เมื่อ 3 ปีที่แล้วทายาทรุ่น 3 วัย 28 ปี แห่งไทยเบเวอร์เรจแคน หรือ TBC ได้ริเริ่มโปรเจกต์เล็กๆ “Aluminium Loop” โครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียม ด้วยเป้าหมายลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ เบื้องหลังโปรเจกต์นี้เป็นมากกว่า Net Zero เพราะไม่เพียงแต่เป็นมิติด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นมิติทางเศรษฐศาสตร์อีกด้วย
บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด หรือ TBC ดำเนินธุรกิจผลิตกระป๋องและฝาอลูมิเนียม เป็นบริษัทร่วมทุนไทย-อเมริกันระหว่าง บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แสตนดาร์ดแคน จำกัด ของตระกูลชยาวิวัฒน์กุล ถือหุ้น 43% และ บริษัท บอลล์ คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา เปิดดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2540 ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ (WHA) อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ที่มี สาโรช ชยาวิวัฒน์กุล เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด และ ภวินท์ ชยาวิวัฒน์กุล บุตรชาย เป็นรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร
จากกระป๋องเหล็กสู่อลูมิเนียม
ครอบครัวชยาวิวัฒน์กุลเริ่มต้นธุรกิจโรงผลิตกระป๋องและบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเหล็กตั้งแต่ปี 2500 โดย มนตรี ชยาวิวัฒน์กุล คุณปู่เป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท แสตนดาร์ดแคน จำกัด เพื่อผลิตกระป๋องสี กระป๋องนม บรรจุภัณฑ์สำหรับใส่ผลไม้เพื่อการส่งออกกระป๋องใส่ผลไม้ มีโรงงานผลิตรวม 4 แห่ง ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี และประเทศเมียนมา
ต่อมามนตรีพบว่ากระแสความนิยมการใช้บรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจึงส่งต่อภารกิจนี้ให้ลูกชาย สาโรช ชยาวิวัฒน์กุล ซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ที่ McKinsey & Company สหรัฐอเมริกา
“โจทย์คือ การจัดตั้งโรงงานผลิตกระป๋องอลูมิเนียมในปี 2539 โดยร่วมทุนกับ บริษัท บอลล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด สหรัฐอเมริกา ในสัดส่วนการถือหุ้น บริษัท บอลล์ คอร์ปอเรชั่น 50% บริษัท แสตนดาร์ดแคน จำกัด 40% และตระกูลสารสิน 10%” ภวินท์ ชยาวิวัฒน์กุล กล่าว
จุดเปลี่ยนธุรกิจเกิดขึ้นในปี 2540 ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง บริษัท บอลล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ต้องการลดสัดส่วนการถือหุ้นจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นใหม่ โดย บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เข้ามาซื้อหุ้นใน บริษัท บอลล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ครองสัดส่วนหุ้น 50% บริษัท แสตนดาร์ดแคน จำกัด 43% บริษัทบอลล์ คอร์ปอเรชั่น 6% และตระกูลสารสิน 1% ภวินท์ใช้ชื่อ บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด หรือ TBC เป็นบริษัทในเครือ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ซึ่งทั้งบิดาและผู้ถือหุ้นต้องการให้ภวินท์กลับมาสานต่อโปรเจกต์ “Aluminium Loop” อลูมิเนียมรักษ์โลกอย่างจริงจัง
ตีโจทย์ใหญ่ “Aluminium Loop”
ภวินท์เป็นนักบริหารรุ่นใหม่ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ และมีมุมมองการดำเนินธุรกิจยั่งยืนได้น่าสนใจ หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Stanford และได้มีโอกาสกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัว กระทั่งได้รับโจทย์จากบิดาให้ดูว่าที่โรงงานมีอะไรที่สามารถทำได้บ้าง แน่นอนว่าโอกาสที่ได้ครั้งนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ความโชคดีก็คือการได้รับฟังข้อคิดและคำแนะนำดีๆ จากพาร์ตเนอร์จนนำไปสู่โปรเจกต์รักษ์โลก “Aluminium Loop”
“อย่ามองแค่เรื่องการผลิตกระป๋องอลูมิเนียม แต่ต้องมองเรื่องความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนก็ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์”
