'SLEEK EV' ธุรกิจสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ถือเป็น 1 ในบริษัทที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพราะมีรายชื่อติดอยู่ในลิสต์ Forbes Asia 100 to Watch 2025 ในหมวดหมู่ Energy & Green Tech
Forbes Thailand ไม่รอช้า...ขอไปทำความรู้จัก พูดคุยแบบเจาะลึกกับ 'เบน' CEO หนุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่ติดอันดับ Forbes 30 Under 30 Asia ปี 2025 ถึงเรื่องราวความเป็นมาของธุรกิจสตาร์ทอัพจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่กำลังค่อยๆ เติบโตอย่างยั่งยืนให้มากขึ้น
กันตินันท์ ตันวีนุกูล กรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท สลีค อีวี จำกัด (SLEEK EV) บอกว่า เขาเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยมหิดล ด้านบัญชีการเงิน ไม่ได้เป็นหนุ่มไอทีที่เรียนจบมาทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งตอนเรียนปี 4 ที่ศาลายา ก็ได้สมัครงานไว้ล่วงหน้าและได้ทำงานที่แรกกับบริษัทสตาร์ทอัพแถวเอกมัย โดยทำหน้าที่ในการแปลเอกสารการบัญชีที่เขาสามารถใช้ภาษาได้เป็นอย่างดีทั้งภาษาไทย อังกฤษ และจีน
หลังเรียนจบบริษัทสตาร์ทอัพดังกล่าวก็รับเขาเข้าทำงานเป็นพนักงาน Full time ในทันที ซึ่งการทำงานที่นี่ในระยะเวลาไม่นานประมาณ 1 ปีครึ่ง เขาก็ได้ก้าวขึ้นเป็นตำแหน่ง Manager คอยดูแลด้านบัญชี การตลาด และการบริหารจัดการด้านต่างๆ ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ เข้าใจบทบาท ของธุรกิจสตาร์ทอัพมากยิ่งขึ้นในเรื่องของการระดมทุนซึ่งขณะนั้นยังถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในประเทศไทย
ขณะเดียวกันในช่วงนั้น ณ ปี 2019 ก็มีบริษัทสตาร์ทอัพซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจากสิงคโปร์มาทาบทามกันตินันท์ให้เป็นพนักงานคนแรกในไทย...เขาจึงได้เริ่มต้นก้าวเข้าสู่วงการ EV รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้านับจากนั้น...

"ตอนนั้นประมาณปี 2019 ก็ค่อนข้างเป็นอุปสรรคเยอะอยู่เหมือนกันครับ เพราะมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคือเรื่องใหม่ในเมืองไทยมากๆ ผมต้องไปอธิบายให้ข้อมูลที่กรมขนส่งอยู่หลายวันเลยจนกว่าเขาจะเข้าใจได้ว่าตัวมอเตอร์ไซค์ที่มันไม่มีเครื่องยนต์ ไม่มี cc นี่มันจะจดทะเบียนได้อย่างไร? แล้วก็ต้องมาอธิบายให้กลุ่มลูกค้าฟังอีกว่า รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคืออะไร การรับประกันและความประหยัดน้ำมันจะแตกต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าปกติอย่างไร หลังจากบริษัทที่ผมทำงานอยู่ขณะนั้นเปิดช็อปที่สยามสแควร์เป็นที่แรก" กันตินันท์ เผย
เพราะนายเก่าโกง...กดดัน...เลยหันมาเปิด 'สตาร์ทอัพ' เอง
หลังจากเข้าทำงานเป็นพนักงานคนแรกของบริษัทสตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ได้ไม่นาน CEO ของบริษัทนี้ก็เกิดความไม่ซื่อสัตย์หอบเงินของเหล่านักลงทุนหนีหายไปเฉยๆ กันตินันท์ บอกว่า ในฐานะที่ดูแลงานด้านต่างๆ และจบด้านตัวเลขทำบัญชีมา เขาพยายามบอกกับทุกคนในองค์กรที่เกี่ยวข้องแล้วว่าบุคคลนี้ฉ้อฉลโกงเงิน แต่ด้วยความที่อายุยังน้อยและเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งจึงไม่มีใครเชื่อเขา หลังจากนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากบริษัทแทน พร้อมกับเดินหน้าทำ Profile ผ่าน LinkedIn และหาเงินทุนก้อนแรกมาทำธุรกิจสตาร์ทอัพของตนเองได้สำเร็จด้วยเงินจากนักลงทุนประมาณ 12 ล้านบาท
"ผมปั้น Startup ที่เป็น Fin Tech ปล่อยสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าขึ้นมา ด้วยการมองหาแบรนด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มีขายอยู่ในไทย แล้วเราเป็นตัวแทนจำหน่ายในจังหวัดภูเก็ต เพราะหลังจากที่เราจดทะเบียนได้ในในปี 2018 ก็คือเริ่มมีแบรนด์อื่นๆ โผล่เข้ามาบ้างในตลาด ซึ่งการเริ่มต้นธุรกิจนี้เป็นเพราะเรามองเห็นปัญหาใหญ่ด้านไฟแนนซ์ของคนไทยที่ไม่มีเงินสดจะซื้อรถนั่นเอง" กันตินันท์ เล่าเสริมถึงเรื่องราวในอดีต
แล้วบริษัทเก่าที่เขาลาออกก็ติดต่อมาชวนให้กลับไปบริหารงานที่เดิมหลังจากเห็นว่าสิ่งที่เขาเคยเตือนไว้เรื่อง CEO โกงเงินนั้นเป็นเรื่องจริง แต่กันตินันท์ได้เจรจาต่อรองพร้อมกับขอทางบริษัทให้แลกหุ้นกันเพราะเขาได้ตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่แล้ว ซึ่งหลังจากนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเพราะหลังจากเป็นตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ EV แบรนด์จีน ที่สินค้าไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐาน และมักเกิดปัญหาบ่อยครั้งจนธุรกิจเกือบเจ๊ง และหลังจากทำงานนี้อยู่ได้ประมาณ 2 ปี สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจกางแผนที่จะผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบรนด์ Sleek EV ขึ้นมาตอบโจทย์ผู้บริโภคในไทยแทนในปี 2023

Sleek EV แก้ Pain Point ตอบโจทย์คนขี่มอเตอร์ไซค์
จากธุรกิจที่เริ่มต้นปล่อยสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า มีพนักงานนอกเหนือจาก CEO และ Co-Founder อย่างกันตินันท์ เพียง 1 คน ที่คอยดูแลด้าน Marketing และคอยช่วยโพสต์ social media ผ่านมาเพียงไม่กี่ปีธุรกิจก็เริ่มขยายการเติบโตขึ้น ด้วยจำนวนพนักงานราว 50 คน แบ่งเป็นพนักงานโรงงานประกอบรถซึ่งตั้งอยู่ที่นครปฐม 25 คน และที่สำนักงานใหญ่ย่านพร้อมพงษ์ 25 คน โดยในส่วน Innovation ทีมวิศวกรของที่นี่ มีซอฟต์แวร์กับฮาร์ดแวร์ engineer รวม 17 คน ซึ่งรวมกับพนักงาน Full time คนต่างชาติที่อยู่ในต่างประเทศด้วยในการทำงานแบบ Working Remote
กันตินันท์ ยังบอกด้วยว่า เขาโชคดีมากๆ ที่พยายามมองหา Pain Point สำคัญของผู้บริโภคทั้งเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือไฟแนนซ์ในการจัดหาซื้อรถที่เป็นไปได้ยาก และความต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชิงเพลงต่อเนื่องไปถึงเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยอย่างยั่งยืน นี่เลยเป็นผลให้เขาได้พันธมิตรรายใหญ่ๆ อย่าง Krungsri Finnovate ผู้นำด้านนวัตกรรมการเงิน, ORZON (PTTOR) หน่วยงานด้านพลังงานของประเทศในเครือ ปตท. รวมถึง Thai Summit Group กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ระดับภูมิภาค ที่คอยสนับสนุนเงินทุนและยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศอีกด้วย
"หลังจาก Krungsri Finnovate และ ORZON มีความเชื่อมั่นกล้าปล่อยเงินลงทุนให้กับเรา ผมจึงมองว่าเราจะต้องทำทุกอย่างให้ดีกว่าเดิม หลังจากนั้นเราจึงเลือกที่จะหยุดขายสินค้าจากจีนคือยอมทิ้งของที่มีสต็อกอยู่เต็มโกดัง แล้วก็ recruit ทีม engineer ขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้าง product ของเราขึ้นมาเอง ก็ใช้เวลาอยู่เกือบปี กว่าเราจะปล่อยสินค้าที่เรา develop ขึ้นมาเองจริงๆ ออกมาเมื่อต้นปี 2025 ครับ"
CEO หนุ่มของ Sleek EV ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า การจะทำให้คนเปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์สันดาบมาเป็นไฟฟ้า สิ่งสำคัญหลักคือจะต้องช่วยให้พวกเขาประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้จริง หลังจากการเดินทางในเมืองของคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกือบ 30% ไปกับค่าเดินทาง ยังไม่นับรวมมลพิษและการพึ่งพาน้ำมัน
"มอเตอร์ไซค์ฟ้าส่วนใหญ่จะวิ่งได้แค่ 60-70 กิโลเมตร รับประกันแค่ 1-2 ปี ตามระยะทาง 30,000 กิโลเมตร คุณซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันละ 40,000 บาท ช่วยประหยัดได้แค่ 10,000 บาท เราจึงดูปัญหาของลูกค้าก่อนแล้วถึง develop product ออกมาช่วยแก้ปัญหาได้ และยังถือเป็นแบรนด์แรกในไทยจาก benchmark ของ industry ด้วยการรับประกันที่ 150,000 กิโลเมตร มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของเรามี IoT (Internet of Things) คือเราเก็บ big data ในทุกๆ กิโลที่ลูกค้าขับ ตอนนี้มียอดแล้วกว่า 7 ล้านกิโลเมตร นั่นแปลว่าเราช่วยคนไทยประหยัดไปแล้วประมาณ 5 ล้านกว่าบาท"

จุดเด่นที่แตกต่าง Innovation ล้ำสมัย
นอกจาก SLEEK EV จะเป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าความเร็วสูง 70-100 กม./ชม. (ตามแต่ละรุ่น) ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมคุณภาพสูง มีราคาเฉลี่ยสูงกว่าแบรนด์อื่นทั่วไป 20-30% แต่ก็ให้การรับประกันสูงกว่าทั่วไปถึง 150,000 กิโลเมตร ด้วยเช่นกัน รวมถึงมีการรับรองการจดทะเบียนได้อย่างถูกต้อง มีเครือข่าย S Charge สำหรับผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 7 สถานี โดยส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ตามปั๊มน้ำมัน ปตท. เพื่อให้สะดวกแก่ผู้ใช้
แบรนด์รถคุณภาพของไทยแบรนด์นี้ยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีในการสร้างระบบแบบครบวงจร ได้แก่ S Drive 1.0: ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ประสิทธิภาพสูง ขี่สนุกและประหยัดกว่าสันดาป 125cc, อัปเดตซอฟต์แวร์แบบ OTA: ให้รถฉลาดขึ้นได้ตลอดเวลา, โครงสร้างชาร์จ S Charge: ระบบชาร์จไฟที่เชื่อมต่อกับรถแบบอัตโนมัติ พร้อมใช้งานทั่วประเทศ และการเชื่อมต่อ IoT : สั่งงานผ่านแอปพริเคชัน เพื่อดูสถานะ GPS รีโมตล็อก วิเคราะห์ปัญหาได้จากมือถือ

ตั้งเป้าโตต่อเนื่อง ปี 2569 ขยาย S-Charge 200 สถานี
ปัจจุบันนี้ Sleek EV มีตัวแทนร้านขายรถประมาณ 80 เอาท์เล็ต ครอบคลุมทั้งกรุงเทพ ปริมณฑล ภาคอีสาน กลาง ใต้ มีครบ แต่ยอดขายและตัวแทนจำหน่ายอาจจะยังอ่อนในส่วนของภาคเหนือที่คนส่วนใหญ่อาจจะนิยมรถกระบะหรือมอเตอร์ไซค์แบบสันดาบมากกว่า
