การต้อนรับด้วยรอยยิ้มอย่างมีไมตรีและเอื้ออาทรดุจญาติมิตรทำให้ธุรกิจ Hospitality ของไทยโดดเด่น สะท้อนผ่านธุรกิจโรงแรมที่พัก ทำให้เชนโรงแรมของไทยได้การยอมรับว่ามีบริการดีอันดับต้นๆ ของโลก
หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์นี้เป็นการพูดคุยในช่วงเดือนมิถุนายน 2568
ราวปลายเดือนมิถุนายน ปี 2568 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บริเวณประตูน้ำกำลังก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-บางขุนนนท์) ผิวจราจรถูกปิดไป 2 ช่องทางทำให้การเดินทางไปยังโรงแรมอมารี กรุงเทพฯ (Amari Bangkok) ต้องลัดเลาะพอสมควร แต่ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่ เพราะเมื่อเข้าสู่ภายในโรงแรมก็พบว่าที่นี่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและความมีชีวิตชีวา ดูเหมือนงานก่อสร้างด้านนอกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโรงแรมมากนัก แม้เป็นช่วงกรีนซีซัน (ฤดูฝน) ที่นักท่องเที่ยวเข้าไทยน้อยกว่าปกติ
“สถานการณ์ท่องเที่ยวซบเซาลงมาเนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ การเมืองภายในประเทศและต่างประเทศ แต่ผมยังมองในแง่บวกว่าในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนตลาดจะกลับมา” ยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX Hospitality Group) เริ่มบทสนทนากับทีมงาน Forbes Thailand ที่ยกกองไปสัมภาษณ์ที่โรงแรมอมารี กรุงเทพฯ
ในวันที่การจราจรคับคั่งจากงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มอยู่ไม่ไกล แต่ดูเหมือนปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโรงแรมมากอย่างที่คิด เพราะยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้าพักตามปกติ แม้อัตราการเข้าพัก (occupancy) อาจไม่สูงเท่าไฮซีซัน แต่ด้วยทำเลใกล้ราชประสงค์ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ นักท่องเที่ยวทั้งกลุ่มท่องเที่ยว leisure และกลุ่มธุรกิจ (business) จึงเข้ามาไม่ขาดสาย
ทศวรรษแห่งการเติบโต
กว่า 10 ปีที่ยุทธชัยเปิดธุรกิจ hospitality ขึ้นมาในชื่อ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เขายอมรับว่าหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องฝ่าฟันและสร้างหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมาใหม่ แม้ว่าครอบครัวเขาเป็นเจ้าของโรงแรมที่ได้ชื่อว่าบริการดีที่สุดในโลกอย่างโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ซึ่งโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ (Oriental Residence) เป็นหนึ่งในบริการของออนิกซ์ฯ ในปัจจุบัน แต่เขาสร้างออนิกซ์ฯ ด้วย 4 แบรนด์หลัก โดยขยายธุรกิจการบริหารโรงแรมที่พักซึ่งตอนนี้มีโครงการอยู่ในพอร์ตโฟลิโอ 50 แห่ง รวมห้องพักมากกว่า 8,400 ห้องในปัจจุบัน (ณ สิงหาคม ปี 2568)
แบรนด์หลักของออนิกซ์ฯ ได้แก่ อมารี (Amari), โอโซ่ (OZO), ชามา (Shama) และโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ (Oriental Residence) ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วไทยและหลายประเทศในเอเชีย ทั้งมาเลเซีย จีน ฮ่องกง บังกลาเทศ ศรีลังกา และ สปป.ลาว โดยแบรนด์อมารีถือเป็นแบรนด์หลักมีสัดส่วนถึง 50% ของพอร์ตรายได้ ตามด้วยชามาและโอโซ่