ภวินท์ศึกษาข้อมูลเพื่อค้นหาคำตอบพบว่าโครงการ “Aluminium Loop” ไม่ใช่จะมีประโยชน์แต่ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีมิติด้านเศรษฐศาสตร์ กระป๋องอลูมิเนียม 1 ใบมีส่วนผสมของวัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ถึง 80% ในต้นทุนที่ถูกกว่าการผลิตใหม่ ซึ่งกระบวนการผลิตแบบรีไซเคิลจะช่วยประหยัดการใช้พลังงานได้ถึง 95% เมื่อเทียบกับการผลิตใหม่ และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 97% และประหยัดทรัพยากรในการนำแร่มาผลิตอลูมิเนียมกระป๋องซึ่งเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ การบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้เกิดโมเดลการทำธุรกิจแบบ win-win situation
“ข้อมูลที่ได้มาผมคิดอยู่หลายเดือนก่อนกลับไปเรียนต่อที่ Harvard Business School ผมตั้งกลุ่มห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เพื่อแบ่งปันข้อมูล ตั้งแต่คนเก็บขยะ คนแยกขยะ รวมกระป๋องขึ้นรูปเป็นแผ่นอลูมิเนียม (aluminium coil) จนถึงนำเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นกระป๋องใหม่ ในที่สุดหลังการรวมตัวอย่างเป็นรูปเป็นร่าง ในปี 2564 kick-off โปรเจกต์ Aluminium Loop แบบ closed loop”
ตรงกับแนวคิดการดำเนินธุรกิจยั่งยืน ผลิตบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่สามารถนำกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วนำกลับมาทำใหม่ซ้ำๆ ได้โดยการผ่านกระบวนการผลิตระบบต้มที่อุณหภูมิสูงถึง 1,200 องศาเซลเซียส ฆ่าเชื้อโรค 100% ที่ทำให้สามารถแยกได้ว่ากระป๋องที่นำมาใช้มาจากการรีไซเคิลหรือแร่ธาตุใหม่ ที่สำคัญคือ ประเทศไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศในเอเชียที่สามารถทำแบบวงจรปิด และยังเป็นวงจรปิดที่เล็กที่สุดในเอเชียที่สามารถทำได้ครบวงจร
“ผมมั่นใจว่าโครงการ Aluminium Loop จะบรรลุเป้าหมาย ด้วยกระแสโลกที่มีความกระตือรือร้นเรื่องความยั่งยืน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ปีนี้ 2568 ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการเก็บขยะกระป๋องอลูมิเนียมเพิ่มจาก 200 ล้านกระป๋องเป็น 800 ล้านกระป๋อง และตั้งเป้า 5 ปีที่ 4,000 ล้านกระป๋องตามแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์องค์กรสู่ net zero manufacturing ในปี 2593
สร้างงาน สร้างรายได้
“เราสนับสนุนคนเก็บขยะให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยการสร้างรายได้จากการเก็บอลูมิเนียมกระป๋องส่งต่อให้ TBC เป็นช่องทางสร้างรายได้ให้ผู้เก็บขยะ ด้วยคุณค่าของตัววัสดุที่มีมูลค่ารับซื้อค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ทำให้มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมสูงจนก่อเกิดเป็นวัฒนธรรม การรีไซเคิลที่แข็งแกร่ง โดย Aluminium Loop ยังได้ประสานความร่วมมือกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด (TBR) ดำเนินธุรกิจคัดแยกและเก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วรายใหญ่ของประเทศ”
โดยบริษัทได้ร่วมกับ บริษัท แองโกล เอเซีย เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทผู้นำทางด้านการรับซื้อ ประมูล ซื้อขายอลูมิเนียมอินกอต แท่งอลูมิเนียม และเศษชิ้นงานโลหะทุกชนิด และรับกำจัด บำบัด เศษอลูมิเนียม และรีไซเคิลอลูมิเนียม เป็นผู้ค้าอลูมิเนียมระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้นวัตกรรมการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมผ่านกระบวนการทำความสะอาด กำจัดสี และบด เพื่อเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมใช้แล้วให้เป็นอลูมิเนียมรีไซเคิลอัดก้อน และร่วมกับพันธมิตรที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ บริษัท ยูเอซีเจ (ประเทศไทย) จำกัด ทำหน้าที่เปลี่ยนอลูมิเนียมรีไซเคิลให้เป็นวัตถุดิบอลูมิเนียมใหม่ โดยผ่านขั้นตอนการหลอมขึ้นรูปเป็นแท่ง รีดเป็นแผ่น และจัดส่งในรูปแบบม้วนอะลูมิเนียม (aluminium coil) เพื่อนำไปใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป
“แม้ในด้านต้นทุนการรับจะซื้อสูงขึ้น แต่ก็สามารถประหยัดการลดใช้พลังงานจากการผลิตอลูมิเนียมกระป๋องจากวัสดุรีไซเคิลได้ชดเชยพอดี ซึ่งเป็นที่มาของสโลแกนการทำงานขององค์กรว่า ‘Build, Drive, and Scale the world's most sustainable recycling loop in the world’”
ทุ่ม 3 พันล้านเปิดสายผลิตที่ 6
ภวินท์กล่าวว่า แผนธุรกิจในปี 2568 มุ่งให้ความสำคัญด้านการลงทุนขยายเครื่องจักรและยกระดับการผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อเนื่อง โดยบริษัทเตรียมเปิดสายการผลิตที่ 6 งบประมาณการลงทุน 3 พันล้านบาท ขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมรักษ์โลก ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณการใช้ในสัดส่วนถึง 30% ของตลาดบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด
กระแสความต้องการใช้กระป๋องอลูมิเนียมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด-19 ปริมาณการใช้เพิ่มจาก 18% เป็น22% และเพิ่มขึ้นเป็น 23% ในปี 2566 จากการขยายตัวทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตเครื่องดื่มที่หันมาพัฒนาบรรจุภัณฑ์กระป๋องอลูมิเนียมมากขึ้น โดยปัจจุบันมากกว่า 550 โปรดักต์ของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่เป็นสินค้าใหม่หันมาใช้กระป๋องอลูมิเนียมถึง 45% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่เป็นแบรนด์เล็กๆ กลุ่ม SMEs และสตาร์ทอัพที่ลงตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ที่เจาะเซกเมนต์ลิมิเต็ด อิดิชั่น
การเติบโตของกลุ่มนี้ทำให้บริษัทตัดสินใจเพิ่มสายการผลิตรองรับ โดยสายการผลิตนี้เรียกว่า Can Line High Speed เป็นสายการผลิตที่มีกำลังผลิตมากกว่า 1 พันล้านใบต่อปี และสามารถผลิตกระป๋องอลูมิเนียมได้ 13 ขนาด
สายการผลิตที่ 6 มูลค่าการลงทุน 3 พันล้านบาทจะเป็นสายการผลิตที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ได้รับการออกแบบร่วมกันระหว่างบริษัทและพันธมิตร โดยจะมีศูนย์พัฒนาสายการผลิต (Technical Center) ซึ่งมีการออกแบบและปรับแบบร่วมกันระหว่างวิศวกร รวมถึงนำนวัตกรรมการปรับเปลี่ยนไซซ์ของผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว ใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนการทำงานสั้น ไม่ส่งผลกระทบกับกระบวนการผลิตในสายการผลิต คาดว่าจะติดตั้งและเริ่มเปิดสายการผลิตได้ในเดือนมกราคม ปี 2569 โดยสายการผลิตนี้จะอยู่ที่โรงงานผลิตสระบุรี ซึ่งมีโรงงานอยู่บนพื้นที่ขนาด 104 ไร่ เพียงพอกับการขยายสายการผลิตได้ถึง 8 สายการผลิต
ภวินท์ขยายความว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปี 2563 ที่ลงทุนไป 3 พันล้านบาทสำหรับการพัฒนาสายการผลิตในการผลิตขวดอลูมิเนียม โดยนโยบายด้านการลงทุนจะยึดแนวทางการบริหารของบิดา ซึ่งคำนึงถึงความพร้อมเป็นหลักและใช้เงินทุนที่มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ พึ่งพาการขอสินเชื่อให้น้อยที่สุด
“นโยบายด้านการลงทุนมาจากวิสัยทัศน์ของพ่อที่ต้องการขยายงานเมื่อมีความพร้อมและไม่ต้องการที่จะกู้เงินมาใช้ในการลงทุน”
การขยายกำลังการผลิตครั้งนี้จะทำให้โรงงานของ TBC มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านกระป๋องในประเทศไทยในปัจจุบันเป็น 3,500 ล้านกระป๋องในปี 2569 ในขณะที่ฐานผลิตในประเทศเวียดนามมีกำลังการผลิต 2,200 ล้านใบต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโรงงานผลิตกระป๋องอลูมิเนียมที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย การขยายกำลังการผลิตดังกล่าวทำให้ต้นทุนในการผลิตของ TBC ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการขยายขนาดในการผลิต (economy of scale) โดยภวินท์กล่าวว่า “ภายใน 5 ปีเราจะเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เมื่อเราขยายสายการผลิตที่ 7 และ 8 ซึ่งเรามีพื้นที่รองรับไว้อยู่แล้ว”
ภาพ: TBC
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ฤทธา แกร่งทุกมิติ สู่ New S-Curve