‘CK Cheong’ แม้ชื่อจะเหมือนชาวต่างชาติ แต่เมื่อ Forbes Thailand มีโอกาสได้พูดคุยกับเขากลับพบว่ามีหลายอย่างที่ CEO แห่ง Fastwork คนนี้สามารถสะท้อนปัญหาที่คนไทยต้องเผชิญผ่านคอนเทนต์บนสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ รวมถึงนำปัญหาที่เกิดขึ้นมาต่อยอดและพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้
ลูกครึ่งไทย-จีน แม้เติบโตที่สหรัฐฯ แต่เลือกจะกลับมาไทย
CK Cheong เริ่มต้นเล่าว่าเขาเป็นลูกครึ่งไทย-จีน โดยมีแม่ที่เป็นคนไทยเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเด็กทำให้พูดไทยได้คล่อง แต่จากจุดเปลี่ยนเมื่ออายุ 13 ปีที่พ่อแม่แยกทางกันและตัวเขาต้องย้ายไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาโดยมีเพียงกระเป๋าเดินทาง 2 ใบใหญ่ไปกับเขา มีเพียงช่วงปิดเทอมฤดูร้อน หรือหยุดยาวเท่านั้นที่เขาจะได้กลับมาไทย
หลังจากเรียนจบก็เริ่มทำงานในสหรัฐฯ ภายใต้บรรยากาศการทำงานที่ ‘คนมีชีวิตเพื่อทำงาน’ ทุกคนทำงานหนักเพื่อไขว่คว้าความฝันแบบ American Dream ที่เชื่อว่าชีวิตทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ ในมุมมองของเขาการทำงานที่สหรัฐฯ ต่างจากไทยมาก
“ถ้าไปที่ New York ตึก Goldman sachs ไม่เคยดับ ไทยไม่เหมือนกัน ไทยจะมีความน่ารักกว่า หลายคนหาเงินเพื่อใช้ชีวิต จะเห็นว่าร้านค้า Lifestyle เยอะมาก ถ้าเข้าห้าง โอ้โห ขนมเยอะมากๆ มันคือ Lifestyle มากๆ เลย ซึ่งมันแตกต่างจากอเมริกาที่ทุกคนมีความหิว อยากมุ่งไปสู่ความฝัน” CK Cheong กล่าว
กลับกันเมื่อคนไทยไม่กล้าฝัน เพียงแต่ขอให้มีงานที่มั่นคง มีเงินพอซื้อบ้านได้ก็พอแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ หรือถ้าไม่ได้เกิดมารวยก็คิดว่าคงไม่อาจรวยได้ทั้งชีวิต ขณะนั้น CK ทำงานที่อเมริกาและคิดว่าตัวเองเป็นเครื่องมือของคนรวยช่วยให้เขารวยขึ้น แม้ตัว CK จะมีรายได้ มีเงินเก็บ แต่กลับรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า ถึงจุดหนึ่งจึงเลือกกลับมาประเทศไทยและหวังว่าจะเริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงในจุดที่ตัวเองสามารถทำได้

ตั้งเป้าเปลี่ยน ‘ประเทศไทย’ ด้วยเงินลงทุน 10 ล้านบาท
หลังกลับมาไทย CK เคยร่วมทำธุรกิจเกี่ยวกับรถเช่ามาก่อน แต่สุดท้ายในปี 2020 ตัดสินใจฉายเดี่ยวซื้อธุรกิจ Fastwork ด้วยเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมหลากหลายบริการ ซึ่งตอบโจทย์ทั้งชนชั้นกลางที่หารายได้เสริมและกลุ่มอาชีพอิสระที่ต้องเติบโตขึ้น
“ผมซื้อทั้งบริษัทฯ ในมูลค่า 10 ล้านบาท หลักๆ ที่ซื้อเพราะต้องการเครื่องมือบางสิ่งในการทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น ตอนนั้นผมเห็นว่า Fastwork เงินที่เราโอนออกเกินกว่า 50% ในช่วงโควิด เราโอนออกนอกกรุงเทพฯ ผมก็เลยเห็นว่า โอเค อันนี้อาจจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือ หนึ่งในวิธีในการกระจายรายได้ออกนอกกรุงเทพฯ ได้ แต่ผมแค่ต้องทำให้มันทวีคูณ ร้อยเท่าพันเท่า นั่นคือจุดเริ่มต้น”
ผ่านมาแล้ว 4 ปี หลังการเข้าซื้อกิจการ Fastwork ปัจจุบันจำนวน User หรือผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเกิน 10 เท่า จำนวนฟรีแลนซ์เพิ่มขึ้นเป็น 400,000 คน และมียอดการ Download มากกว่า 3 ล้านครั้ง ที่สำคัญเรื่อง Brand Awareness เพิ่มขึ้น 100 เท่าจากวันแรก
