ธุรกิจโรงแรมท่องเที่ยวคึกคัก เพียง 2 เดือนเศษนักท่องเที่ยวเข้าไทยทะลุ 7 ล้านคน โรงแรมฟื้นตัวชัด กลุ่มใบหยกก็เช่นกัน รายได้แตะ 1.4 พันล้านบาท นอกจากนี้ ทายาทใบหยกยังมีธุรกิจที่ต้องการสานฝันควบคู่ไปด้วย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ทศวรรษที่ ปิยะเลิศ ใบหยก ทายาทรุ่นที่ 3 ของกลุ่มโรงแรมใบหยกได้เข้ามาช่วยงานและบริหารธุรกิจ ตั้งแต่อายุ 25 จนถึง 43 ปีในปัจจุบัน เขาเผยกับทีมงาน Forbes Thailand ว่า ยังไม่เคยได้ทำตามความฝันหรือสิ่งที่เป็นแพสชั่นของตนเองเลย เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบได้ทุ่มเทให้กับงานบริหารธุรกิจโรงแรมใบหยกของครอบครัว กระทั่งไม่มีเวลาได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ
ปิยะเลิศซึ่งปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ภูมิภวัน จำกัด เจ้าของกลุ่มโรงแรมใบหยกมีความชื่นชอบรถยนต์ตั้งแต่เด็ก เป็นคนชอบขับรถแต่ไม่ได้เป็นนักสะสมรถ เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถไปเรื่อยๆ ตามความชื่นชอบ กระทั่งซูเปอร์คาร์ก็ซื้อมาขับหมุนเปลี่ยนไปแล้วหลายรุ่น และหากวันไหนไม่ทำงานก็พร้อมที่จะขับรถออกไปเที่ยวตลอดเวลาแม้จะต้องไปเพียงลำพังก็ตาม เรื่องรถจึงถือเป็นแพสชั่นที่มีมาโดยตลอด
เขาเพิ่งได้มีโอกาสทำธุรกิจในฝันเมื่อวัย 43 ปี หลังจากที่ผ่านมาได้ใช้เงินจำนวนมากกับการซื้อรถยนต์จึงมีความคิดที่จะสร้างรายได้จากสิ่งที่ชื่นชอบในรูปแบบของการทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ ไอเดียของปิยะเลิศคือ การทำร้าน car community จุดศูนย์รวมผู้ชื่นชอบรถยนต์หลากหลายรุ่น หลากหลายรูปแบบ ซึ่งมีต้นแบบธุรกิจมาจากประเทศญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ Top Secret ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยโมเดลธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นจะเป็นรูปแบบร้านแต่งรถ เปลี่ยนยาง เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และซ่อมบำรุงต่างๆ ที่ไม่ใช่มีแค่การให้บริการด้านรถยนต์ แต่มากกว่านั้นคือ มีร้านจำหน่ายสินค้าเกี่ยวข้องกับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ เช่น เสื้อผ้ารวมอยู่ด้วยกัน

“เรื่องรถเป็น passion ของเราที่อยากจะมีมันอาจจะไม่ได้ทำกำไรมาก แต่ผมหาอะไรทำให้คนที่ชอบรถแต่ไม่มีตังค์ซื้อรถแพงๆ ได้สัมผัส” เขายังเล่าด้วยว่า ครั้งหนึ่งเคยทำโมเดลรถขายคันละ 600-700 บาท แป๊บเดียวก็ขายหมดเพราะพ่อแม่ซื้อให้ลูกไปวางหัวเตียงและส่งรูปมาให้ดูแค่นี้ก็ทำให้เขาใจฟู เพราะตอนเป็นเด็กเขาก็เป็นแบบนั้น วิ่งตามรถที่ชอบ “ส่วนธุรกิจโรงแรมคุณพ่อคงเปิดเรื่อยๆ อยู่แล้ว ร้านอาหารผมก็คงขยายต่อไป เพราะท้ายสุดหากร้านอาหารมี 400 สาขา โรงแรมมีเป็น 10 แห่ง ผมไม่ต้องฝันแล้ว”
รับไม้ต่ออาณาจักรโรงแรม
ปิยะเลิศเล่าย้อนอดีตว่า ได้เริ่มเข้ามาศึกษางานโรงแรมตั้งแต่อายุได้ 10 กว่าปี ช่วงเรียนอยู่ชั้น ม.2 หรือ ม.3 ได้มีโอกาสใส่สูทมานั่งอยู่หลังห้องประชุม ทำให้ตอนอายุ 15 ปีก็มีความเข้าใจศัพท์ในวงการธุรกิจโรงแรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น occupancy, room rate พอได้เข้ามาทำธุรกิจโรงแรมอย่างจริงจังจึงไม่ต้องเริ่มต้นใหม่สำหรับการทำความเข้าใจเนื้อหาและรายละเอียดต่างๆ โดยเขาได้เข้ามาช่วยธุรกิจโรงแรมตั้งแต่อายุได้ประมาณ 25 ปี หรือเมื่อ 18-19 ปีที่แล้ว
หลังเรียนจบจากประเทศอังกฤษ ปิยะเลิศได้รับผิดชอบบริหารงานโรงแรมใบหยก ประตูน้ำ ช่วงแรกได้รับมอบหมายให้ทำการรีโนเวตโรงแรมเพราะสภาพค่อนข้างเก่า ได้รับเงินทุนจากบิดามา 3 ล้านบาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยสำหรับการรีโนเวตโรงแรม 200 ห้อง จึงต้องแบ่งโซนในการดำเนินงานและใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปีจึงรีโนเวตเป็นที่เรียบร้อย
“ช่วงนั้นผมอิจฉาเพื่อนที่พ่อเขาให้เงินทุนกว่า 30 ล้านบาทในการทำธุรกิจ ซึ่งคุณพ่อเขาไม่ใช่ไม่ให้เงินทุนนะ แต่ต้องการให้ผมใช้เงินเป็น ทุกวันนี้คุณพ่ออายุ 70 ปีแล้วแต่ยังแข็งแรงมาก ยังทำงานอยู่” ปิยะเลิศเล่าว่าบิดาของเขาเข้าประชุมและสั่งงานด้วยตนเอง เดินทางไปซื้อของมาใช้ในธุรกิจด้วยตนเอง สนุกกับการซื้อของและซื้อของได้ถูกมาก “คุณพ่อเก่งมากเรื่องการซื้อของ การต่อรองราคา รวมถึงในเรื่องทำเลก็เก่งมาก สามารถมองทำเลได้ขาด”

ปิยะเลิศเผยว่า การขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรมของกลุ่มใบหยกในปีนี้ยังคงมีอย่างต่อเนื่องเพราะบริษัทมีที่ดินสะสมอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ โดยล่าสุดเตรียมเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ “Queensland Hotel” บนถนนศรีอยุธยา ใกล้โรงพยาบาลพญาไท 1 เป็นโรงแรมสูง 20 ชั้น จำนวน 300 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางปีนี้
นอกจากนี้ ยังมีที่อยู่ระหว่างการออกแบบและขอใบอนุญาตโรงแรมอีก 1 แห่งขนาด 80 ห้อง บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ในย่านสี่พระยา ซึ่งโรงแรมของกลุ่มใบหยกจะอยู่ในกลุ่มโรงแรมระดับ 3-4 ดาว เป็นแบรนด์ของตัวเองไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารงานของเชนโรงแรมใหญ่
นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว ปิยะเลิศยังเป็นซีอีโอธุรกิจอาหารภายใต้ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (FAB) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันของ 3 บริษัท โดยตัว F มาจาก FOOD FACTORS บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ตามด้วย A จาก AQUA หรือ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และตัว B ที่ย่อมาจาก เบียร์-ปิยะเลิศ ใบหยก ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์ร้านอาหารภายใต้การบริหารกว่า 6 แบรนด์ รวมสาขากว่า 250 แห่ง
อินฟลูเอนเซอร์แถวหน้า
แม้ว่าปิยะเลิศจะมีงานล้นมือจนแทบไม่มีเวลาไปเดินตามฝัน แต่ปัจจุบันนี้เขาเพิ่มหมวกจากซีอีโอบริหารงานทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและกลุ่มร้านอาหารก้าวไปบนโลกดิจิทัลด้วยหมวกใบใหม่ในการเป็นอินฟลูเอนเซอร์บนโลกโซเชียล
ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม YouTube ที่มีผู้ติดตามกว่า 9.55 แสนคน หรือแพลตฟอร์ม TikTok กับผู้ติดตามกว่า 6.18 แสนคน มากกว่าจำนวนผู้ติดตามคือ จำนวนผู้กดไลก์รวมกว่า 22.9 ล้านไลก์ จึงเรียกได้ว่าปิยะเลิศไม่ได้เข้าสู่โลกโซเชียลมีเดียเล่นๆ แต่ทำอย่างจริงจังจนปัจจุบันกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์แถวหน้า มีแบรนด์สินค้าต่างๆ มากมายติดต่อให้ไปรีวิวสินค้า โดยเฉพาะแบรนด์รถยนต์ค่ายใหญ่ที่หากจะนึกถึงอินฟลูเอนเซอร์ด้านรถยนต์เขาก็ต้องนึกถึงปิยะเลิศด้วยเช่นกัน

การก้าวเข้ามาสู่การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของปิยะเลิศเริ่มต้นในช่วงเวลาที่กรุงเทพฯ เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนักจนภาครัฐต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์ให้ประชาชนอยู่แต่ภายในบ้าน ช่วงเวลานั้นเขาต้องการสื่อสารให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรู้ว่าห้องอาหารใบหยกมีบริการเดลิเวอรี่แล้วนะ ประกอบกับเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารคอหมูย่างเจ๊แดงก็ต้องมาพบกับสถานการณ์ล็อกดาวน์ ลูกค้าไม่สามารถออกมานั่งกินอาหารภายในร้านได้จึงต้องเปิดให้บริการเดลิเวอรี่เช่นเดียวกัน นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของร้านคอหมูย่างเจ๊แดงในการสร้างแบรนด์และสร้างยอดขาย เพราะอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่ปิยะเลิศใส่คอนเทนต์เข้าไปทำให้ร้านอาหารได้รับการตอบรับดีเกินคาด มีไรเดอร์มานั่งรอรับอาหารมากถึง 200 คนต่อวัน
“ช่วงแรกทำเล่นๆ ไม่มีอะไรทำในช่วงโควิด-19 ทำไปทำมามีคนมาร่วมทำคอนเทนต์ด้วย พอทำร้านอาหารก็เลยดังไว ตอนนั้นจะขายเจ๊แดงแต่เขาล็อกดาวน์พอดีเลยต้องขายเดลิเวอรี่ ซึ่งออร์เดอร์เยอะมากจนทำไม่ทัน เพราะมีสาขาเดียว แถมยังเป็นแค่ร้านเล็กๆ”
ปัจจุบันการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของผู้บริหารระดับซีอีโอถือเป็นเรื่องปกติ เพราะสามารถเชื่อมโยงแบรนด์สินค้าหรือธุรกิจของบริษัทผสานไปกับเนื้อหาของคอนเทนต์ได้ ซึ่งปิยะเลิศเล่าว่า ภาพลักษณ์ของผู้บริหารปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเคร่งขรึม เป็นคนตลกเหมือนใน TikTok ก็ได้
เรื่อง: กมลพร นิยมศิลป์
ภาพ: ใบหยก
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เมธินี จงสฤษดิ์หวัง ภารกิจท้าทาย “ดีลอยท์ ประเทศไทย”
