่ รู้ใจ คุณภาพ และนวัตกรรม เราเปลี่ยนความคิดใหม่ลูกค้าต้องการอะไร และใช้ชีวิตอย่างไรเราต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่วิธีคิดเปลี่ยน บริบทเปลี่ยน เพราะมีเรื่อง digital technology มา disrupt เราไม่ได้วิ่งคนเดียวบนโลก แต่ละอุตสาหกรรมทำงานร่วมกันเป็น ecosystem ทุกคนมีหลายบทบาท ทั้งคู่แข่งหรือคู่ค้าแยกกันยากมาก”

ภายใต้วิธีคิดใหม่ของความร่วมมือตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคบนภูมิทัศน์ธุรกิจใหม่ ณัฐพงศ์เดินหน้า 4 กลยุทธ์ตาม “SC RE-INVENTION 2020” ซึ่งเป็นโรดแมปหรือแผนการทำงานของบริษัท 3 ปี (2561-2563) นำโดยกลยุทธ์ RE-INVENTION จากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สู่การเป็นผู้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยผ่าน 3D ได้แก่ Digitize, Design และ Develop

สำหรับกลยุทธ์ CO-CREATION ซึ่งบริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรในระบบ ecosystem เราใช้แพลตฟอร์ม “Rue Jai” และกลยุทธ์ QUALITY FIRST หรือการให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและบริการ ซึ่งแบ่งออกเป็นก่อนและหลังการโอน หรือก่อนและหลังการขาย

ส่วนการบริการหลังการขายในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทได้ก่อตั้งบริษัทย่อยชื่อบริษัท เอสซี เอเบิล จำกัดเพื่อ “สอน” และ “ซ่อม” ด้วยการเปิด Able Academy สถาบันอบรมพัฒนาช่างฝีมือ และอบรมทีม รปภ. ที่ดูแลความปลอดภัยให้โครงการภายใต้ SC ทั้งหมด และสถาบันนี้จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมไทยด้วยการยกระดับช่างฝีมือในประเทศ

ขณะเดียวกันบริษัทยังร่วมลงทุนกับ Fixzy สตาร์ทอัพอนาคตไกลที่สร้างแอพพลิเคชั่นรวบรวมสารพัดช่างอันดับ 1 ของไทย ส่วนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าทำหน้าที่เป็น secured income โดยปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่อาคารสำนักงานเพื่อเช่ารวม 110,000 ตรม. หรือมีสัดส่วนของกำไรสุทธิสูงถึง 1 ใน 4 ของทั้งหมด

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/017cc5559ddb42b2bb887a733ed65a58.jpg" alt="" />
<h3>ก้าวสู่โรดแมป 6 หมื่นล้าน</h3>
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 ณัฐพงศ์สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำลายสถิติทั้งยอดขายรวมและแนวราบ โดยยอดขายรวมเติบโต 32% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท และแนวราบเติบโต 33% อยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท

ในปีนี้บริษัทได้วางเป้าหมายยอดขายและรายได้จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 11% และ 36% ตามลำดับจากแผนการเปิดโครงการใหม่ 19 โครงการมูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมโครงการที่เปิดขายทั้งหมดในปีนี้ที่ 58 โครงการมูลค่ารวม 5.6 หมื่นล้านบาท

“วันนี้สภาพตลาดมีรูปแบบของดีมานด์หลากหลาย เช่น คอนโดฯ 5 ล้านบาทเหมือนกันแต่รสนิยมของผู้อยู่อาศัยต่างกันเราจึงนอกจากนี้ร่วมลงทุนกับคุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ เปิด บริษัท สโคป จำกัด ช่วยเพิ่มสไตล์ที่หลากหลายให้กับกลุ่มคอนโดฯ เราไม่ได้เน้นที่เซกเมนต์กลุ่มไฮเอนด์หรือแมสแต่เป็นความเข้าใจและความถนัดมากกว่าเช่น คนชอบไอศกรีมเหมือนกันแต่คนละรสชาติ เราอาจจะถนัดวานิลลาหลายแบบส่วนสโคปถนัดช็อกโกแลต” ณัฐพงศ์ กล่าว

ณัฐพงศ์เชื่อมั่นว่าในทุกความเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยพลังของทีมงานจำนวนกว่าพันคนในบริษัทเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนความสำเร็จ โดยผู้บริหารวัย 38 ปีมุ่งมั่นสร้างความสุขจากภายในองค์กรบนหลักความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตหรือ work life balance เพื่อให้การทำงานทุกวันมีความสุขและสามารถเติบโตไปพร้อมกันในระยะยาว รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเกี่ยวกับวิธีคิดและทัศนคติการเอาใจใส่ดูแลในทุกด้าน

ภาพ: เอกพงศ์ ตันติผลประเสริฐ
<iframe id="instagram-embed-0" class="instagram-media instagram-media-rendered" src="https://www.instagram.com/p/BkNaKbyl2RT/embed/?cr=1&amp;v=8&amp;wp=250&amp;rd=http%3A%2F%2Fforbesthailand.com&amp;rp=%2Fpeople-detail.php#%7B%22ci%22%3A0%2C%22os%22%3A1969.199999999546%7D" height="526" frameborder="0" scrolling="no" data-instgrm-payload-id="instagram-media-payload-0" data-mce-fragment="1"></iframe>

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ พลิกมิติเอสซีสู่บริบทใหม่

<h2>เอสซี แอสเสท มีฐานตลาดสำคัญในกลุ่มลูกค้าระดับบนมาตลอด โดยส่วนใหญ่จะเน้นบ้านเดี่ยวราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปจนครองมาร์เก็ตแชร์ 20% ในตลาดบ้านหรูราคาสูงกว่า 20 ล้านบาท</h2>
แต่เอสซีฯ เริ่มปรับทิศทางใหม่โดยชิมลางมาตั้งแต่ส่งบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาทแบรนด์ "เพฟ" ลงมาฟาดฟันเมื่อปี 2558 รวมถึงปีที่ผ่านมา เอสซีฯ เติมทาวน์เฮาส์แบรนด์ "เวิร์ฟ" เข้ามาในพอร์ต โดยเป็นทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท

ปีนี้ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จึงมีแบรนด์ในพอร์ตครบทุกกลุ่มราคาพอที่จะขยายฐานตลาดใหม่อย่างเต็มกำลังเพื่อตอบสนองอุปสงค์ในตลาดกลางถึงล่างนี้ โดยซีอีโอหนุ่มขยายแนวความคิดว่า ในช่วง 3 ปี (2561-63) พอร์ตรายได้ของบริษัทจะมีที่มาจากโครงการแนวราบ 65% คอนโดมิเนียม 30% และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เช่น ออฟฟิศบิลดิ้ง 5%

ในกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบนั้น กลุ่มซัพพลายหลักที่บริษัทพัฒนาจะเปลี่ยนแปลงไป จากปัจจุบันเป็นบ้านราคามากกว่า 20 ล้านบาท สัดส่วน 40% ของพอร์ต

ในปี 2563 เอสซีฯ จะมีฐานใหญ่ของโครงการแนวราบจากโครงการราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท สัดส่วน 30% และราคา 5-8 ล้านบาท สัดส่วน 20% โดยลดสัดส่วนบ้านหรูราคามากกว่า 20 ล้านบาทจะลดเหลือ 25% และอีก 25% นั้นจะยังคงพัฒนาบ้านราคา 8-20 ล้านบาทเช่นเดิม

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/aace28d10213abf88cae675640a9da1f.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ซีอีโอ เอสซี แอสเสท นำเสนอแผนการปรับพอร์ตกลุ่มราคาโครงการแนวราบของบริษัท เปรียบเทียบระหว่างปี 2561 กับ 2563</figcaption></figure>

อีกทั้งจะเริ่มขยายตัวออกจากโซนถนัดคือกรุงเทพฯ ตะวันตก มาเป็นโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกให้มากขึ้นตามการเจริญเติบโตของเมือง รวมถึงเริ่มออกต่างจังหวัด เริ่มจากปีนี้ที่จังหวัดฉะเชิงเทราจะเปิดตัวแบรนด์เพฟ 2 โครงการ

ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูง ปีที่ผ่านมาเอสซีฯ ประกาศจัดตั้งบริษัทลูกในนาม บริษัท สโคป จำกัด โดยเอสซีฯ ถือหุ้น 90% ส่วนอีก 10% ถือโดย มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ และได้มืออาชีพด้านการบริหารโครงการอสังหาฯ ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ มาเป็นซีอีโอ บริษัทวางแผนให้ทั้งเอสซีฯ และสโคปพัฒนาคอนโดฯ ในรอบ 3 ปีนี้รวมกัน 11 โครงการ แบ่งสัดส่วนจำนวนโครงการของแต่ละบริษัทราว 50:50

ณัฐพงศ์แจกแจงว่า สโคปเกิดขึ้นเพื่อเป็นทีมใหม่ในการพัฒนาคอนโดฯ คอนเซปท์ใหม่ ให้ยงยุทธเป็นแม่ทัพการออกแบบ การขาย การตลาดอย่างเต็มที่ในทุกกลุ่มราคาตั้งแต่ 7 หมื่นบาท/ตร.ม. จนถึงกลุ่มซูเปอร์ ลักชัวรี และจะแตกแบรนด์ใหม่ๆ ออกมาไม่ซ้ำกับแบรนด์ของเอสซีฯ เดิม โดยเอสซีฯ เป็นผู้สนับสนุนด้านทีมก่อสร้าง ทั้งนี้ การพัฒนาจะไม่ทับซ้อนดึงลูกค้ากลุ่มเดียวกันเอง

"สโคปพัฒนาได้ทุกเซ็กเมนต์ แต่คาแรกเตอร์จะต่างกับของเอสซีฯ ซึ่งมีคาแรกเตอร์แบบ 'อบอุ่น' ทางสโคปจะดีไซน์ให้มีความ 'ซิ่ง' มากขึ้น" ซีอีโอเอสซี แอสเสทอธิบายเพิ่มเติมว่า<a href="http://forbesthailand.com/pr-detail.php?did=2212">สโคปจะพัฒนาแปลงแรกคือที่ดินหลังสวนเนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตร.ว.</a> เยื้องโรงเรียนมาแตร์เดอี คาดว่าจะเปิดตัวได้ต้นปี 2562

แผนการปรับตัวเหล่านี้ของเอสซี แอสเสทมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันยอดขายและรายได้ให้เติบโตปีละ 20% จากปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 1.7 หมื่นล้านบาท และเป้ารายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท ปี 2563 ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 2.4 หมื่นล้านบาท และเป้ารายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4baeb5c503e7d37eb45f7f5e9cbfefa1.png" alt="" width="680" height="401" /><figcaption> แผนการเติบโตของเอสซี แอสเสท ระยะ 3 ปี (2561-63)</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>ปี 2561 ลงทุนโครงการใหญ่ที่ดินร้อยไร่</h2>
สำหรับปี 2561 ณัฐพงศ์กล่าวว่าเอสซี แอสเสทจะเปิดตัวรวม 19 โครงการ มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 17 โครงการ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้านบาท และคอนโดฯ 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท

โครงการแนวราบปีนี้บริษัทจะเปิดตัวแบรนด์เพฟและเวิร์ฟเป็นหลักสัดส่วน 50% ของทั้งหมด และจะมีกลยุทธ์ใหม่ พัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ 2 ทำเลซึ่งเป็นโครงการระยะยาวพัฒนาต่อเนื่องได้ 6-8 ปี ได้แก่
<ol>
 	<li>ทำเลบางกะดี เนื้อที่ 240 ไร่ แบ่งเป็นโครงการย่อย 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท ราคาที่อยู่อาศัยเริ่มต้น 2 ล้านบาท</li>
 	<li>ทำเลกรุงเทพกรีฑา เนื้อที่ 115 ไร่ แบ่งเป็นโครงการย่อย 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท ราคาที่อยู่อาศัยเริ่มต้น 3 ล้านบาท</li>
</ol>
"การซื้อที่ดินขนาดเล็กมีข้อดีที่ความเสี่ยงต่ำและคืนทุนได้เร็ว แต่การซื้อที่ดินแปลงใหญ่แล้วทยอยพัฒนาอาจจะลงทุนสูง ได้ return ช้า แต่เมื่อพัฒนาจนถึงปีที่ 3-4 เราจะเริ่มคุ้มค่า เพราะจะได้เปรียบในการแข่งขันจากส่วนต่างราคาที่ดินที่เราซื้อในราคาเดิม" ณัฐพงศ์กล่าว