นอกจากโรงแรมที่เปิดบริการมาหลายปีก่อนหน้านี้ ออนิกซ์ฯ ยังได้เปิดตัวโรงแรมใหม่อีกหลายแห่งตั้งแต่ปลายปี 2567 โดยเปิดอมารี โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา (Amari Colombo, Sri Lanka) ในเดือนธันวาคม ปี 2567 เปิดอมารี เวียงจันทน์ สปป.ลาว (Amari Vientiane, Laos) ให้บริการเดือนมีนาคม ปี 2568 เปิดอมารี บางแสน (Amari Bangsaen) ให้บริการเดือนมิถุนายน ปี 2568 และเตรียมเปิดโอโซ่ เมดินี ประเทศมาเลเซีย (OZO Medini, Malaysia) ให้บริการภายในครึ่งหลังของปี 2568
การเปิดตัวโรงแรมใหม่อย่างต่อเนื่องเป็นเครื่องยืนยันถึงการเดินหน้าตามเป้าหมายและพันธกิจของออนิกซ์ฯ ที่ตั้งไว้ในการบริหารจัดการโรงแรมและที่พักว่าจะเปิดบริการให้ได้มากกว่า 75 แห่งภายในปี 2573 หรือภายใน 5 ปีนับจากนี้ จะเห็นว่าแผนขยายโรงแรมของออนิกซ์ฯ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตามแผนที่ยุทธชัยวางไว้ ด้วยมุมมองที่ต่างไปจากผู้ประกอบการโรงแรมส่วนใหญ่ที่มักชะลอหรือเลื่อนการลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือมีปัจจัยลบอื่นๆ ภายนอก โดยกลุ่มออนิกซ์ฯ มองและทำแตกต่างออกไป
“ปัญหา geopolitics เป็นโอกาสที่เราจะรีบทำในช่วงที่คนอื่นแตะเบรก เรามีพื้นฐานที่แข็งแรง มีการวางแผนอย่างแม่นยำ และสร้างความได้เปรียบในการต่อรองราคาในช่วงที่คนอื่นไม่ทำ” ยุทธชัยอธิบายว่า ในการลงทุนการเตรียมความพร้อมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการทำโรงแรมไม่ใช่ว่าได้ที่ดินมาแล้วจะดำเนินการได้ทันที แต่ยังมีขั้นตอนทางกฎหมายหลายอย่าง กว่าจะขอใบอนุญาตก่อสร้าง ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรม แบบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนต้องทำควบคู่ไปกับการออกแบบต่างๆ โดยสรุปต้องใช้เวลาเป็นอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป ดังนั้น การลงทุนจึงต้องดูจังหวะให้ดี

ยุทธชัยบอกว่า เมื่อดูดีแล้วพบว่ามีโอกาสก็จะทำ ยิ่งหากมีเงินทุนเพียงพอ ธนาคารให้การสนับสนุนสินเชื่อ และสามารถต่อรองผู้รับเหมาให้ก่อสร้างได้ในราคาที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาส “อย่ามองว่าทุกอย่างในโลกมันล้มหายตายจากไปไม่ควรทำ บางบริษัทมองแบบนั้น แต่เรามองว่าช่วงนี้จะเป็นโอกาสดีในการที่จะขยายพอร์ต โอกาสที่จะได้เช่าที่ดินระยะยาวในทำเลศักยภาพ และมีความสามารถในการต่อรอง”
ยุทธชัยอธิบายว่า การต่อรองในที่นี้ต้องเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย และที่ผ่านมาการขยายธุรกิจของออนิกซ์ฯ ใช้จังหวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวในการเข้าไปคุยกับเจ้าของที่ดิน ซึ่งเปิดโอกาสให้เช่าที่ดินระยะยาว คุยกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยากขยายมาเป็นโรงแรม ซึ่งก็เป็นจังหวะดีที่ออนิกซ์ฯเข้าไปคุยเพื่อยื่นโอกาสให้พวกเขาเหล่านั้นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ
ไม่เพียงแต่โรงแรม ยุทธชัยยังมองโอกาสธุรกิจใกล้เคียง เช่น ทดลองว่ามีโอกาสหรือไม่ที่จะเข้าไปทำเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ติดกับโรงพยาบาล “ผมอยากทำเฉพาะบริการที่เรามีความถนัด เช่น โรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์” แม่ทัพออนิกซ์ฯ เผยว่า ธุรกิจร้านอาหารและสปาก็เป็นอีกส่วนประกอบที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้สามารถเสริมธุรกิจโรงแรมที่พักได้เป็นอย่างดี
