เสน่ห์ธุรกิจบริการที่สามารถต่อยอดโอกาสสร้างรายได้ตอบดีมานด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เป็นแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังความมั่นใจการปรับประสบการณ์ร่วมบุกเบิกอาณาจักรออริจิ้น สู่การนำทัพธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พร้อมบาลานซ์พอร์ตขยายงานยกระดับความยั่งยืนภายใต้ความมุ่งมั่น “Focus On Core”
อาณาจักรธุรกิจการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรสามารถขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากจุดเริ่มต้นให้บริการบริหารจัดการทรัพย์สินที่อยู่อาศัย นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ และทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2554 ซึ่งได้รับการก่อตั้งโดยครอบครัวจรูญเอก และภายหลังกลุ่มออริจิ้นได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดเป็นหนึ่งในบริษัทเรือธงที่เสริมความแข็งแกร่งด้านการให้บริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ส่วนต้นน้ำด้านที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม ส่วนกลางน้ำธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และส่วนปลายน้ำด้านธุรกิจการให้บริการหลังการขายอสังหาริมทรัพย์
“เราเริ่มงานก่อสร้างที่ซิโน-ไทยในโครงการ EEC ยุคแรก และย้ายไปเป็น consult เกี่ยวกับงานอาคาร ก่อนจะเรียนต่อปริญญาโทและย้ายไปทำงานดูแลโครงการอสังหาฯ ของกลุ่ม Double A ประมาณ 10 ปี ซึ่งเราได้รู้จักกับคุณพีระพงศ์ จรูญเอก เป็นเพื่อนร่วมงานกันที่นี่ และคุณพีระพงศ์ชวนเราไปออริจิ้น
“โดยเริ่มจากการช่วยงานก่อสร้างวิศวกรรมคอนโดมิเนียมและเข้ามาทำที่ออริจิ้นเต็มตัว ดูแลเกือบทุกแผนกในปี 2558 และมีส่วนร่วมกับพรีโมตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ดูแลเกี่ยวกับนิติบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับวงจรอสังหาฯ สร้างเสร็จ โอน ดูแลอาคาร ดูแลลูกค้า และขยายดูแลความสะอาด ช่าง โดยสามารถต่อยอดได้เรื่อยๆ ขณะที่ชอสังหาริมทรัพย์มีขึ้นลง แต่ธุรกิจบริการขายความรู้และความสามารถ ในอนาคตเราหวังว่าพรีโมจะเป็นเรือธงของกลุ่มนี้” สุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRIMO กล่าวถึงความพร้อมนำความรู้ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีและบริหารงานก่อสร้าง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และปริญญาโท สาขาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรับใช้ร่วมกับประสบการณ์ทำงานกว่า 30 ปีด้านวิศวกรรม งานโยธา ที่ปรึกษา จนถึงระดับบริหาร ซึ่งเริ่มต้นในบริษัทยักษ์ใหญ่วงการก่อสร้างอย่างซิโน-ไทยประมาณ 6-7 ปี และงานการบริหารโครงการทั้งอาคารสูง โรงแรม และโครงการแนวราบ
ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นซีอีโอร่วมในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบของกลุ่ม Double A และตัดสินใจย้ายมาอยู่กับกลุ่มออริจิ้นช่วงบุกเบิกและเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเริ่มต้นจากตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการในปี 2558 และขยับเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ รวมถึงประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารงานก่อสร้างของออริจิ้นในปี 2560 และนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) ในปี 2565
หลังจากนั้นสุรินทร์ได้รับมอบหมายให้ขึ้นมากุมบังเหียนธุรกิจด้านการบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ในปี 2567 ดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งควบคุมงานก่อสร้าง บริหารนิติบุคคล บริหาร investment property บริการออกแบบและตกแต่งภายใน บริการด้านความสะอาด รวม 229 โครงการ คิดเป็นจำนวนครอบครัวภายใต้การดูแลกว่า 44,650 ครอบครัว พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตการให้บริการไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ โรงงาน และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
สำหรับการดำเนินธุรกิจแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ โดยเป็นบริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (pre-living services) ได้แก่ บริการให้คำปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯ บริการออกแบบสถาปัตยกรรมงานวิศวกรรมโครงสร้างควบคุมการก่อสร้าง และบริการควบคุมการก่อสร้าง งานวิศวกรรม และการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค
ขณะที่กลุ่มกลางน้ำเป็นบริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (living services) ได้แก่ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการนิติบุคคลอาคารชุดแบบลักชัวรี่ การบริหารจัดการทรัพย์สินเพื่อการอยู่อาศัย (residential property) และเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตัวแทนในการซื้อ-ขาย-เช่า บริการจัดหาผู้ร่วมลงทุน บริการที่ปรึกษาด้านสื่อการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้กับธุรกิจอสังหาฯ บริการ personal assistant ให้ชาวต่างชาติ และบริการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริการและเทคโนโลยีด้านการอยู่อาศัย
ส่วนกลุ่มปลายน้ำเป็นบริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (living & earning services) ได้แก่ บริการออกแบบและตกแต่งภายใน บริการงานจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ บริการแม่บ้านทำความสะอาดและบริการงานช่าง บริการจัดการอาคาร การจัดจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านและที่อยู่อาศัยแบบไลฟ์สไตล์ รวมถึงตัวแทนประกันแบบ life และ non-life

“ต้นน้ำเปรียบเหมือนช่วงเริ่มสร้างบ้านซึ่งให้บริการเกี่ยวเนื่องกับวิศวกรรม เช่น งานออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมการก่อสร้าง การตรวจสอบสภาพแวดล้อม EIA ต่างๆ ส่วนกลางน้ำ หลังจากเข้าไปอยู่อาศัยแล้วต้องมีงานเกี่ยวกับการใช้ชีวิต
“โดยช่วงแรกเราเน้นคอนโดมิเนียมที่ต้องมีนิติบุคคล และขยายการบริหารจัดการไปยังหมู่บ้านจัดสรร ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน serviced apartment โรงแรม รวมถึงงานโบรกเกอร์ เอเจนต์ ซึ่งเรายังเติมธุรกิจเรื่อยๆ อย่าง LivTech บริษัทพัฒนาเทคโนโลยี สุดท้ายปลายน้ำเมื่ออยู่แล้วต้องมีการรีโนเวต ซ่อมแซม และงานแม่บ้าน โดยเรายังเปิดบริษัท Wyde Furniture ผลิตและขายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถ้าแบ่งสัดส่วนรายได้ pre-living และ living จะใกล้ๆ กัน 30% ส่วน earning 40% กว่าตาม volume ธุรกิจ”

รุกปรับสมดุลพอร์ตยั่งยืน
ภายใต้ความมุ่งมั่นสร้างเส้นทางธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนด้วยการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร โดยกำหนดกลยุทธ์และแผนการดำเนินงาน “Focus On Core” Optimize for Sustainable Growth ทั้งการขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน และการขยายฐานลูกค้าโครงการกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำสู่เป้าหมายรายได้รวม 1.85 พันล้านบาทในปีนี้
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานสร้างรายได้สม่ำเสมอ (recurring income) และการเติบโตมั่นคงยั่งยืนในอนาคต ได้แก่ การมุ่งเน้นคุณภาพและส่งมอบบริการ (committing to quality) การพัฒนากระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบบริการคุณภาพสูงให้ลูกค้า โดยปรับกระบวนการให้เรียบง่ายและคล่องตัวด้วยการลดขั้นตอนไม่จำเป็น และลดใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะที่ปรับโครงสร้างองค์กรเป็น 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม (engineering) เน้นความแข็งแกร่งในการดำเนินงานและความสามารถการทำกำไรด้วยการขยายฐานผู้ใช้บริการนอกเครือเป็นหลัก เช่น หน่วยงานของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ งานภาคเอกชน รวมถึงกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (living service) ซึ่งให้บริการบริหารจัดการสินทรัพย์ การร่วมวางแผนตกแต่ง จัดหาบริการและสิ่งอำนวยความสะดวก โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการบริการเพื่อเพิ่มรายได้ในธุรกิจอื่น และสุดท้ายกลุ่มธุรกิจนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ (brokerage) เน้นการขยายงานด้านการขาย การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นสัดส่วนงานหลักของบริษัทในอนาคต