ส่วนคอนโดฯ 2 โครงการที่จะเปิดตัว ได้แก่ เซ็นทริค รัชโยธิน ทำเล 150 เมตรจากสถานี BTS รัชโยธิน (ส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่) ราคาเริ่มต้น 3.7 ล้านบาท และ เดอะ เครสท์ สุขุมวิท 23 เตรียมเปิดขายช่วงไตรมาส 4/61 โดยยังไม่เปิดเผยราคา และมีที่ดินอีก 2 แปลงที่อ่อนนุชและหลังสวน (BTS ชิดลม) รอการพัฒนาในปีต่อไป

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fcdd9d55383f0ba2d895a8d13a51ffb4.png" alt="" width="680" height="431" /><figcaption> ช่วงปี 2561-63 เอสซีฯ และ สโคป บริษัทลูกแห่งใหม่จะร่วมกันพัฒนาคอนโดมิเนียมรวม 11 โครงการ โดยมีแปลงที่ดินพร้อมพัฒนาแล้ว 4 แปลง ที่รัชโยธิน สุขุมวิท 23 อ่อนนุช และหลังสวน</figcaption></figure>

แผน 3 ปีของ 'เอสซี แอสเสท' ขยายฐานลุยตลาดแนวราบระดับกลางถึงล่าง ติดสปริงบอร์ดโตปีละ 20%

<h2>เอสซี แอสเสท ประกาศร่วมทุนเปิด บริษัท สโคป จำกัด ดึง “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” มือพัฒนาคอนโดฯ ชื่อดังนั่งแท่นซีอีโอ ประเดิมโครงการเรือธงแห่งแรกบนที่ดินหลังสวน ราคาที่ดิน 3.18 ล้านบาท/ตารางวา แพงที่สุดในประเทศไทยขณะนี้</h2>
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ประกาศการร่วมทุนครั้งสำคัญ เปิดบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัท สโคป จำกัด ดึง ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท สโคป จำกัด ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2560 ว่า SC ถือหุ้นในสัดส่วน 90% และ มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ อีก 10 %

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การรุกเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถสำหรับการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยแนวสูง ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป มีรสนิยมแตกต่างกัน มีอัตลักษณ์ชัดเจนมากขึ้นในแต่ละบุคคล และนี่คือการ Synergy ผนึกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e451f1be570bab6975702fce6da608df.png" alt="" width="350" height="512" /><figcaption> ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์</figcaption></figure>

“บริษัท สโคป จำกัด เป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูง ประกอบไปด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพ ภายใต้การนำของซีอีโอมากความสามารถ ที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องการปั้นสินค้าคอนโดมิเนียมที่สร้างความตื่นเต้นให้ตลาดเมืองไทยตลอดมา มีความถนัดในตลาดที่มีไลฟ์สไตล์พิเศษเฉพาะตัวสูงในทุกระดับราคา ขณะที่เอสซี แอสเสท ก็มีความโดดเด่นในเรื่องสินค้าคุณภาพและบริการหลังการขาย ตลอดจนความมั่นคงทางด้านสถานะทางการเงิน จึงทำให้การ synergy ครั้งสำคัญนี้ จะส่งผลบวกต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งรายได้และกำไรสุทธิ” ณัฐพงศ์กล่าว

โครงการแรกที่จะพัฒนาโดย บริษัท สโคป จำกัด ตั้งอยู่บนที่ดินในซอยหลังสวน ตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอี ใกล้เซ็นทรัลชิดลม ที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตารางวา ซึ่งเอสซี แอสเสท ชนะการประมูลด้วยมูลค่าที่ดิน 2,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางวาละ 3.18 ล้านบาท

ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ มีความมั่นใจในโครงการที่จะเปิดใหม่นี้ ว่าจะสร้างความฮือฮาแก่ตลาดได้อย่างแน่นอน  ปัจจุบันอยู่ระหว่างวางแผนพัฒนาและคาดว่าจะเปิดตัวช่วงต้นปี 2562

ทั้งนี้ ที่ดินแปลงตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอีแห่งนี้ถือเป็นที่ดินราคาเฉลี่ยแพงที่สุดในไทยที่มีการซื้อขาย ทุบสถิติแชมป์เก่าคือที่ดินเนื้อที่ 23 ไร่ของสถานทูตอังกฤษบนถนนวิทยุที่ กลุ่มเซ็นทรัล เป็นผู้ชนะประมูลในราคาเฉลี่ยตารางวาละ 2.1 ล้านบาท

เอสซี แอสเสท ตั้งบริษัทร่วมทุน ‘สโคป’ พัฒนาที่ดินแพงที่สุดในประเทศไทยในซอยหลังสวน

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ CEO บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ (SC) นำผู้บริหารเปิดตัว &ldquo;โครงการ SALADAENG ONE&rdquo; ภายใต้ Concept: The One That Matters ทำเลใจกลางธุรกิจอบนพื้นที่กว่า 1 ไร่ 3 งาน มูลค่าโครงการ 4,700 ล้านบาท 
&nbsp; 
SALADAENG ONE คอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury หนึ่งในโครงการ Limited Collection ด้วยความโดดเด่น 3 สิ่ง หนึ่งคือความโดดเด่นจากทำเลของโครงการที่อยู่ในจุดใจกลางธุรกิจ (Central Business District หรือ CBD) แห่งใหม่ในอนาคตอันใกล้ เพียง 80 เมตรจากต้นซอย ศาลาแดง 1 ถนนพระราม 4 และใกล้รถไฟฟ้ารวม 3 สถานี โดย MRT ใกล้สถานีลุมพินี, สีลม และ BTS ใกล้สถานีศาลาแดง ทั้งยังสามารถเข้าออกได้ 3 เส้นทาง ถนนพระราม 4 สาทร และ สีลม ที่สำคัญโครงการยังตั้งอยู่ใกล้สวนลุมพินี ห่างเพียง 120 เมตร จึงนับเป็นทำเลศักยภาพที่มีคุณค่าเหมาะแก่การอยู่อาศัยหรือลงทุน 
&nbsp; 
สอง ความโดดเด่นในงานสถาปัตยกรรมภายนอกและภายในอาคารในสไตล์โมเดิร์น เลือกใช้วัสดุชั้นดีลายหินอ่อนสีขาวเป็นวัสดุหลักในการตกแต่งส่วนรูปลักษณ์ ภายนอกของตึก รวมกับการใช้หน้าบานกระจกขนาดใหญ่พิเศษติดตั้งในองศาที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดแสงสีสะท้อนที่แตกต่างไปในแต่ละช่วงเวลา 
&nbsp; 
และ จุดเด่นสำคัญ คือ การออกแบบห้องพักที่ให้พื้นที่เป็นห้องขนาดหน้ากว้างพิเศษเพื่อเปิดรับวิวแบบ Panorama ของสวนลุมพินีได้แบบเต็มๆ ตา โดยห้องขนาด 1 ห้องนอน ขนาด 55 ตารางเมตร จะมีหน้ากว้าง 8.10 เมตร&nbsp; สำหรับห้องขนาด 2 ห้องนอน จะมีหน้ากว้างมากถึง 16 เมตร&nbsp; ซึ่งเปิดรับวิวได้อย่างเต็มที่ ด้วยกระจกขนาดความสูงเต็มจากพื้นถึงเพดาน โดยทั้งโครงการมีจำนวน 175 ยูนิท มี 4 แบบ 1 ห้องนอน 138 ยูนิต, 2 ห้องนอน 41 ยูนิต, 3 ห้องนอน 4 ยูนิต และ Penhouse 2 ยูนิต พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน อาทิ ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำพร้อม Sauna &amp; Steam, Business Lounge และ Sky Terrace 
 