โดยแผนการในปีหน้า 2569 กันตินันท์บอกว่า ยอดขายจะต้องเติบโตต่อเนื่องเป็นเท่าตัวหลังจากปี 2024 มียอดขายอยู่ที่ราวๆ 100 ล้านบาท ปี 2025 ก็คาดว่าจะเพิ่มเป็นเท่าตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจบงาน Motor Expo ช่วงปลายปีที่น่าจะกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ราวๆ 200 ล้านบาทเช่นกัน
"ปีนี้เป็นเหมือน prove concept ของสถานีชาร์จที่เราเพิ่งทำการ R&D เสร็จ และเรายังจัดทำโปรบุฟเฟ่ต์แพ็คเกจสำหรับคนที่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่น่าจะตอบโจทย์กลุ่มคนใช้รถอย่างพี่ๆ ไรเดอร์ Grab มากที่สุด ให้สามารถเติมพลังงานได้ประหยัดมากขึ้นกว่าเดิม 70-90% จากเดิมที่เคยเสียค่าเติมน้ำมันเดือนละ 3,000-9,000 บาท ก็สามารถซื้อแพ็คเกจเติมพลังงานได้ในราคา 259 หรือ 399 ได้เป็นต้น และถ้าปีหน้า 2569 เรามี S-Charge เพิ่มขึ้นอีก 200 สถานี...การ disrupt ของวงการนี้ก็จะเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ชัดเจนมากขึ้นแน่นอน"

CEO รุ่นใหม่ ขอเลือกคนใช้ 'Innovative' แก้ปัญหามากกว่าใช้เงิน
ในฐานะ CEO และ Co-Founder Sleek EV แบรนด์ไทย ที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องสตาร์ทอัพหรือเทคโนโลยีด้านนี้มาก่อน กันตินันท์บอกว่า "หากใครที่คิดอยากจะเริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพให้คิดแล้วลงมือทำไปเลย เพราะถ้าเรารู้ก่อนว่าบางเรื่องมันยาก เราอาจจะไม่ลงมือทำจนทำให้เสียโอกาส...และถ้าเราเจอปัญหาก็ค่อยๆ แก้ทีละจุดเดี๋ยวปัญหาอุปสรรคก็จะผ่านไปได้ ยิ่งยุคนี้มี tools ต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีอย่าง AI ที่เข้ามาช่วยให้เราใช้ประโยชน์ในแต่ละด้านได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม"
ซึ่งการคัดเลือกทีมงานที่เป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจสตาร์ทอัพของเขานั้น CEO หนุ่มคนนี้ขอเลือกคนที่หาวิธีการใหม่ๆในการทำงาน โดยเขาเองรู้สึกภูมิใจกับทีม engineer ของเขามากๆ "บาง solution ถ้าเราจะแก้ไขปัญหาให้ได้ก็อาจจะต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 100,000-200,000 บาท ในการทำ แต่ทีมงานผมเขาจะสรรหาวิธีที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ผลลัพธ์นั้นได้ด้วยค่าใช้จ่ายเพียง 3,000 บาท คือมันแตกต่างมากขนาดนั้นเลยนะครับ เราชอบคนที่ไม่ใช้ไม่ได้ใช้เงินแก้ไขปัญหา แต่พยายามที่จะ innovate วิธีใหม่ๆในการในการทำ อันนี้ผมมองว่าเป็นสำคัญมากๆ ของการเป็นสตาร์ทอัพ"
และท้ายนี้ สำหรับเรื่องของการ Work Life Balance "ช่วงแรกๆ ของการทำงานที่ทีมงานยังเล็กมากๆ ผมต้องทุ่มเทหนักมากจนแทบไม่ได้ใช้ชีวิตเลยครับ สุขภาพก็จะพังไปด้วยเพราะตื่นมาทำงานยันตี 2 ตี 3 นอนต่อแล้วตื่นขึ้นมาทำต่อไปเรื่อยๆ อีก เลยต้องใช้เวลา reset ตัวเอง แล้วหันมาดูแลสุขภาพร่างกายให้มากขึ้น นอน 3 ทุ่ม ตื่นตี 5 หันมาออกกำลังกายมากขึ้น และต้องนอนให้เพียงพอด้วย เพราะงานในฐานะ CEO หรือ management ถ้าสมองล้า พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานที่อาจจะผิดพลาดได้" กันตินันท์ กล่าวทิ้งท้าย

ภาพ : วรัชญ์ แพทยานันท์ และ Sleek EV
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : รู้จัก CK Cheong กับเป้าหมาย ‘พัฒนาไทย’ ผ่านแพลตฟอร์ม Fastwork
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

