สงครามการค้าสร้างโอกาส "บอนด์ไทย" - Forbes Thailand

สงครามการค้าสร้างโอกาส "บอนด์ไทย"

หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับนานาชาติ ทำให้ทั้งสินทรัพย์เสี่ยงและตราสารหนี้เกิดความผันผวนสูง นักลงทุนเทขายสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐ ไม่เว้นแม้แต่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา(บอนด์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและความเสี่ยงต่ำที่สุดของโลก ท่ามกลางความวิตกกังวลต่อปัจจัยลบต่างๆที่รุมเร้าอเมริกาจนกระทั่งเกิดภาวะ Sell America ขึ้นในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมานี้


    พันธบัตรรัฐบาลถือเป็นสินทรัพย์ที่ควรนิ่งในยามที่เกิดวิกฤติการณ์ต่างๆ และจะเป็นแหล่งพักเงินหรือหลุมหลบภัยยามตลาดลงทุนเกิดความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของโลก แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม

    ความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ หรือตลาดบอนด์ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา นับเป็นเดือนที่มีความผันผวนสูง เนื่องจากมีแรงเทขายอย่างหนักจากนักลงทุนทั่วโลกที่วิตกกังวลสงครามภาษี Trump โดยตลาดตราสารหนี้สหรัฐอเมริกามีการปรับตัวแรง สั่นสะเทือนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับตัวพุ่งขึ้นแรงและยืนระดับสูงใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของอเมริกาที่ระดับ 4.25%-4.50% ในปัจจุบัน

ทั่วโลกแห่ขายบอนด์สหรัฐ

    นับตั้งแต่เริ่มสงครามภาษี วันที่ 3 เมษายน 2568  อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปีและอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ระดับ 4.085% ที่เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 30 ปี ลดเหลือ 4.44% ช่วงที่แต่ละประเทศมีการตอบโต้สงครามภาษี Trump ตลาดตราสารหนี้มีแรงเทขายอย่างหนักในพันธบัตรสหรัฐออกมาจำนวนมากจากนักลงทุนทั่วโลก ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งขึ้นทำนิวไฮ (ราคาพันธบัตรตกลงอย่างรวดเร็ว)  โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 4.5% ในกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ความตึงเครียดผ่อนคลายลงหลังจากสหรัฐประกาศเลื่อนการเก็บภาษีออกไป 90 วันยกเว้นจีน  ช่วยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงมา 4.23%ในปลายเดือนเมษายน

    สำหรับแรงเทขายคาดการณ์มาจาก ญี่ปุ่น(บริษัทประกัน) และจีน  ซึ่งทั้ง 2 ประเทศ เป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จำนวนมากที่สุด 2 อันดับต้นๆของโลก และยังเป็นประเทศคู่ค้าหลักที่ถูกสหรัฐเรียกเก็บอัตราภาษีฯที่สูงมาก โดยกระทรวงการคลังสหรัฐ (ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2568) รายงานว่า เดือนมีนาคม  ประเทศที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น ถือพันธบัตรสหรัฐฯ จำนวน 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ ตามด้วย สหราชอาณาจักร ถือพันธบัตรสหรัฐจำนวน 7.79 แสนล้านดอลลาร์  ส่วนจีนตกลงมาจากอันดับ 2 ซึ่งมียอดถือครองอยู่ที่ 7.65 แสนล้านดอลลาร์ และลดลง 50% จากที่เคยถือสูงสุดที่ระดับ  1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า

    ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังคงอัตราดอกเบี้ย  และส่งสัญญาณจะไม่รีบลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เนื่องจากขอรอดูข้อมูลต่างๆ ทางเศรษฐกิจจากผลกระทบสงครามภาษี เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงการเลื่อนจัดเก็บฯจนถึงเดือนกรกฎาคม

    แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะปรับลงสลับขึ้นช่วงสั้นๆแต่ยังคงทรงตัวระดับสูงในเดือนพฤษภาคม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม Moody’s ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจาก Aaa เป็น Aa1“ เนื่องจากอเมริกามีปัญหาหนี้สาธารณะและขาดดุลงบประมาณในระดับสูง และยังเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง  นับเป็นการปรับลดเครดิตเรทติ้งสหรัฐอเมริกาในรอบ 108 ปี จากที่เคยเป็นประเทศที่มีเครดิตเรทติ้งสูงที่สุดในโลก