&ldquo;SALADAENG ONE เป็นโครงการ Super Luxury และ Luxury ที่สุดที่เอสซี แอสเสท เคยทำมา&rdquo; ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ CEO บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น &ldquo;โปรเจค นี้ผมและทีมงานตั้งใจให้เป็น Limited Collection ของเรา และจะไม่ใช้กับโปรเจคอื่นๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึกพิเศษของผู้ครอบครอง&rdquo; 
 
<img class="img-responsive" class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="390" src="/uploads/userfiles/images/May%202015/sc-01-re.jpg" width="599" /> 
โดยกลุ่มเป้า หมายของโครงการสำหรับ 1 ห้องนอนอยู่ในช่วงอายุ 30 ต้นๆ ที่เป็น Young Entrepreneurs และ Young Executive ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย 50% และกลุ่ม Young Married Couple คู่รักเพิ่งแต่งงาน โดยวางกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าชาวไทย 80% สำหรับ 2 ห้องนอนนั้น วางกลุ่มตลาดเป้าหมาย อยู่ช่วงอายุ 30 &ndash; 50 ปี เป็นกลุ่มคนทำงานทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยราคาเริ่มต้นของโครงการเริ่มที่ 280,000 บาท ต่อ ตรม. หรือเริ่มต้นที่ 14 ล้านบาท 
&nbsp; 
โดยมีนาคมที่ผ่านมา SALADAENG ONE ได้ทำการ Privilege Preview นำเสนอยูนิตพิเศษ สำหรับลูกค้า VIP โดยมียอด pre-sale 900 ล้านบาท และเตรียม Road Show โครงการให้กลุ่มลูกค้าฮ่องกงและสิงคโปร์ ปลายปี 2558 
&nbsp; 
ทั้งนี้ โครงการ SALADAENG ONE จะได้รับการรับรองด้าน EIA และพร้อมก่อสร้างช่วงเดือนมิถุนายน 58 และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ปลายปี 2560 นอกจากนี้ในโครงการ SALADAENG ONE ยังมีส่วนของ Pool Villa ที่ก่อสร้างในแบบ Limited Collection ซึ่งสร้างเสร็จก่อนขาย 
 
<img class="img-responsive" class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="577" src="/uploads/userfiles/images/May%202015/sc-02.jpg" width="471" /> 
&nbsp;ยุทธศาสตร์ 5 ปี ในมือณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ 
&nbsp; 
บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ (SC) ในทศวรรษที่ 2 ที่ได้ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ลูกเขยคนโตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สมรสกับ เอม-พินทองทา ขึ้นสู่เบอร์หนึ่งดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซี แอสเสท เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 พร้อมลุยยุทธศาสตร์ 5 ปี สร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท 
&nbsp; 
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2558 บมจ. เอสซี แอสเสท ไตรมาสแรกได้เปิดตัวคฤหาสน์หรู กรานาดา ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม มูลค่า โครงการ 2,150 ล้านบาท ในไตรมาส 2 เปิดโครงการคอนโดฯ ใหม่ระดับ Super Luxury โครงการ SALADAENG ONE มูลค่าโครงการ 4,700 ล้านบาท 
&nbsp; 
&ldquo;โดย แผนในครึ่งปีหลังนี้ เปิดคอนโดมิเนียมใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการ 4,160 ล้านบาท เป็นโครงการระดับ Super Luxury ที่สุขุมวิท 32 กับคอนโดมิเนียมอารมณ์บ้าน และเปิดตัว โครงการแนวราบใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกัน 3,990 ล้านบาท&rdquo; ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ กล่าวและเสริมว่า &ldquo;SC จะประสบความสำเร็จตามเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ในปี 2558 นี้ คือ 13,900 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% พร้อมกับเป้ายอดขาย 13,000 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 50%&rdquo; 
&nbsp; 
ทั้งนี้ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ (SC) ในมือ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ มี โครงการต่อเนื่องที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด จำนวน 34 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 27,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ และโครงการแนวสูง 9 โครงการ

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events