“Sustainable Growth เป็นกลยุทธ์หลัก 3 ปีของเราที่เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยปีนี้เราเน้นการส่งมอบคุณภาพจากโครงสร้างการบริหารที่เหมาะสมและการพัฒนาคน ซึ่งกลับมาที่ธุรกิจหลักของเรา Focus On Core การทำตัวเองให้แข็งแรง โดยเรามองการปรับโครงสร้างแบ่งเป็นกลุ่มงานสร้างและขาย กลุ่มงานบริการ และกลุ่มงานขาย brokerage ซึ่งความคาดหวังลูกค้าแต่ละธุรกิจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับกระบวนการทำงานและวิธีบริหารต่างกัน เพราะพรีโมมีธุรกิจที่หลากหลาย เราจึงกำหนดเป้าหมายรวม 1.85 พันล้านบาท และให้อิสระแต่ละธุรกิจบริหารจัดการเอง”
นอกจากนั้น บริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าใช้บริการบริษัทในระยะยาว โดยร่วมกับ 13 สถาบันการศึกษาที่ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพรีโมจัดโปรแกรมการพัฒนาที่เหมาะสมและเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละกลุ่มธุรกิจในเครือ รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าเพื่อสร้างความภักดีในระยะยาว loyalty program ทั้งจากกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างระบบติดตามและวัดความพึงพอใจในทุกมิติ
ขณะเดียวกันยังเดินหน้ากลยุทธ์สร้างสมดุลและความหลากหลายในกลุ่มลูกค้า (diversify and expand customer segment) มุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าให้หลากหลายและสมดุลในทุกธุรกิจ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โรงแรม โรงงาน ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงขยายการดำเนินงานไปยังเมืองสำคัญที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย
โดยเฉพาะธุรกิจฝากขาย-ปล่อยเช่า และบริหารนิติโครงการในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงจากความต้องการของลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ พร้อมรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ โดยบริษัทยังมองหาโอกาสจากโครงการใหม่ในพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งมีศักยภาพด้านการลงทุนและการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมหรือที่อยู่อาศัยเพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ระยะกลางถึงยาว
“เราต้องการเติบโตแบบยั่งยืนด้วยการบาลานซ์พอร์ตใน 2 มิติ โดยมิติแรกเป็นของหน่วยงาน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนพอร์ตงานนอกจาก 30% เป็น 40% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้เราต้องการเน้นหางานนอกมากขึ้น และลดงานออริจิ้นลง โดยสัดส่วนงานนอก 60% ออริจิ้น 40% รวมถึงอีกมิติที่เราต้องการไม่เกี่ยวกับอสังหาฯ เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน สถานที่ราชการต่างๆ ทำให้เราสามารถยืนหยัดได้ทุกสภาวะเศรษฐกิจ
“โดยสุดท้ายการที่เราจะแข่งขันในตลาดนี้พรีโมต้องมีจุดเด่นมากกว่าที่อื่น ซึ่งเรามองความครบวงจรเป็นจุดแข็งเปิดตลาดใหม่ได้ เช่น บริษัทต่างชาติจะลงทุนเปิดสำนักงานใหญ่ในไทย เราสามารถให้บริการครบตั้งแต่หาที่ดิน การออกแบบ การคุมงานก่อสร้าง การจัดการอาคาร การดูแลรักษา หรือขายต่อให้ด้วย”

สุรินทร์กล่าวถึงกลยุทธ์การใช้จุดแข็งความครบวงจรของการให้บริการจากบริษัทในเครือทั้งหมดในการขยายตลาดสร้างความมั่นคงด้านรายได้ (leveraging competitive advantage) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และธุรกิจที่มั่นคงยั่งยืนในอนาคต ด้วยการนำเสนอแพ็กเกจบริการครบวงจรแบบ all-in-one เพิ่มศักยภาพรายได้สูงสุด และบูรณาการบริการระหว่างทุกหน่วยธุรกิจในบริษัทให้ พร้อมครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
ขณะที่บริษัทยังมุ่งเน้นการต่อยอดนวัตกรรมการบริการและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง (digitalization and smart innovation) เช่น การให้บริการหุ่นยนต์ส่งของ หุ่นยนต์ทำความสะอาด และการพัฒนาแอปพลิเคชัน Primo Plus ช่วยจัดการเรื่องบ้านและบริการในที่อยู่อาศัย เช่น บริการให้คำปรึกษาและตกแต่งภายในแบบครบวงจร บริการตรวจห้องและต่อเติม ปรับปรุง ซ่อมแซมที่พักอาศัย พร้อมทั้งนำข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น
“เทคโนโลยีเป็นเรื่องใหญ่ที่เราให้ความสำคัญ ด้วยการใช้ บริษัท ลิฟเทค แล็บ ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ และใช้ AI เรื่อยๆ เช่น เราพยายามพัฒนาแพลตฟอร์ม Primo Plus ให้สมบูรณ์แบบ เรานำหุ่นยนต์น้องพรีโม่ช่วยส่งของ ทำความสะอาด เราเปิดธุรกิจ DOORMART บริการอำนวยความสะดวกส่งถึงหน้าห้อง ซึ่งเราต้องตอบสนองเทรนด์ให้ทันและนำเทคโนโลยีเข้ามาเติม โดยถือเป็นเสน่ห์ของธุรกิจบริการที่ไม่หยุดนิ่งและมีโอกาสใหม่ๆ ตลอดเวลา เพียงแต่เราจะแข็งแรงพอคว้ามันหรือไม่ รวมถึงธุรกิจบริการที่ทุกคนเข้ามาได้หมด เราต้องเร็วกว่าคู่แข่งและใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันบวกกับข้อได้เปรียบด้านความครบวงจรทำให้เหนือกว่าคู่แข่ง”

นอกจากนั้น สุรินทร์ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานโครงการ Happy Make for All อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์พื้นที่แห่งความสุขสำหรับทุกช่วงเวลาของทุกช่วงวัย การยกระดับความสุขของลูกบ้านผ่านนวัตกรรมการบริการ และสร้างสรรค์ชุมชนให้เติบโตด้วยความสุขที่ยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมบนแนวคิดโลกที่ยั่งยืนอย่าง “เข้าใจ ห่วงใย ใส่ใจ และทำออกมาจากใจ”
ขณะเดียวกันโครงการ Happy Make for All สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ Primo GoGreen บริหารจัดการของเสีย น้ำ และพลังงาน เพื่อลดการใช้ทรัพยากร ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในอาคารและที่พักอาศัย Primo Care สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรและพนักงานในกิจกรรมที่ส่งผลเชิงบวกต่อสังคม โดยเฉพาะด้าน people, pet, planet รวมถึง Primo Tree เพิ่มพื้นที่สีเขียวผ่านโครงการปลูกต้นไม้ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในการพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อม และ Primo Happy Community Maker สร้างมาตรฐานใหม่ในการให้บริการและผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการของลูกค้า
“ความยั่งยืนอย่างแรกเป็นเรื่องพอร์ตโฟลิโอด้วย recurring income ที่ไม่ได้มาจากบริษัทในเครือและธุรกิจอสังหาฯ เพราะเราคาดหวังให้พรีโมเป็นเรือธงของกลุ่มออริจิ้นในอนาคต รวมถึงการสร้างความยั่งยืนให้บริษัทเรื่องการบริหารคน แม้ธุรกิจเราจะแตกต่างหลากหลายแต่เริ่มต้นจากแนวคิดการทำให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด เราจึงปลูกฝังพนักงานทุกคนว่า หน้าที่ของเราเป็น Happy Maker ต้องทำให้คนรอบข้าง ลูกค้า ผู้ถือหุ้น เพื่อนร่วมงาน และตัวเองมีความสุข ซึ่งเราในฐานะผู้บริหารต้องเริ่มจากทำให้พนักงานมีความสุขก่อนจึงทำให้คนอื่นมีความสุขได้ ดังนั้น ในด้านความยั่งยืนเรามองเรื่องพอร์ตโฟลิโอและการพัฒนาคนให้มีดีเอ็นเอที่เราต้องการ”
สุรินทร์ตอกย้ำเรื่องความสำคัญของทรัพยากรบุคคลในองค์กรที่มีจำนวนเกือบ 2,000 คน ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานทำงานอย่างมีความสุขและร่วมขับเคลื่อนธุรกิจเดินหน้าไปยังเป้าหมายเดียวกัน พร้อมส่งเสริมความรู้ความสามารถพนักงานผ่านการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ธุรกิจงานบริการ inspiration คนสำคัญอันดับต้นๆ โดยเราเชื่อว่าการทำงานให้ดีได้ต้องมี inspiration เพราะถ้าเขามี inspiration เขาจะมี passion และไอเดียสร้างสรรค์ต่างๆ เราต้องการให้ทุกคนทำงานด้วยใจ เพราะต้องการให้งานออกมาดีไม่ใช่เพราะทำตามคำสั่ง ดังนั้น เราเน้นการสร้างแรงบันดาลใจตั้งแต่ระดับล่างถึงระดับบนให้เขารู้สึกว่าเป้าหมายของเราเป็นเป้าหมายของเขา ซึ่งหมายถึงเป้าหมายขององค์กร รวมถึงการเติม empower โดยดูว่าทีมงานต้องการให้ช่วยเสริมพลังอย่างไร การฝึกอบรม คำแนะนำ หรือเครื่องมืออะไรที่ต้องใช้ ซึ่งสุดท้ายแล้วเราต้องการเป็นบริษัทที่ให้บริการครบวงจร มีคุณภาพ และเป็น Happy Maker จริงๆ โดยให้ภายนอกมองเราเป็นบริษัทที่ใส่ใจลูกค้าเพราะต้องการให้เขามีความสุข”
ภาพ: PRI
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วสกร โมรากุล ปั้นสูตรต่างเสิร์ฟเมนู PETPAL