    ผลจากการปรับลดเครดิตเรทติ้งสหรัฐของ Moody’s ในครั้งนี้ และความวิตกกังวลผลกระทบภาษี Trump ต่อเศรษฐกิจอเมริกามีความเสี่ยงเกิดภาวะชะลอตัวจนถึงอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะข้างหน้า ปัญหาภาวะเงินเฟ้อสูงที่กลับมา จะทำให้ FED อาจปรับลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น  ล้วนเป็นปัจจัยลบต่อการถือสินทรัพย์สหรัฐ  โดยตลาดยังมีแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ดีดขึ้นไป 4.548% และอายุ 30 ปี พุ่งทะลุ 5.014% สูงสุดในรอบหลายปี โดยนักลงทุนยังคงเผชิญกับความผันผวนของราคาบอนด์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลง และผลขาดทุนที่ตามมา

    อย่างไรก็ตาม ตลาดได้ผ่อนคลายลงหลังจากสหรัฐประกาศดีลการค้ากับสหราชอาณาจักรเรียบร้อย และเตรียมติดต่อเจรจากับจีน  แต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม  ทางศาลการค้าระหว่างประเทศ มีคำตัดสินให้อเมริกายกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ เนื่องจากประธานาธิบดี Donald Trump ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด บรรยากาศลงทุนในตลาดคลี่คลายความตึงเครียด

    อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลงเล็กน้อย 4.501% และอายุ 30 ปี ปรับลดลงมาที่ 4.993% และ ล่าสุด วันที่ 5 มิถุนายน 2568  อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อายุ  10 ปี ลดลงมาที่ระดับ 4.381% และอายุ 30 ปี ลดลงมาที่ 4.866% อย่างไรก็ตาม สหรัฐกำลังเผชิญกับปัญหาขายพันธบัตรใหม่ไม่ได้ โดยมีการเปิดประมูลพันธบัตรใหม่อายุ 20 ปี แต่ไม่มีนักลงทุนสนใจ ทำให้ต้องปรับเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของหนี้รัฐบาล

    Sell America อาจจะไม่จบง่ายๆ ในปีนี้ เนื่องจากสหรัฐ กำลังเผชิญกับความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน   เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายช้าลงจากที่ตลาดคาดจะเห็นในรอบการประชุม FOMC ช่วงกลางปีนี้ และสงครามภาษี กำลังเป็นระเบิดเวลาเศรษฐกิจ ที่อาจจุดชนวนให้เกิด Bond Shock ได้รุนแรงยิ่งขึ้น

    สำหรับเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกจากตลาดบอนด์สหรัฐช่วงที่ผ่านมา ได้มีการย้ายเข้าตลาดเกิดใหม่ และไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่นักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนอย่างรุนแรง จนทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนเมษายนมีเม็ดเงินลงทุนทะลักเข้ามามากสุดในรอบ 3 ปี และต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม 2568 โดยเงินไหลเข้าสุทธิประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาท (2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และอีก  6.6 หมื่นล้านบาทตามลำดับ

    เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา นับว่ามีมูลค่าสูงมากที่สุดด้วยยอดไหลเข้าสุทธิรวม  1.3-1.4 แสนล้านบาท พลิกกลับมาจากปี 2567 ทั้งปีที่มีเงินไหลออกสุทธิกว่า 1.47 ล้านบาท

อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)


ต่างชาติกำไรบอนด์ไทยต่อเนื่อง

    อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวถึงภาพรวมตลาดตราสารหนี้ช่วงครึ่งปีแรกว่า ที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ไทยจะเคลื่อนไหวตามทิศทางเดียวกับสหรัฐอเมริกา แต่ปีนี้ ตลาดลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ในอเมริกามีความผันผวนสูงจากปัจจัยความไม่แน่นอนของมาตรการภาษี Trump ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนจนถึงปัจจุบัน และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง

    ดังนั้น นักลงทุนจึงหนีจากตลาดอเมริกา วิ่งเข้ามายังตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย เพื่อหลบความผันผวนของตลาดสหรัฐ และเห็นแนวโน้มดอลลาร์จะอ่อนค่า ซึ่งจะทำให้เงินบาทแข็งค่าอัตโนมัติ เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนต่างชาติได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกต่อหนึ่ง นอกจากผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ลงทุนในไทย

    “นับตั้งแต่ภาษี Trump มีผลบังคับใช้ต้นเมษายน ก็เริ่มมีเม็ดเงินต่างชาติเข้ามา เพื่อหลบความผันผวนในตลาดอเมริกา ขณะที่ตลาดเกิดใหม่นิ่งกว่า ซึ่งไทยเป็นตลาดที่ต่างชาติไหลเข้ามาเยอะ แม้ว่าสถานะบอนด์ไทยและสหรัฐจะต่างกันมาก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีไม่ถึง 4% ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่อยู่สูงกว่า 4% แต่เม็ดเงินต่างชาติเข้ามาเพราะมองเห็นแนวโน้มเงินบาทแข็งค่า สังเกตได้ว่าทุกจังหวะที่ประธานาธิบดี Trump ออกมาพูดใดๆ จะกระทบต่อเศรษฐกิจบ้านเขา และดอลลาร์จะอ่อนค่า เพราะฉะนั้น ตลาดบอนด์ไทยจึงเป็นทั้งที่หลบภัยความผันผวน และยังได้จากค่าเงินบาทแข็งขึ้นด้วย ถือว่าทำกำไร 2 ต่อ”

    ขณะที่แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะข้างหน้า ตลาดยังคงกังวลต่อสงครามการค้า มาตรการภาษี Trump ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อของอเมริกากลับมาสูงอีก โดยยังต้องติดตามการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยนโยบายของ FED  ซึ่งความไม่ชัดเจนของทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ อาจกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลงมาไม่ได้มาก โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ 4.4% ใกล้เคียงกับสิ้นปี 2567 ที่ระดับ 4.5% สะท้อนถึงตลาดมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสูง สอดคล้องกับช่วงก่อนหน้านี้ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ออกมาส่งสัญญาณย้ำว่า “high for  longer” หรือคงอัตราดอกเบี้ยสูงไปอีกระยะหนึ่ง

    สำหรับความเคลื่อนไหวของพันธบัตรไทย ณ  สิ้นเดือนพฤษภาคม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี อยู่ที่ 1.8% ปรับตัวลดลงถึง 50 bps. (0.5%) จากสิ้นปี 2024 ที่อยู่ระดับ 2.3% หลังจากที่ต้นปี กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งรวม 0.5%  สะท้อนว่า แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยไม่น่ากังวลมากนัก ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัว จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะเห็นดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลงอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง เนื่องจากมาตรการภาษี Trump หากเริ่มใช้กลางปีนี้จริงจะส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก ขณะที่ภาคท่องเที่ยวเริ่มอ่อนแรง  ส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทย จึงต้องติดตามรัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรในครึ่งปีหลัง

    “ในช่วงครึ่งปีหลัง กระแสเงินทุนอาจไหลเข้าออกผันผวนมากกว่าครึ่งปีแรก เพราะปัจจัยภายนอกมีความไม่แน่นอนเยอะ นโยบายการค้าสหรัฐ สงครามต่างๆ สถานการณ์ Global market  หรือหากว่าประธานาธิบดี Trump ประกาศนโยบายที่สั่นสะเทือน ต่างชาติก็จะหลบภัยมาตลาดเกิดใหม่ คาดยังเห็นเงินไหลเข้าไทยในช่วงสั้นๆ หรือบางจังหวะที่เงินบาทแข็งค่า ซึ่งอาจจะไม่มากเท่าครึ่งปีแรก ณ ตอนนี้ไทยยังได้เปรียบจากตลาดบอนด์ที่นิ่งๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลจะใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร  หรือการสร้างความน่าเชื่อถือดึงดูดต่างชาติเข้ามาไทย”

    ปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยประมาณ 9.2 แสนล้านบาท ส่วนเงินลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (7 มิ.ย.2568) ไหลเข้าสุทธิ 6.3 หมื่นล้านบาท โดยมีการลงทุนทั้งพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งส่วนใหญ่ถือพันธบัตรอายุ 5-10 ปี ส่วนพันธบัตรอายุไม่ถึง 1 ปี มีสัดส่วนไม่ถึง 5%

ดอกเบี้ยขาลงหนุนเปิดตัว G-Token

    อริยายังให้ความเห็นต่อการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในระยะข้างหน้าว่า แนวโน้มดอกเบี้ยไทยที่ลดลง จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการภาคธุรกิจและผู้ที่ต้องการระดมทุนจะมีต้นทุนที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล  รวมถึงพันธบัตรดิจิทัลหรือ “G-Token” ที่รัฐบาลจะออกมาใหม่เป็นทางเลือกลงทุน ซึ่งหากรัฐบาลออก G-Token จะอ้างอิงผลตอบแทนตามพันธบัตรรัฐบาล โดยต้องรอดูรายละเอียดของ  G-Token ที่จะออกมา

    สำหรับ G-Token หรือพันธบัตรดิจิทัล ถือเป็นนวัตกรรมทางการเงิน รูปแบบใหม่ของประเทศไทยที่ผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับการระดมทุนของภาครัฐ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไป โดยเน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายด้วยเงินลงทุนที่ต่ำและมีความคล่องตัวสูง ซึ่ง G-Token จะมีตลาดรองสำหรับซื้อขายเพิ่มสภาพคล่อง คือ แพลตฟอร์มของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล  ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลแบบปัจจุบันจะสามารถซื้อผ่านธนาคารพาณิชย์หรือตัวแทนจำหน่าย ซึ่งจะกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำค่อนข้างสูง ส่วนตลาดรองที่แลกเปลี่ยนคือ ตลาดตราสารหนี้


Gracy Chen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bitget


Gracy Chen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ Bitget แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี ให้มุมมองต่อแนวโน้มการลงทุนตลาดตราสารหนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูง ทำให้ราคาพันธบัตรมีทิศทางลดลง โดยมีปัจจัยหลักจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    ดังนั้น FED อาจจะต้องดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายได้เล็กน้อย และความไม่แน่นอนของนโยบายต่างๆในสหรัฐยังมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการภาษีฯ อย่างไรก็ตาม สัญญาณของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อาจช่วยจำกัดการพุ่งสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความผันผวนของตลาดได้ระดับหนึ่ง

    “แม้เราจะคาดว่าความผันผวนจะชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากนักลงทุนสามารถมองเห็นแนวโน้มนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ได้ดีขึ้น แต่การพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับภาษีและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อาจยังคงส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนได้ ในภาพรวมแล้ว ตลาดกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ช่วงที่ตอบสนองมากขึ้น โดยการพึ่งพาข้อมูลและสัญญาณนโยบายจะกำหนดการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนในระยะสั้น”

    นอกจากนั้น Gracy Chen ยังคาดการณ์ว่า FED อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปีนี้อยู่ที่ระดับ  3.75%-4% เป็นการส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจทำให้ช่องว่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรสหรัฐและไทยแคบลง ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจในตราสารหนี้ไทยมากขึ้น

    “ความเสี่ยงหลักสำหรับช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ได้แก่ ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกและการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจทำให้มีการไหลออกของเงินทุนหากผลตอบแทนของสหรัฐฯพุ่งสูง  หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น  ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทยยังให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดการลงทุน”

    ทั้งนี้ เงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งปีแรก อาจสะท้อนถึง "เงินร้อน" ที่แสวงหากำไรในระยะสั้น เนื่องมาจากบอนด์ไทยให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดและค่าเงินบาทที่แข็งค่า แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม

    “พันธบัตรไทย ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักที่ลงทุนได้ สำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง โดยเฉพาะในภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก”

    สำหรับการเปิดตัว G-Token ของรัฐบาลที่กำลังจะออกมาในกลางปีนี้ จะทำให้มีช่องทางการเข้าถึงใหม่ๆ สำหรับประเทศไทย  โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นอันดับแรก จะสนใจลงทุน G-Token

    อย่างไรก็ตาม G-Token เป็นพันธบัตรในรูปแบบโทเค็น ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่สูงกว่าเล็กน้อย เนื่องจากนำมาซื้อขายอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล ขณะที่ปัจจุบันกรอบการทำงานและกฎระเบียบที่ยังคงอยู่ระหว่างการพัฒนา เพราะฉะนั้น นักลงทุนจะต้องใช้ความระมัดระวัง โดยอาจ เป็นสินทรัพย์ประเภทเสริมที่ช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุนของพอร์ตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้กฎระเบียบการลงทุนมีความชัดเจน และโครงสร้างพื้นฐานของตลาดมีความครบถ้วนสมบูรณ์


เรื่อง: วิไล อักขระสมชีพ