“ทางกลุ่มสนใจที่จะทำเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์เพื่อรองรับญาติผู้ป่วยที่มองหาที่พักใกล้โรงพยาบาลที่สะดวกสบาย ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่บ้าน ซึ่งเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์สามารถตอบโจทย์นี้ได้” ยุทธชัยเล่าว่า เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ของออนิกซ์ฯ ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลกรุงเทพมีผลการดำเนินงานดีมาก มีผู้เข้าพักเกือบเต็มตลอด และที่สำคัญธุรกิจนี้เป็น long-term สามารถเก็บเกี่ยวรายได้ต่อเนื่องยาวนับ 10 ปี เขาบอกเล่าถึงความสำเร็จของเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ 2 แห่งใกล้โรงพยาบาลที่ทำมากว่า 10 ปี
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่พบว่าในพอร์ตของออนิกซ์ฯ มีเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ถึง 50% ที่เหลือเป็นโรงแรมอมารี, โอโซ่ และโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ “การเลือกจุดยุทธศาสตร์ในการขยายธุรกิจเราไม่จำกัดว่าต้องอยู่ที่ไทยหรือต่างประเทศเท่านั้น ให้ดูว่ามีตลาดรองรับและบริการให้ตรงกับความต้องการในตลาดหรือไม่ ถ้าไม่ก็ขายไม่ได้” เป็นแนวคิดพื้นฐานของแม่ทัพออนิกซ์ฯ คือ ให้ความสำคัญเรื่องทำเลและตลาด เขายังบอกด้วยว่า บางทำเลดีแต่การแข่งขันสูงเกินไปก็ไม่ควรเข้าไปลงทุนเช่นกัน

ขยายเชนโรงแรมระดับเอเชีย
ถ้าประเมินจากปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ดีของออนิกซ์ฯ ซึ่งได้มาจากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ทำให้อัตราการเข้าพักของโรงแรมในกลุ่มออนิกซ์ฯ เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยแบรนด์อมารีและโอโซ่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเกิน 80% และในปี 2567 สร้างรายได้กว่า 8.7 พันล้านบาท ทำกำไรจาก Profit) เป็นกำไรขั้นต้นกว่า 3.4 พันล้านบาท และทำรายได้กว่า 4.4 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568
ยุทธชัยเผยว่า โรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ทั้ง 4 แบรนด์ล้วนเติบโต โดยได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวหลังโควิดเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของนักเดินทางทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกได้เป็นอย่างดี โดยมีแบรนด์อมารีเป็นเรือธง มีสัดส่วน 50% ในพอร์ตสร้างรายได้หลักให้กับกลุ่ม ตามด้วยชามาและโอโซ่ ซึ่งการดำเนินงานของออนิกซ์ฯ มุ่งมั่นตามวิสัยทัศน์ เพื่อเป็นหนึ่งใน The Best Medium-Sized Hospitality Management Company in Southeast Asia โฟกัสตลาดเป้าหมายชัดเจน
โรงแรมในเชนออนิกซ์ฯ ตั้งอยู่หลากหลายทำเลท่องเที่ยวชั้นนำทั้งในประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต สมุย หัวหิน บุรีรัมย์ และในต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สปป.ลาว บังกลาเทศ ศรีลังกา จีน รวมถึงฮ่องกง โดยมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งในแง่ของสัญชาติที่เดินทางระยะใกล้ (short haul) เช่น ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี, สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินเดีย และนักท่องเที่ยวที่เดินทางระยะไกล (long haul) เช่น ยุโรป, สหราชอาณาจักร, ตะวันออกกลางและรัสเซีย

และในแง่ของจุดประสงค์การเดินทางทั้งท่องเที่ยวพักผ่อนหรือการประชุมทางธุรกิจ โดยออนิกซ์ฯมีแบรนด์ที่ตอบสนองลูกค้าในทุกกลุ่มตั้งแต่ luxury, upper upscale ถึง upper mid-scale และการเข้าพักในรูปแบบ long stay, short stay, extended stay ซึ่งนอกจากครอบคลุมในหลากหลายตลาด ยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของจำนวนนักท่องเที่ยวได้
เป้าหมายในอีก 2-3 ปีข้างหน้าออนิกซ์ฯ มีแผนขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายจำนวนอสังหาริมทรัพย์ให้ได้มากกว่า 75 แห่งภายในปี 2573 ซึ่งการขยายพอร์ตจะสอดคล้องกับเป้าการปรับสัดส่วนรายได้ของการเป็นเจ้าของเองและการรับบริหารโดยปรับจาก 70/30 เป็น 60/40 ซึ่งจะส่งผลต่อสัดส่วนรายได้ของบริษัทและค่าบริการในภาพรวม
นอกจากการขยายทำเลออนิกซ์ฯ ยังตั้งเป้าเพิ่มความสามารถในการทำกำไรผ่านการสร้าง EBITDA หรือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และมุ่งมั่นจะสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น “เราทำ asset class เกี่ยวกับโรงแรมมานาน เข้าใจว่าทำอย่างไรให้มีกำไรจึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนได้”

ยุทธชัยเล่าว่า จุดแข็งของออนิกซ์ฯ คือความยืดหยุ่นได้สูง มีความเข้าใจในการพัฒนาโรงแรมและบริหารโรงแรม “ผมเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ดูแบรนด์ที่เรามีกับตลาดที่เราเข้าไปมันแข่งขันได้ เราทำโรงแรม 4 ดาวที่สามารถแข่งกับ 5 ดาวได้” เขาย้ำและเสริมว่า ในภูมิภาคเอเชียธุรกิจโรงแรมมีการแข่งขันสูงขึ้นทุกปีเนื่องจากซัพพลายเปิดใหม่ไม่หยุด ทุกคนถามว่าโอเวอร์ซัพพลายหรือยัง แต่ขณะเดียวกันก็มีความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น และทำให้สามารถปรับราคาขึ้นได้
ในช่วงการฟื้นตัวหลังโควิดโรงแรมต่างปรับราคาขึ้น 10-30% จนสามารถปรับฐานราคาขึ้นมาได้เพื่อรองรับความต้องการใหม่ที่เข้ามา มีการปรับราคาจากคืนละ 2,000 บาทเป็นคืนละ 5,000 บาท นักท่องเที่ยวก็พร้อมจ่ายให้กับโรงแรมที่ใหม่ขึ้น อยู่ในทำเลที่ดี และมีบริการที่ตอบโจทย์
อย่างไรก็ตามแม่ทัพออนิกซ์ฯ มองว่า การปรับราคาขึ้นของโรงแรมช่วงหลังโควิดโดยเฉพาะในกลุ่ม luxury การที่ออนิกซ์ฯ อยู่ตรงกลาง ปรับราคาแต่ไม่ได้สูงมากนัก เพราะเน้นรายได้ในภาพรวมมากกว่า ด้วยการกำหนดราคามาตรฐานในทุกกลุ่มซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทาย
เรียนรู้จากความผิดพลาด
ยุทธชัยเผยว่า ที่ผ่านมาออนิกซ์ฯ ลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาฐานตลาดไว้ โดยทุกโรงแรมจะต้องกันเงินทุนส่วนหนึ่งเพื่อดูแลปรับปรุงตามแผน Asset Maintenance Program ที่กำหนดไว้สำหรับการปรับปรุงเล็กในรอบ 10 ปี และปรับปรุงใหญ่ในรอบ 20 ปี ดังนั้น โรงแรมจะต้องคืนทุน (payback) ให้ได้ก่อน 10 ปี หากเกิน 10 ปียังไม่คืนทุนจะเหนื่อยมาก เขาย้ำว่า การบริหารไม่ง่าย และการจัดการเรื่องซ่อมบำรุงก็เป็นสิ่งสำคัญ การทำโรงแรมไม่สามารถปล่อยให้ทรุดโทรม หรือปล่อยให้สายไฟเก่าตลอด 30 ปีไม่ได้แน่นอน ดังนั้น การบริหารต้องมีแผนและระยะเวลาทั้งการซ่อมบำรุงและการปรับปรุงที่ชัดเจน
เนื่องจากโรงแรมเปิดใหม่ทุกปี ทำให้โรงแรมเก่าต้องใช้เงินทุนบางส่วนเพื่อดูแลปรับปรุงให้อยู่ในสภาพดีและสามารถแข่งขันได้ “ถ้าโรงแรมเก่าไม่ใส่เงินเข้าไปปรับปรุงราคาก็จะตกต่ำ โรงแรมเป็นสินค้าที่มีชีวิต หากไม่ดูแลมันจะโทรมและมูลค่าหาย ยิ่งมีโรงแรมเยอะแต่ปรับปรุงไม่ดี โอกาสแข่งขันก็จะลดลง”
เมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นจำนวนโรงแรมที่บริหารมีมากขึ้นก็จำเป็นต้องขยายทีมตามจำนวนโรงแรม อย่างไรก็ดีเขาย้ำว่าทีมงานต้องเป็นคนที่เข้าใจธุรกิจโรงแรม ซึ่งออนิกซ์ฯ มีพนักงานโดยรวมกว่า 4,000 คน เป็นพนักงานออฟฟิศ 120 คน นอกนั้นกระจายอยู่ตามโรงแรมขับเคลื่อนการบริหารจัดการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถ้าขยายโรงแรมอีกก็ต้องเพิ่มจำนวนพนักงาน แต่ส่วนใหญ่จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ยุทธชัยกล่าวว่า เขามีความภูมิใจที่สามารถยืนหยัดในการทำธุรกิจ hospitality มา 50 ปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ทำการปรับและพัฒนาแบรนด์ต่างๆ ที่มีอยู่เสมอ เขาพัฒนาทีมงานคนไทยให้มีความรู้ความสามารถเข้ามาผสมผสานกับทีมงานต่างชาติ โดยไม่ได้มองว่าพนักงานต้องเป็นไทยเท่านั้นแต่เปิดโอกาสรับต่างชาติประมาณ 10% โดยเป็นต่างชาติที่มีความเข้าใจในพื้นที่พอสมควร การโปรโมตก็เช่นกัน ไม่ได้ให้น้ำหนักว่าเน้นต่างชาติหรือเฉพาะคนไทย แต่ดูตามความเหมาะสมและผลงาน
ยุทธชัยบอกเล่าหลากหลายมุมมองในฐานะผู้บริหารหลักออนิกซ์ฯ เขาบอกว่า ปรัชญาในการทำงานของเขาคือ อยากทำอะไรให้ดีต้องรู้จริงและต้องรู้จักถอนตัวอกจากรายละเอียดบ้าง เพื่อให้ทีมงานรับผิดชอบได้ เจ้าของบางคนต้องลงรายละเอียดเยอะ ไม่รู้จักถอนตัวอย่างเหมาะสมอาจกลายเป็นอุปสรรคของการเติบโต เพราะการเก็บรายละเอียดอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เจ้าของต้องเข้าใจรายละเอียดและต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจทีมงาน มอบอำนาจให้พวกเขาตัดสินใจ ต้องมีความไว้วางใจระหว่างเจ้าของกับผู้บริหารมืออาชีพ เดินไปด้วยกันจึงจะสร้างความเติบโตได้เร็วและต่อเนื่อง
อีกประเด็นสำคัญคือ เจ้าของและผู้บริหารหลักต้องอ่านสถานการณ์ให้ออกทั้งสถานการณ์ที่ดีและไม่ดีว่าเป็นอย่างไร ช่วงไม่ดีต้องทำอย่างไร และช่วงที่ดีควรทำอะไรเพื่อต่อยอด ซึ่งการทำธุรกิจไม่สามารถเลี่ยงช่วงไม่ดีได้ทั้งหมด แต่จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าจะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้เจ็บตัวน้อยที่สุด
“แนวทางของผมคือ ลงรายละเอียดที่จำเป็นและต้องทุ่มเท ทำธุรกิจหากไม่ทุ่มเท ไม่ขยัน ก็เป็นแค่รายชื่อในผู้ถือหุ้น แต่ถ้าอยากให้มีกำไรและเติบโตต้องทุ่มเทและสร้างมันขึ้นมาให้ได้” เขาเปรียบเทียบว่า บางคนเป็นทายาทรับสืบทอดกิจการมาทำแบบไม่ทุ่มเท ไม่ใส่ใจ โอกาสที่จะสร้างความเติบโตเป็นไปได้ยาก มีแต่จะเล็กลง

ยุทธชัยบอกว่า เขาทำออนิกซ์ฯ มา 10 กว่าปี เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยอมรับว่าผ่านเรื่องราวต่างๆ มาค่อนข้างมาก ในมุมมองของเขาต่อสิ่งที่ผ่านมาหากไม่ดีก็ถือว่าได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ทำให้รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดและพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น แต่อย่ายึดติดเพราะทุกอย่างล้วนไม่จีรัง ที่สำคัญอย่าไปคิดว่าบริษัทจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีเรา เพราะสิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างบริษัททุกบริษัทให้มีระบบ มีทีมงาน มีการพัฒนา มีแผนที่ชัดเจน และมีคู่ค้าที่ซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญ
“เจ้าของบางคนตกหลุมคำว่าธุรกิจเป็นของฉัน แต่ไม่เคยคิดว่าถ้าฉันไม่อยู่บริษัทก็ควรจะไปต่อได้ และอาจจะอยู่ได้ดีกว่าช่วงที่คุณอยู่ด้วยซ้ำถ้ามีการวางระบบและมีแผนงานที่ชัดเจน” เขาย้ำเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มเหมือนจะบอกว่า เขาได้ทำสิ่งนี้แล้ว คือการวางระบบให้บริษัทเดินหน้าได้ มีคนทำงานที่รู้หน้าที่รับผิดชอบ และมีคู่ค้าที่ดีมีความซื่อสัตย์ต่อกัน มีความจริงใจ ซึ่งเขาย้ำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็ก-กลาง-หรือใหญ่จะต้องเดินต่อไปได้หากทำงานด้วยใจ ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์
อีกประเด็นสำคัญในมุมมองของแม่ทัพออนิกซ์ฯ คือ “อย่าทำอะไรที่ยากเกินตัว แต่ก็อย่าหยุดคิดการใหญ่ คิดการใหญ่ได้ตลอดแต่ต้องดูความสามารถ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นการพูดที่เลื่อนลอย” เขาเผยว่า เหตุผลที่กล่าวเช่นนี้เนื่องจากพบว่าหลายบริษัทที่ขยายเร็วเกินไปทำให้คนวิ่งตามไม่ทัน ความเสียหายก็ตามมา เป็นตัวอย่างที่เห็นจากหลายธุรกิจ
แบรนด์เป็นเรื่องสำคัญ ยุทธชัยบอกว่า ทุกบริษัทมีแบรนด์เหมือนกัน แต่ต้องมีคอร์แบรนด์ที่เป็นคอร์โปรดักต์ต้องทำให้ดีที่สุดและรักษามันไว้ บางคนอาจสนุกในการขยายไปหลายที่หลายแห่งจนลืมคุณค่าหรือคุณสมบัติหลักของแบรนด์ อันนี้สำคัญ “โรงแรมเป็นสินค้าที่มีชีวิต คนที่ไปใช้โรงแรมไปเพราะเขาเชื่อในแบรนด์ ชอบในทำเลที่ตั้ง ยินดีที่จะจ่ายเงิน ถ้าเขาไม่อินก็กลายเป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งเท่านั้น” เขาเผยและกล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ออนิกซ์ฯ พยายามทำคือ ทำให้ลูกค้ามีความผูกพันกับแบรนด์ และหวังว่าออนิกซ์ฯ จะเป็นตัวเลือกที่ดี และเป็นบริษัทที่ไม่เหมือนใคร
ขยายพอร์ตต่อยอดธุรกิจ
ยุทธชัยบอกว่า เขาค่อนข้างอินกับธุรกิจ hospitality ศึกษาและคลุกคลีกับธุรกิจนี้ในทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนา การบริหาร และดูแลหลายอย่าง เพราะวัฏจักรของโรงแรมคือ พัฒนา บริหาร ดูแล และต้องลงทุนต่อเนื่องเพื่อให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ซึ่งเขามองว่าสำคัญและเป็นหัวใจ คือโรงแรมต้องไม่หยุดการพัฒนา เพราะหากหยุดลงเมื่อใด ธุรกิจจะเล็กลงเมื่อนั้น และจะกลายเป็นแบรนด์ที่คนอาจพูดถึงแต่เข้าไม่ถึง เช่น คนอาจนึกถึงว่าเคยมีโรงแรมนี้อยู่แถวนี้ แต่ไม่เคยพักและไม่คิดที่จะพัก “ออนิกซ์ฯ ต้องการทำให้โรงแรมของเราเป็น brand of choice ของคนใน Southeast Asia นี่คือจุดที่เราภูมิใจ”
โฟกัสหลักของออนิกซ์ฯ คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุทธชัยมองว่าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียหลายประเทศและประเทศไทยยังเป็นตลาดที่มีโอกาสสูงมาก อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือแม้แต่ สปป.ลาว ที่มีโครงการอมารี วังเวียง และเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นโรงแรมดีที่สุดในลาว มีห้องบอลรูมขนาดใหญ่ เป็นโรงแรม 200 กว่าห้อง ถือว่าค่อนข้างพร้อม
เขายังเผยถึงเป้าหมายสร้างการเติบโตว่าพอร์ตโรงแรมที่มีอยู่ 50 แห่งในปีนี้ยังสามารถเติบโตได้อีก คาดว่าจะโตมากกว่า 75 แห่งได้ในปี 2573 โดยยังไม่ต้องสร้างแบรนด์ใหม่ แต่ต้องวิ่งให้เร็วขึ้น ซึ่งหมายถึงการขยายต้องทำต่อเนื่อง “ในปี 2569 จะเห็นภาพการขยายตัวของเราชัดเจนขึ้น”
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ ONYX Hospitality Group
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : พิทยา วรปัญญาสกุล แม่ทัพหญิงแห่ง KTC



