เชียงใหม่ คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทั้งชาวไทยและต่างชาติ ด้วยตัวเลือกอันหลากหลายที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะสายลักชัวรี่ ผจญภัย ใกล้ชิดธรรมชาติ ชื่นชมวัฒนธรรมล้านนา ไปจนถึงการนั่งจิบกาแฟสบายๆ ในคาเฟ่สักแห่ง ทว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจได้ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยซบเซาลง ซึ่งเชียงใหม่ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
ข้อมูลเบื้องต้นจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เผยว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2568 จำนวน 14.36 ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 2.70% โดยนักท่องเที่ยวที่มาเยือนไทยน้อยลงส่วนมากเป็นชาวจีน อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางกลับมาเยือนไทยเพิ่มขึ้น
และหากเจาะจงไปที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 1 ของภาคเหนือ ข้อมูลเบื้องต้น ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ชี้ว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยือนเชียงใหม่ราว 1.4 ล้านคน ลดลง 2.32% จากช่วงเของวลาเดียวกันปีก่อนหน้า รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 18.2 ล้านบาท ลดลง 1.15% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไปเยือนเชียงใหม่กลับเติบโตขึ้น โดยมีจำนวนราว 3.77 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.47% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เติบโตขึ้นถึง 8.84% มาอยู่ที่ 28.82 ล้านบาท

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าเชียงใหม่ยังสามารถเติบโตได้ในฐานะเมืองท่องเที่ยว จุดประกายให้วัจนารัตน์ บัววิรัตน์เลิศ Director ของ Carpenter Avenue เลือกเปิด community space แห่งใหม่ใจกลางเมือง โดยจะ soft opening ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 นี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายคนมองว่าเป็น ‘วิกฤต’ เพราะเธอมองว่ายังมี ‘โอกาส’ และเธอก็ต้องการใช้พื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อเชียงใหม่มากที่สุด
สร้างป่ากลางเมือง สร้างชุมชนยั่งยืน
วัจนารัตน์ เล่าว่าเธอมีประสบการณ์ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ของเชียงใหม่มายาวนานกว่า 15 แล้ว เริ่มต้นจากโรงแรมบูติกเล็กๆ 12 ห้อง ขยับขยายไปสร้างคอนโดมิเนียม และรับรีโนเวตโครงการต่างๆ
สำหรับ Carpenter Avenue เธอต้องการเปลี่ยนพื้นที่ที่ครอบครัวของเธอถือครองในย่านโชตนาให้มีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งมูลค่าในที่นี้ไม่ใช่แค่ในเชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสร้างสรรค์ ธรรมชาติ ต่อเนื่องไปจนถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นและ SME รายต่างๆ จึงเลือกสร้าง community space ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่สีเขียว โดยมีการทุ่มงบประมาณในการพัฒนาและรีโนเวตเพื่อสร้าง Carpenter Avenue ประมาณ 50 ล้านบาท

ในอาณาเขตราว 5,000 ตารางเมตรของโครงการ เป็นพื้นที่สีเขียวไปแล้ว 3,000 ตารางเมตร ส่วนอีก 2,000 ตารางเมตรเป็นพื้นที่สำหรับดำเนินธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ ทั้งยังมีความ Pet-Friendly ผู้มาใช้บริการสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาเที่ยวเล่นได้ ย้ำจุดยืนในการผสมผสานธรรมชาติเข้ากับเศรษฐกิจฐานรากบนวิถีชีวิตคนในท้องถิ่น ซึ่งภายในโครงการแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่
- Local Canteen โซนร้านอาหารของผู้ประกอบการไทยและท้องถิ่นในบรรยากาศคล้ายโรงอาหาร เป็นศูนย์รวมที่ผู้มาเยือนจะได้เลือกลิ้มรสอาหารอันหลากหลายตามความต้องการ
- Natural Space พื้นที่ธุรกิจสีเขียวอันสงบร่มรื่นเสมือนป่าใจกลางเมือง เหมาะกับคาเฟ่ และร้านอาหารสุขภาพ
- Wellness Zone พื้นที่เพื่อการผ่อนคลายรวมถึงฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ อาทิ สปา โยคะ และคลินิกต่างๆ ขานรับเทรนด์ Health & Well-being ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางทั่วโลก และเป็นหนึ่งเป้าหมายที่ชาวต่างชาติมาเยือนไทย
- Event Space สำหรับจัดกิจกรรมได้หลากหลาย ตั้งแต่คอนเสิร์ต งานแต่งงาน ไปจนถึงการอบรมพนักงาน
ทั้งหมดนี้สามารถรองรับผู้เช่าทั้งร้านค้า ผู้ประกอบการ และกิจกรรมต่างๆ รวม 200 ราย ซึ่งทางโครงการยังมีนโยบายช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาเปิดร้าน โดยในระยะเวลา 6 เดือนแรกนับตั้งแต่ soft opening เป็นต้นไป จะยังไม่มีการเก็บค่าเช่าที่ แต่จะคิดแค่ค่า GP ในอัตรา 20% เพื่อช่วยลดภาระต้นทุน นอกจากนี้ในระยะแรก เธอยังไม่มองหาผลกำไรขาดทุน เน้นสร้างความสุขในกับคนในชุมชนก่อน และตั้งเป้าผู้เข้าใช้บริการไว้ที่ 20,000 คนต่อปี

วัจนารัตน์ตั้งกลุ่มเป้าหมาย Carpenter Avenue เป็นคนเชียงใหม่ 50% รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 30% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 20% สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างชุมชนดีๆ ให้คนในพื้นที่ และดึงดูดนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน เธอบอกว่านักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจกับประสบการณ์สัมผัสธรรมชาติมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้ที่มาจากกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้การท่องเที่ยวของเชียงใหม่เติบโตและมีจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ถึงตามเป้า 16 ล้านคนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เคยประกาศไว้ วัจนารัตน์ชี้ว่าความท้าทายคือการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มอื่นนอกเหนือจากชาวจีน โดยปัจจุบันชาวอินเดีย ชาวเกาหลีใต้ ชาวตะวันออกกลาง และชาวตะวันตก เริ่มมาเยือนเชียงใหม่กันมากขึ้นแล้ว ด้วยอานิสงส์จากการเปิดเส้นทางบินตรงเข้าเชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง
หากมีการวางกลยุทธ์และจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ เป็นไปได้ว่าในช่วง high season ปลายปีจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังเติบโตได้อีกเรื่อยๆ อีกทั้งในระยะยาว วัจนารัตน์ยังเล็งเห็นศักยภาพของเชียงใหม่ในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและ Medical Hub ของภาคเหนือที่มีพร้อมทั้งสถานพยาบาลของรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน วิทยาลัยด้านการแพทย์ รวมไปถึงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งเธอก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Carpenter Avenue จะกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ไฮไลต์ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดที่เธอรักไปพร้อมๆ กับการอุ้มชูผู้คนในท้องถิ่น
ภาพ: Carpenter Avenue
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘พัทยา’ ยังฮอต! อันดับ 1 จุดหมายยอดนิยม 5 เดือนแรกปี 68 สำหรับการท่องเที่ยวระยะสั้น
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine