ศาสตร์การยืดอายุขัยควบคู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีปลุกกระแส Wellness & Longevity เปิดทางให้ธุรกิจที่สามารถสร้างแต้มต่อจากความแตกต่างในการผสมผสานออนเซ็นร่วมกับสปาครบวงจรแห่งแรกในประเทศ แบรนด์ Yunomori พร้อมยกระดับการนวดไทยโบราณ KLAI เดินหน้าลงทุนโปรเจกต์ Social Wellness Hotel & Spa
การผสมผสานวัฒนธรรมการแช่บ่อน้ำแร่ร้อนออนเซ็นแบบดั้งเดิมจากแดนอาทิตย์อุทัยกับบริการสปาด้วยการนวดแผนไทยที่มีเอกลักษณ์เริ่มต้นธุรกิจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม หรือ holistic wellness ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพของโลกภายในปี 2569 โดยกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาบริการส่งเสริมสุขภาพและส่งเสริมการ เป็นศูนย์กลางสปาระดับโลก ด้วยการยกระดับมาตรฐานธุรกิจสปาไทยและสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในระดับสากล
“ผมเรียนอเมริกาตั้งแต่ 10 ขวบ จากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้กลายเป็นเริ่มอ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้จนถูกส่งกลับมา เข้าเรียนเมืองไทยอายุ 15-16 ปี โดยช่วงเข้ามหาวิทยาลัยผมเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และเป็นเซลล์ขายเว็บไซต์ประมาณ 1 ปี ก่อนจะเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ หลังจากกลับมาก็มีเพื่อนชวนไปทำงานเอเจนซี่โฆษณาที่ Grey และเปลี่ยนงานเป็น Brand Manager ของ Dunhill ซึ่งช่วยให้เข้าใจในฝั่งของลูกค้าและเติมมุมมองธุรกิจได้ complete ขึ้น โดยเราอยู่ประมาณ 4-5 ปีก็มีคนชวนมาทำ Quint-essentially บริษัทอังกฤษที่มีออฟฟิศทั่วโลกเป็น luxury concierge service เช่น member ไทยอยากได้ตั๋วบอลแมตช์นี้ที่อังกฤษ เราก็ติดต่อออฟฟิศอังกฤษช่วยหาตั๋วให้ หรืออยากได้โทรศัพท์รุ่นใหม่คนแรกของไทย”
สมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ONSENS กล่าวถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาหลังสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท International Business จาก University of Surrey อังกฤษ โดยเริ่มต้นทำงานที่บริษัท เกรย์ เวิร์ลด์ไวด์ ในสายการตลาด การสื่อสาร และสร้างกลยุทธ์ให้แบรนด์ระดับโลก เช่น Nokia, Pedigree, Dunhill รวมถึงร่วมงานกับบริษัท บริติช อเมริกัน โทแบคโค ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดและพัฒนาสินค้าของ Dunhill ซึ่งมีส่วนร่วมวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดช่วยให้บริษัทเติบโตยิ่งขึ้น
ก่อนจะได้รับคำชักชวนจาก บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้นั่งเก้าอี้ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ควินเทสเซนเชียลลี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งให้บริการอำนวยความสะดวกและช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ ตามความต้องการของสมาชิกในประเทศและต่างประเทศ จนกระทั่งตัดสินใจเริ่มต้นเส้นทางการสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยการลงทุนร่วมกับเชฟดวงพร ทรงวิศวะ และเชฟ Dylan Jones เปิดร้านอาหารใบลานรังสรรค์อาหารไทยสไตล์ไฟน์ไดนิ่ง (fine dining ระดับมิชลินสตาร์ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านรสชาติไทยแท้ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและแนวคิดความยั่งยืน)
“สมัยนั้นเรารู้สึกติดอยู่ในใจมาตลอดว่าทำไมเมืองไทยไม่มีร้านอาหารไทยที่สามารถพาแขก high-end ต่างชาติไป สัมผัสอาหารรสชาติไทยแท้จริงๆ จนได้รู้จักกับเซฟโบที่ย้ายกลับมาเมืองไทยพร้อมสามี เชฟ Dylan Jones เพราะต้องการให้ร้านอาหารไทยที่ดีที่สุดอยู่ในประเทศไทย เราฟังแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจออกมาร่วมลงทุนเปิดร้านโบ.ลาน ซึ่งประสบความสำเร็จมากจนคุยกันเรื่องเปิดสาขาที่ญี่ปุ่น โดยมีคนพูดถึงออนเซ็นขึ้นมาว่าหนึ่งในเหตุผลที่คนญี่ปุ่นอายุยืนเพราะแช่ออนเซ็นทุกวัน ซึ่งช่วงนั้น expat ญี่ปุ่นมีจำนวนมาก แต่เราสังเกตว่าไม่มีออนเซ็นในไทยเลย และสปาส่วนใหญ่หน้าตาเหมือนกันหมด ทำให้เราสนใจศึกษาการนำออนเซ็นผสมกับศาสตร์การนวดในราคาที่เข้าถึงได้ สร้างความแตกต่างเป็นโอกาสทางธุรกิจ”
ค้นเอกลักษณ์สร้างความต่าง
ความสำเร็จในการเสิร์ฟอาหารไทยที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์สร้างความมั่นใจให้สมิทธิ์เดินหน้าบุกเบิกธุรกิจออนเซ็น สไตล์ญี่ปุ่นร่วมกับบริการสปาครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทย โดยพัฒนาการแช่ออนเซ็นของญี่ปุ่นให้มากกว่าการแช่บ่อน้ำร้อนตามสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ สู่การให้บริการในรูปแบบการแข่บ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการสปา ร้านอาหาร พื้นที่พักผ่อน พื้นที่ทำกิจกรรม ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการส่งเสริมและสืบทอดภูมิปัญญาการนวดไทย และนำเสนอในรูปแบบสากล
“เราเริ่มมั่นใจหลังจากเปิดร้านโบ.ลาน สำเร็จ และรู้สึกว่าตรงนี้เป็นช่องว่างที่มีโอกาสจริงๆ แม้จะไม่มีประสบการณ์และใช้เงินลงทุนมากกว่า แต่การเป็น first mover ในธุรกิจที่มี barrier to entry สูงกว่าคู่แข่งจะตามมาต้องใช้เวลา ซึ่งเราอาจจะก้าวไปอีกขั้นแล้ว อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นธุรกิจไม่ง่าย เราทำตั้งแต่งานก่อสร้างและการวางระบบ โดยให้บริษัทที่ปรึกษาด้านออนเซ็นของญี่ปุ่นช่วยวางระบบร่วมกับผู้ออกแบบไทย รวมถึงบริษัทในเครือของ Mitsubishi ช่วยประสานงานกับบริษัทที่ปรึกษาต่างๆ ให้โปรเจกต์นี้เกิดได้ ซึ่งช่วงแรกเรายัง operate แบบไม่มีประสบการณ์ พนักงานน้อย เราทำทุกอย่างเองตั้งแต่เปิดร้าน 7 โมงเช้า กลับเที่ยงคืน ประมาณ 1 ปี เหนื่อยมากแต่ก็ทำให้รู้ปัญหาหน้างาน ระบบ และสามารถปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”

ทันทีที่ยูโนะโมริ ออนเซ็น แอนด์ สปา (Yunomori Onsen & Spa) เปิดตัววันแรกในปี 2555 ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี จากความแตกต่างทางธุรกิจและศักยภาพของทำเลที่มีผู้อยู่อาศัยชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก รวมถึงบ่อออนเซ็นให้บริการที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบ่อยู่ในะโมริ ซิกเนเจอร์ บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ บ่อน้ำวน บ่อซิลค์บาธ บ่อบับเบิ้ลบาธ บ่อน้ำเย็นพร้อมคุณสมบัติด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน เช่น การสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย การบรรเทา อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ การกระตุ้นการ ทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตการบำรุงผิว การปรับสมดุลร่างกาย เป็นต้น
นอกจากนั้น ยูโนะโมริยังให้บริการสปาในรูปแบบเดย์สปา (day spa) ซึ่งมีทรีตเมนต์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยเทคนิคการนวดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ และทรีตเมนต์เสริมความงาม เช่น การนวด สครับผิว การบำรุงผิวกระจ่างใส การนวดยก กระชับผิวหน้า เพื่อให้บริการกลุ่มเป้าหมายที่มีไลฟ์สไตล์ใส่ใจสุขภาพและให้ความสำคัญ กับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมครอบคลุมคนไทยและต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย (expat) รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งยุโรปและเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

“ช่วงนั้นมีแต่คำถามว่า ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนทำไมทำออนเซ็น แต่จากข้อมูล ในฤดูร้อนของญี่ปุ่นคนไม่ได้ไปออนเซ็นน้อยลง เพราะคนไปออนเซ็นไม่ใช่เพื่อคลายหนาว แต่ไปเพื่อผ่อนคลาย โดย onsen model เขาจะใช้เวลาอยู่นานแค่ไหนก็ได้ไม่จำกัด ซึ่งน่าจะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่คนเมืองมองหาอยู่ และเทรนด์ความนิยม well-ness รวมถึงบริบทของสปาที่เปลี่ยนเป็นสถานที่ดูแลสุขภาพและ longevity ทำให้คอนเซ็ปต์การขยายธุรกิจมีความเป็นไปได้ทุกประเทศ โดยสิงคโปร์เป็นประเทศที่เราไปบ่อยและมองเห็นโอกาสจากตลาดสปา คล้ายกับไทยในช่วงแรกคือหน้าตาเหมือนกัน และมีช่องว่างที่เราสามารถสร้างความแตกต่างได้ โดยพื้นฐานเราทำการตลาดมาก่อน เรามองว่าความแตกต่างสำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเรายังได้เจอพาร์ตเนอร์เป็นคนญี่ปุ่นอยู่ที่สิงคโปร์ 20 ปี ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่ดี เข้าใจตลาด และมีฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง”
สมิทธิ์กล่าวถึงการขยายธุรกิจในต่างประเทศด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มนักธุรกิจสิงคโปร์จัดตั้งบริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นร่วมกับสปาครบวงจรแห่งแรกในสิงคโปร์ในปี 2557 พร้อมทั้งขยายสาขายูโนะโมริ ออนเซ็น แอนด์ สปา ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรวมจำนวนสาขาในประเทศ 3 สาขา ได้แก่ สาขา สุขุมวิท 26, สาขาสาทร 10, สาขาพัทยา และสาขาต่างประเทศที่สิงคโปร์ 1 สาขา
ขณะเดียวกันยังเดินหน้าต่อยอดธุรกิจการให้บริการเติมเต็มความต้องการและเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตทางรายได้ ได้แก่ ธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม Happy Rice ในสาขาของยูโนะโมริทุกสาขาในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชุดยูกาตะ ผ้าพันคอแก้วกาแฟ ซึ่งออกแบบร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียง (collaboration) เช่น น้องมะม่วง, Greenie & Elfie

นอกจากนั้น สมิทธิ์ยังพัฒนารูปแบบการให้บริการสปาที่หลากหลายมากขึ้นด้วยการเปิดแบรนด์ “คลาย สปา” (KLAI Spa หรือ KLAI) สาขาแรกที่ย่านเยาวราชในปี 2567 โดยเน้นการผสมผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมของการนวดไทย ปรับรูปแบบการนำเสนอให้มีความทันสมัยแต่ยังคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างครบถ้วน พร้อมพัฒนาท่านวดร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อส่งเสริมและสืบทอดภูมิปัญญาการนวดไทย ซึ่งเป็นศาสตร์การฟื้นฟูสุขภาพที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน และสื่อสารเอกลักษณ์ความเป็นไทยสู่ระดับสากล
“การสร้างแบรนด์ KLAI เป็น inspiration ในใจของเราเหมือนกับร้านอาหารไทยว่าขณะที่เราควรเป็น spa destination ของภูมิภาค แต่ทำไมเราไม่มีที่ให้ showcase เรื่องการนวดไทยของเรา และทำไมชื่อร้านสปาต้องเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่ไม่ได้โชว์ความเป็นไทยในนั้น ทั้งที่เราต้องการโปรโมตให้เป็น soft power ของเรา ทำไมเราไม่ทำตรงนี้ขึ้นมา ซึ่งเราเห็นช่องว่าง การนำศาสตร์นวดไทยและแพทย์แผนไทยมาเล่าใหม่ให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้อย่าง การนำสมุนไพรท้องถิ่นที่มีมากมายมาใช้ รวมถึงเราเพิ่มแบรนด์ PAK Massage หรืออาจจะเรียกว่าร้านสะดวกนวด เพราะเน้นเรื่องความสะดวก เข้าถึงง่าย ราคาไม่แพง จองง่าย และสามารถเลือกทรีตเมนต์ไม่นาน 15-30 นาทีก็ได้ เพื่อจับกลุ่ม mass ในทำเล traffic สูงอย่างซูเปอร์มาร์เก็ต”
ปักหมุด Social Wellness Space
โอกาสสร้างการเติบโตทางธุรกิจสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดสุขภาพและเวลเนสทั่วโลก ซึ่งสถาบัน Global Well-ness Institute หรือ GWI คาดการณ์มูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 6.32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 8.99 ล้านล้านเหรียญ โดยครอบคลุมหลายสาขา เช่น ธุรกิจอาหาร เพื่อสุขภาพ ธุรกิจด้านการออกกำลังกาย ธุรกิจนวดและสปา ธุรกิจเสริมความงาม ธุรกิจที่เกี่ยวกับเวชศาสตร์ป้องกัน และธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness tourism)
สำหรับอุตสาหกรรมสปาในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากข้อมูลของ MarketLine คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ย 9.4% ต่อปี (CAGR ปี 2566-2571F) โดยจะส่งผลให้มูลค่าตลาดสปาในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 9.71 หมื่นล้านบาทในปี 2571 ซึ่งปัจจัยสนับสนุน เช่น กระแสการดูแล สุขภาพ ความต้องการประสบการณ์ที่แตกต่าง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลประยุกต์ใช้กับการให้บริการสปารายได้เพิ่มขึ้น การขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

“ตั้งแต่แรกถึงปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของเราเป็นคนไทยและ expat รวมกันประมาณ 65-70% ส่วนที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยว เช่น จีน ได้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งส่วนหนึ่งที่เรารอดจากวิกฤตต่างๆ อย่างโควิด-19 กลับมาได้เร็ว เพราะเราไม่ได้พึ่งพิงต่างประเทศ โดยการทำตลาดของเราเน้นการ collaboration แบรนด์ต่างๆ การโฟกัสกลุ่มคนในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ เพราะเราต้องการคนที่เข้ามาใช้บริการประจำ และบาลานซ์กลุ่มลูกค้าให้หลากหลายเพื่อสร้างภูมิต้านทานทางเศรษฐกิจ”
ขณะที่สมิทธิ์วางกลยุทธ์การดำเนิน ธุรกิจ 4 ด้าน ได้แก่ People Develop-ment ยกระดับมาตรฐานและคุณภาพการบริการของบุคลากร Brand Strategy สร้างเอกลักษณ์แบรนด์ผ่านการตลาดเชิงสร้างสรรค์ Tech Integration การประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการให้บริการ และ Business Expansion การขยายสาขาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต่อยอดธุรกิจโรงแรมด้วยการร่วมทุนกับ บริษัท พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงแรมเป็นเวลาเป็นเวลานาน เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาด wellness & spa ครบวงจร นอกจากการเพิ่มแบรนด์ PAK Massage โดยวางแผนเปิดสาขาแรกช่วงปลายปีนี้เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

“การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำหรับโปรเจกต์ใหญ่ของเราที่ทองหล่อซึ่งเราตั้งใจให้เป็น flagship ของกลุ่ม ONSENS และต้องการให้เป็น Social Well-ness Space ของกรุงเทพฯ โดยพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ครึ่ง มี 2 อาคาร แบ่งเป็นโรงแรม 79 ห้อง และอาคารออนเซ็นที่มีทั้งออนเซ็น wellness ร้านค้าเกี่ยวกับ well-ness และ F&B เพิ่มความน่าสนใจเชิง ไลฟ์สไตล์ในโครงการด้วย ซึ่งเหตุผลที่เราเพิ่มโรงแรมเข้ามาเพราะตลอดเวลา 13 ปีที่ทำมาเราจะเห็นกลุ่มลูกค้าลากกระเป๋ามาใช้บริการรอ check-in หรือ check-out แล้วรอ fight กลับ ทำให้เราเห็นโอกาสจับมือพาร์ตเนอร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารโรงแรม รวมถึงเราวางแผนขยายสาขาในอีก 3 ปีข้างหน้า 7 สาขาคือYunomori 1 สาขาที่ทองหล่อ และ KLAI รวมกับ PAK Massage 7 สาขา”
สมิทธิ์กล่าวถึงแผนลงทุนโครงการ Social Wellness Hotel & Spa ทองหล่อ ประกอบด้วยพื้นที่ให้บริการออนเซ็นและสปา พื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับให้เข่าร้านค้า (retail) และโรงแรมมีห้องพักจำนวน 79 ห้อง พร้อมร้านอาหาร ฟิตเนส และสระว่ายน้ำให้บริการ เพื่อตอบโจทย์กระแสการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ Social Wellness Space ที่ผู้คนต่างมองหาพื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีในทุกมิติทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก
“ธุรกิจมีคู่แข่งเป็นเรื่องปกติ แต่โมเดลหรือรูปแบบการขายแตกต่างกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สาขาใหม่ของเราต้องก้าวนำคนอื่น และต้องมีสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น โดยจุดแข็งหลักของเราคือเรื่อง customer mix ความแข็งแกร่งของ แบรนด์ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนในประเทศ เพราะเรามี Identity ชัดทั้ง Yunomori และ KLAI เรื่อง experience ที่ได้รับระบบ engineering เราลองผิดลองถูกทำเองซึ่งอาจจะยากสำหรับคู่แข่งใหม่ รวมถึงการบริหารบุคลากรของเรา โดยเราทำการตลาดมาก่อน การ integrate แบรนด์ดิ้งเข้าไปใน operation เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าต้องการเติบโตและส่งมอบบริการที่ดีพนักงานต้องเข้าใจแบรนด์ เพราะเขาเปรียบเหมือน ambassador ของแบรนด์ การตัดสินใจกลับมาของลูกค้าส่วนหนึ่งเกิดจากพนักงาน”
CEO วัย 46 ปี ย้ำความสำคัญของทีมงาน และปรัชญาบริการที่ยึดมั่นในแนวทาง "Omotenashi" ซึ่งพนักงานทุกคนให้บริการด้วยหัวใจและใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมส่งมอบบริการเหนือความคาดหมาย โดยพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมด้านเทคนิค และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์แห่งความผ่อนคลายที่เปี่ยมไปด้วยความประทับใจในทุกครั้งที่มาใช้บริการ
“เราเติบโตจากการลงมือทำด้วยตัวเอง และต้องรู้จริงเราจึงสนับสนุนให้ทุกคนกล้าลองผิดลองถูก ไม่ตีกรอบ และเต็มที่กับพนักงานทั้งสวัสดิการ รายได้ การสร้าง ความมั่นคงให้กับอาชีพเขา เพราะคนเป็นหัวใจสำคัญในการส่งมอบบริการ เราต้องได้ใจจากเขาและเขาต้องมั่นคงกับเรา ซึ่งเราเน้นย้ำปรัชญาบริการ Omotenashi เป็น DNA ของเราในการดูแลลูกค้า โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเหมือนเราเป็นเจ้าของบ้าน ดูแลคนมาเที่ยวบ้านเต็มที่ซึ่งเป้าหมายของเราต้องการขยายสาขาให้คนได้มาสัมผัสประสบการณ์การบริการของเรามากขึ้น และการเติบโตในระดับโลก ด้วยการชูเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างการนวดไทย และสปาครบวงจรแบบ Yunomori”
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อโรชา กิตติวิทยากุล เติมเสน่ห์แสงสี L&E