CK เล่าต่อว่า “ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนไปมาก เพราะต้องมีสักวันหนึ่งที่ผมไม่รู้เมื่อไหร่ แต่พนักงานจะถูกไล่ออกเยอะมาก เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว HSBC ไล่ออก 900 คน, Citibank ไล่ออก 3,000 คน, J.P. Morgan ไล่ออก 8,000 คน แบงก์ต่างๆไล่ออกกันหมดแล้ว Microsoft ไล่ออกเป็น 10,000 คน Amazon ไล่ออก 20,000 คน นี่อันนี้แค่จุดเริ่มต้น Facebook ก็ไล่ออกประมาณหนึ่งและเดี๋ยวสิ่งนี้จะมาไทยครับ อัตราการว่างงานของไทยกำลังจะมีเยอะมาก”
และหากมีคนต้องการงานเสริมมากขึ้น กลายเป็นฟรีแลนซ์มากขึ้น เชื่อว่า Fastwork จะตอบโจทย์ของคนไทยได้

แม้ Fastwork ยังขาดทุน แต่สำหรับ Startup ผู้ใช้งานสำคัญกว่ารายได้
อย่างที่หลายคนต่างรู้ว่าการเป็น Startup ที่กำไรไม่ใช่เรื่องง่ายนัก Fastwork ก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ 4 ปีที่ผ่านมา (2563-2566) ยังคงขาดทุน ข้อมูลล่าสุดจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือ DBD ในปี 2566 พบว่า บริษัทฯ แม้มีรายได้รวม 54.54 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 49.99 ล้านบาท
เรื่องนี้ CK ตอบอย่างมั่นใจว่า ต้องเข้าใจว่าเป้าหมายของผม ถ้าเริ่มมาโฟกัสที่รายได้และกำไร นั่นคือ ‘คำตอบที่ผิด’ แต่เป้าหมายของเขาคือ Active User หรือจำนวนผู้ใช้งานที่อยู่กับ Fastwork
“เม็ดเงินที่แท้จริงสำหรับวงการของ Startup ไม่ใช่รายได้ ไม่ใช่ยอดขาย คือ Active User ผมยกตัวอย่าง Instagram ใน 2 ปี มี 30 ล้าน User แต่ Zero Revenue คิดว่าเขาเป็นธุรกิจที่ดีไหม ใช่สิ เพราะตอนเขามี 30 ล้าน User Mark Zuckerberg มาเสนอซื้อ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (มีพนักงานแค่ 12 คน)”
ดังนั้น ปัจจุบันมีคนเข้ามาเว็บไซต์ Fastwork ที่ 1,000,000 คนต่อเดือน มีคนดาวน์โหลดแอปฯ จำนวนมาก ถือว่าเริ่มต้นได้ดี แต่เป้าหมายของ CK คือ การเป็นแพลตฟอร์มที่มีทุกอย่าง ทุกบริการสามารถจบที่ Fastwork ได้ ซึ่งโมเดลนี้ในโลกยังไม่มีใครทำ "หากผมทำสำเร็จเชื่อว่าจะสามารถระดุมทุนและขยายไปได้ทั่วโลก"
ปั้น Fastwork ต้องปั้นคน - หวังขยายกลุ่มเกษตรกร
จากเป้าหมายใหญ่ที่ตั้งไว้ Fastwork ต้องพัฒนาให้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งพัฒนาบริการ 1) Search Engine ที่มีพลังมากๆ ให้ค้นหาอะไรก็เจอ แม้จะใส่คำผิดแต่ต้องหาเจอตามที่ผู้ใช้งานต้องการ 2) สร้างความสะดวกและลดปัญหาในเรื่องการชำระเงิน ทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้ใช้งานเจอบริการที่ต้องการและ กด-จ่าย-จบ ได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะงานช่าง ไลฟ์สไตล์ หาคนสอนเล่นเกม DOTA ไปจนถึงหาคนกินหมูกระทะเป็นเพื่อนต้องทำได้ทั้งหมด
แต่การจะพัฒนาบริการให้ดีขึ้น ‘คน’ ยิ่งเป็นหัวใจสำคัญ ที่ CK จะคัดสรรหาคนเก่งที่สุดเป็น 1% ของสายงานนั้นๆ มาร่วมงาน
“ผมตามหาคนที่เก่งมาก ผมหา Raw Intelligence ความฉลาดแบบ Pure เพราะคนที่มีความฉลาดไม่ต้องมีประสบการณ์ก็ได้ คนที่ฉลาดจริงๆ สามารถแก้ไขทุกปัญหา”
แต่เมื่อเจอและรับคนเก่งเข้ามาในทีมแล้ว ใช่ว่าทุกคนจะรู้ใจได้ง่ายๆ CK จึงต้องทำงานไปด้วยกันทุกขั้นตอนจนกระทั่งทีมงานสามารถทำงาน กล้าตัดสินใจ กล้าลองและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงขั้นตอนต่างๆ พร้อมที่จะพัฒนาสู่การเป็นผู้นำที่หาโซลูชันที่ดีที่สุดให้แก่องค์กร
“ผมไม่ได้วัดที่เขาทำสำเร็จหรือเปล่านะ ผมวัดว่าเขามีความกล้าในการลองอะไรใหม่หรือเปล่า ถ้าคุณอยากได้ Output ที่แตกต่าง Input ต้องแตกต่าง” CK กล่าวต่อว่า “นี่ไม่ใช่แค่ภาครัฐนะ แต่เอกชนก็เป็นอย่างนั้น ตั้งเป้าที่ Ambitious มากขึ้น แต่กระบวนการในการทำงานไม่ยอมเปลี่ยน มัน Unrealistic นะ ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถทำเหมือนเดิมและหวังผลที่แตกต่าง”
ในด้านธุรกิจนอกจากตั้งเป้าหมายให้ Fastwork ตอบโจทย์ SME และคนทำงานให้สามารถทำงานบนโลกดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ท้ายที่สุดอยากพัฒนาไปสู่กลุ่มเกษตรกรที่เป็นรากฐานของไทย แต่เรื่องนี้ยังเป็นแผนในระยะยาว

พอร์ตการลงทุนของ CK
จากเป้าหมายชีวิตของ CK ที่สอดคล้องกับงานที่เขากำลังทำอยู่นั้น สะท้อนมาถึงพอร์ตการลงทุนของเขาที่สัดส่วนเกือบครึ่งลงทุนใน Fastwork โดย CK ถือหุ้นทั้ง 100% จึงไม่ค่อยได้ลงทุนในหุ้นมากนัก แต่จะกระจายการลงทุนด้านอื่นๆ เพื่อบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะการลงทุนใน ‘หนี้’
CK ขยายความการลงทุนในหนี้ว่า เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ระดับสูง ทำให้ผลตอบแทนที่ได้จาก (ตราสาร) หนี้ มันสูงขึ้นมาก โดยส่วนตัวเขามีทั้งตราสารหนี้อเมริกาที่ให้ผลตอบแทนราว 4.5% ต่อปี และองค์กรอื่นๆ
“ดอกเบี้ยฯ มันสูงได้ขนาดนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปมันยาก เพราะปี 2008-2009 ดอกเบี้ยอเมริกาอยู่ที่ 0% แต่วันนี้คือ 4.5% วันนี้คือเงินมันลอยจากท้องฟ้าจริงๆ คำถามคือจะฝากไว้ในแบงก์ (ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าแต่ผลตอบแทนต่ำกว่า) เพื่ออะไร”
CK เชื่อว่าสถานการณ์ปัจจุบันที่ ‘หนี้’ ให้ผลตอบแทนสูงจะไม่เกิดขึ้นตลอดไป เพราะ Donald Trump ต้องพยายามลดดอกเบี้ยฯ ให้ได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นหาก CK สามารถล็อกสัญญาต่างๆ ไม่ว่าจะ 2 ปี หรือ 10 ปี จะทำไว้ทั้งหมด เพราะหากมีการลดดอกเบี้ยตอนนี้ราคาพันธบัตรที่ถืออยู่จะขยับสูงขึ้นและยังได้รับ Premium ที่เพิ่มขึ้น
สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะการทำงานหรือการลงทุน CK Cheong ทั้งวางแผนและเร่งเครื่องสุดกำลังในทุกๆ ทาง แต่การรักษาพลังใจเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดยเฉพาะคนที่เคยล้มมาก่อน CK แชร์เคล็ดลับส่วนตัวของเขาว่า ที่เขามาได้ถึงวันนี้เพราะเขาพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่จะไม่จมอยู่กับความผิดนั้นโดยมีกฎข้อเดียวที่เขายึดไว้เสมอคือ ต้องไม่ผิดซ้ำสอง
“หยุดคิดว่าข้อผิดพลาดของตัวเองเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ถ้าคุณไม่รู้สึกดีกับผลที่มันเกิดขึ้น จงเอาเวลากับพลังงานไปโฟกัสกับสิ่งที่สามารถทำให้ผลมันแตกต่าง แต่ไม่ใช่เอาพลังงานไปท้อกับผลที่เกิดแล้วคุณเปลี่ยนมันไม่ได้"
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์
หมายเหตุ: งบการเงินจาก DBD, บริษัท เช้นจ์ซี จำกัด (เปลี่ยนชื่อมาตั้งแต่ 10 ก.พ. 2568 จากเดิมใช้ชื่อฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด)
ปี 2566 มีรายได้รวม 54.54 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 49.99 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 59.40 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 38.22 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 202.31 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 121.38 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้รวม 43.95 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 22.77 ล้านบาท
ปี 2562 มีรายได้รวม 32.50 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 84.05 ล้านบาท
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จากนักสู้กลายเป็น ‘นักเลือก’ เส้นทางมนุษย์ออฟฟิศสู่เศรษฐีหุ้นไทยของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine