กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ BBGI เดินเกมรุกไบโอเทค - Forbes Thailand

กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ BBGI เดินเกมรุกไบโอเทค

ภายใต้การนำของ กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ แห่ง บีบีจีไอ อาณาจักรทางธุรกิจที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มบางจากและกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น ที่ต้องการมากกว่าการสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพ โดยเฉพาะด้านไบโอเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถเติบโตควบคู่กับธุรกิจหลักและสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ

"ช่วงนี้เป็นการ transform องค์กรหลังจากควบรวมกันเมื่อ 4 ปีที่แล้วระหว่างบางจากและน้ำตาลขอนแก่น ซึ่งโจทย์ของ BBGI ต้องการให้เราสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาจากธุรกิจเดิมทางด้าน biofuel โดยขณะนั้น biotechnology ถือเป็นเรื่องใหม่ของประเทศและของโลก ซึ่งทีมงานก็มีโอกาสได้เข้าไปดูธุรกิจเกี่ยวกับ biotechnology ในโลกปัจจุบันว่ามีอะไรบ้าง และมีกระบวนการคัดกรองธุรกิจที่เหมาะสมสามารถต่อยอดได้” กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI  กิตติพงศ์กล่าวถึงความพร้อมรับโจทย์ทรานส์ฟอร์มองค์กรจากการนำความรู้ทั้งปริญญาตรี เคมีวิศวกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ MBA จาก University of Dallas สหรัฐอเมริกา ผสมผสานกับประสบการณ์ทำงานต่างประเทศมากกว่าทศวรรษ โดยเฉพาะประสบการณ์จากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีอย่าง ExxonMobil Chemical ในต่างประเทศ ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทยและเริ่มต้นทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์กว่า 6 ปี จึงร่วมงานกับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ในปี 2562 “การทำงาน 36 ปีจากช่วงแรกอยู่ในโรงกลั่นน้ำมันก็ได้ย้ายไปทำงานที่หลากหลายแตกต่างกันจากคอนเซ็ปต์ของ ExxonMobil ที่ต้องการให้พนักงานทำงานในแผนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น supply การตลาด operation ธุรกิจปิโตรเคมีทั้ง regional และ global เช่น ฮ่องกง และอเมริกาประมาณ 10 กว่าปี จนกระทั่ง 8 ปีที่แล้วเราตั้งใจกลับมาเกษียณที่เมืองไทยก็ได้มีโอกาสทำงานด้าน bio product และย้ายมากลุ่มบางจากที่มีไอเดียเปิดธุรกิจใหม่เกี่ยวกับ biofuel และ bio product โดยดูแลที่บริษัท BBGI ซึ่งเป็น bio base innovation” สำหรับปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตและผู้ค้า เอทานอลรวมถึงไบโอดีเซลชั้นนำของประเทศไทย โดยจำหน่ายเอทานอลและไบโอดีเซลให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ขณะที่กลุ่มบริษัทมีโรงงานผลิตเอทานอลทั้งหมด 3 โรงงานในจังหวัดขอนแก่น กาญจนบุรี และฉะเชิงเทรา กำลังการผลิตรวมทั้งหมด 600,000 ลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นสำหรับเอทานอล 577,500 ลิตรต่อวัน รวมถึงโรงงานผลิตไบโอดีเซลในจังหวัดอยุธยากำลังการผลิตรวมทั้งหมด 1 ล้านลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นสำหรับไบโอดีเซล 700,000 ลิตรต่อวัน นอกจากนั้น กลุ่มบริษัทได้เริ่มต้นดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงที่ส่งเสริมสุขภาพ โดยเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีความรู้และความสามารถในเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มบริษัทสามารถเข้าถึงและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการนำข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ที่ได้รับจากการร่วมทุนมาขยายการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงในประเทศไทยและทวีปเอเชียต่อไป

เล็งโอกาส Health & Wellness

ในฐานะบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพพร้อมให้ความร่วมมือเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเศรษฐกิจให้ปรับเปลี่ยนไปในทางเดียวกัน ด้วยแผนการขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงจากเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (SynBio) ซึ่งถือเป็นธุรกิจ New S-Curve ใหม่ของบริษัท โดยดำเนินการผ่านโมเดลธุรกิจด้วยการเป็น strategic partner กับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกที่มีองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง ซึ่งต่อยอดจากพื้นฐานความชำนาญและประสบการณ์ของบริษัทด้านธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) “เราแบ่งกลยุทธ์ 2 ด้านหลัก ได้แก่ ธุรกิจพื้นฐาน biofuel ซึ่งเน้น operational excellence เพราะ BBGI อยู่ในธุรกิจนี้มานานจนอาจจะเรียกว่าเป็น founder ในประเทศไทย และมีความชำนาญมากเรื่องเอทานอลหรือไบโอดีเซล ส่วนธุรกิจใหม่จะเป็นการทำงานในลักษณะ collaboration กับพาร์ตเนอร์ เพราะเราเห็นโอกาสเกี่ยวกับ biotechnology และ SynBio” กิตติพงศ์ย้ำถึงความเชื่อมั่นในโอกาสและศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง หรือ advanced biotechnology ซึ่งเป็นนวัตกรรรมใหม่ของเทคโนโลยีชีวภาพที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตจากการนำวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง หรือวัตถุดิบทางการเกษตรอื่นๆ ผ่านกระบวนการทางชีวภาพ ด้วยจุลินทรีย์ที่ออกแบบขึ้นด้วยนวัตกรรมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตั้งแต่ส่วนประกอบชีวภาพในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค หรือส่วนประกอบชีวภาพในยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลกได้เริ่มพัฒนาและวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี SynBio มาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแล้ว “เราเริ่มขยายเข้าไปในธุรกิจ health and wellness โดยได้พาร์ตเนอร์ที่แข็งแรงอย่าง Manus Bio เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลก ซึ่งยินดีร่วมลงทุนกับเราที่ประเทศไทยและสร้างแบรนด์ ทำให้ทีมงานของเราสามารถ reskill และ upskill จากประสบการณ์และเทคโนโลยีของ Manus Bio โดยต้องยอมรับว่าธุรกิจนี้เป็นเรื่องใหม่ของโลกที่ต้องอาศัยความร่วมมือกัน ซึ่งประเทศไทยมีคนที่รู้เรื่องนี้อยู่พอสมควร แต่ค่อนข้างกระจัดกระจาย ทำให้เราอยากสร้าง SynBio Consortium รวบรวมสรรพกำลังคนด้านนี้ร่วมกันผลักดันให้เกิด value added มากขึ้นในประเทศไทย” สำหรับในปัจจุบันบริษัทได้ร่วมเป็นพันธมิตรและลงทุนในบริษัท Manus Bio Inc. (Manus) บริษัทจดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงที่มีความเชี่ยวชาญในการค้นคว้า วิจัย และพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่มีความหลากหลาย โดยร่วมกันจัดตั้ง บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด (WIN) เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงของ Manus ในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 12 ประเทศ ซึ่ง WIN ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการผลิตและจำหน่าย

ต่อยอดนวัตกรรม New S-Curve

การขยายน่านน้ำทางธุรกิจใหม่ของบริษัทได้วางแนวทางการประยุกต์ใช้นวัตกรรมสีเขียวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ส่วนประกอบชีวภาพในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (bio-nutrition ingredients) ส่วนประกอบชีวภาพในเครื่องสำอาง (bio- cosmetic ingredients) ส่วนประกอบชีวภาพในยา (bio-pharmaceutical ingredients) และวัสดุชีวภาพ/สารออกฤทธิ์ชีวภาพ (bio-materials /active ingredients) นอกจากการขยายธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ บริษัทยังมุ่งต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในรูปแบบ B2B และ B2C เพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพโดยตรงภายใต้แบรนด์ B Nature Plus ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมจากสารสกัดแอสตาแซนธิน (astaxanthin) มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์ B Nature Plus เพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย ดังนั้น บริษัทจึงเดินหน้าแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อยอดธุรกิจสร้างการเติบโตทั้งธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายเอทานอลรวมถึงธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพ เพื่อเป็นการสร้างการเติบโตใหม่ (New S-Curve) “ส่วนหนึ่งของการระดมทุนเพื่อต่อยอดการขยายธุรกิจ biotechnology และขยายกำลังการผลิต biofuel โดยเรายังสนใจศึกษา bio lubricant หรือน้ำมันเครื่องบินที่เป็น bio และ green base ซึ่งแนวโน้มธุรกิจ biofuel ประเทศไทยยังเติบโตอยู่ แต่อาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ดังนั้น การมองหา specialty product จึงเป็นความจำเป็นของธุรกิจ เช่น synthetic biology ที่เป็นเรื่องใหม่และทั้งโลกกำลังขับเคลื่อนอยู่ในแนวทางเดียวกัน” สำหรับแผนสร้างการเติบโตในธุรกิจหลัก ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตเอทานอลของโรงงานน้ำพอง 2 จังหวัดขอนแก่น จาก 600,000 ลิตรต่อวันเป็น 800,000 ลิตรต่อวันใช้เงินลงทุนรวม 1.2 ล้านบาท และโครงการติดตั้งบ่อก๊าซชีวภาพสาขาบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี กำลังการผลิต 84,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน นอกจากนั้น บริษัทยังนำเงินระดมทุนสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพ เช่น โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ alternative protein ประเภท animal-free protein โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ probiotic รวมทั้งธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ที่ส่งเสริมสุขภาพจากนวัตกรรมขั้นสูง ขณะเดียวกันบริษัทยังมีโครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ซึ่งส่งเสริมสุขภาพด้วยเทคโนโลยีของ Manus ภายใต้บริษัทร่วมทุน WIN โดยคาดการณ์ใช้เงินลงทุน 1 พันล้านบาท เพื่อเป็นฐานการผลิตและจัดจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต พร้อมวางแผนดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยของ WIN ขึ้นในประเทศสิงคโปร์ เพื่อความสะดวกในการดำเนินงานด้าน R&D “เราต้องการให้เห็นภาพว่า BBGI เป็น biotechnology beyond bio power เพราะส่วนใหญ่ภายนอกรู้จักเราในฐานะผู้นำการผลิต biofuel ประเทศไทยทั้งไบโอเอทานอลและไบโอดีเซล โดยเราต้องการ transform ตัวเองด้วยการเข้าสู่ธุรกิจ biotechnology และต้องการเป็นผู้นำเรื่อง bio-based green innovation for sustainability” กิตติพงศ์ปิดท้ายถึงหลักการบริหารที่ได้รับจากการทำงานกับบริษัทต่างชาติเป็นเวลากว่า 20 ปี ทำให้เล็งเห็นความสำคัญของการปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ พร้อมผสมผสานความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของกลุ่มบางจากและน้ำตาลขอนแก่นเข้ากับกลุ่มบริษัทบีบีจีไอ สร้างความสำเร็จให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม “เราเชื่อมั่นในศักยภาพของคน ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้และคงต้องบริหารจัดการ เรามองว่า วันนี้สิ่งสำคัญอยู่ที่ความคล่องตัว และความยืดหยุ่น เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ธุรกิจเดิมหลายอย่างถูก disrupt ทำให้คนต้องกล้าเรียนรู้ กล้านำเสนอ กล้ารับผิดชอบ กล้าคิด กล้าทำ รวมถึงผมส่งเสริมให้คนออกนอก comfort zone และการเพิ่มศักยภาพเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะงานของเราเกี่ยวกับนวัตกรรม ซึ่งพนักงานในองค์กรของเราต้องมีความกล้าพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่” ภาพ: กิตติเดช เจริญพร
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine