Nancy Whiteman ปั้น Wana Brands ยักษ์ใหญ่วงการของกินผสมกัญชา

<h2>กระแสของกัญชากลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากที่มีแนวโน้มว่าโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่จะมีพรรคภูมิใจไทยรวมอยู่ในสมการนั้นด้วย หลังจากที่ชะงักไปบ้างเมื่อครั้งการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่ใน MOU ระบุจะนำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษโดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา ซึ่งเท่ากับว่านโยบายกัญชาเสรี ของรัฐบาลชุดที่แล้วซึ่งผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทยมีแนวโน้มว่าจะได้ไปต่อ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า นโยบายการเปิดเสรีกัญชามีทั้งคุณและโทษ หลายเรื่องยังเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในสังคมไทย โดยเฉพาะประเด็นทางด้านสังคมและระบบสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปลดล็อกกัญชาโดยไม่มีการควบคุมและยังไม่มีมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/vGwFaLUeyoQTgqA6BpRd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="vGwFaLUeyoQTgqA6BpRd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1024,768" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่หากพิจารณาในด้านเศรษฐกิจแล้ว กัญชาเป็นพืชที่สามารถทำรายได้ได้จริง จากข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งมีการประเมินมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ณ ปี 2565 นับตั้งแต่ต้นน้ำถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ มีมูลค่ารวมถึงกว่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นน้ำมูลค่า 9,615 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์กลางน้ำ 14,690 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ 3,750 ล้านบาท แบ่งเป็น ยารักษาโรคและอาหารเสริม มูลค่า 1,500 ล้านบาท อาหารและเครื่องดื่ม 1,200 ล้านบาท เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล 800 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่มและของใช้ส่วนตัว 250 ล้านบาท และยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้า จะโตได้ 10-15% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 42,800 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และจากการเก็บรวบรวมข้อมูลในสังคมออนไลน์โดยใช้เครื่องมือ DXT360 ของ บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ที่มีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม-8 สิงหาคม 2566 พบว่ามีการพูดถึงทั้งหมด 902 ข้อความ และได้รับการมีส่วนร่วม หรือ Engagement ถึง 12,358 ครั้ง ซึ่งเห็นได้ว่าผู้คนบนสังคมออนไลน์ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกัญชา-กัญชงไม่น้อย และถ้าดูจากสัดส่วนการโพสต์ลงบนโซเชียล แยกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้&nbsp; &nbsp; &nbsp; · ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย มีการโพสต์ขายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศและต่างประเทศ ที่ใช้ส่วนประกอบอย่างเส้นใยของกัญชามาช่วยปรับปรุงคุณภาพของสินค้าให้มีความแข็งแรงขึ้น โดยพบว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีสัดส่วนการโพสต์บนโลกออนไลน์มากที่สุดคิดเป็น 57.43%&nbsp; &nbsp; &nbsp; · ผลิตภัณฑ์ยา/การแพทย์ มีการโพสต์ส่วนใหญ่เป็นการใช้สารสกัดจากน้ำมันกัญชามาใช้เป็นส่วนประกอบของยาเพื่อการรักษาต่าง ๆ เช่น ประกอบการรักษาในผู้ป่วยโรคมะเร็ง รักษาอาการปวดท้อง และรักษาอาการปวดเรื้อรัง เป็นต้น โดยสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีถึง 27.05%&nbsp; &nbsp; &nbsp; · ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีการโพสต์ขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและการทำความสะอาดโดยใช้ส่วนประกอบเป็นสารสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สบู่ และยาสระผม เป็นต้น ซึ่งสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีมากที่สุดคิดเป็น 8.43%&nbsp; &nbsp; &nbsp; · ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม พบว่ามีการนำกัญชามาเป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นขนม ผงเครื่องดื่ม และเครื่องดื่มบรรจุขวด ซึ่งส่วนผสมที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นสารสกัดน้ำมันกัญชาและใบกัญชา โดยสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีมากที่สุดคิดเป็น 6.54%&nbsp; &nbsp; &nbsp; · ผลิตภัณฑ์อื่นๆ นอกจากผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ข้างต้น พบว่ามีการโพสต์ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 0.55% เช่น สินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง คือ อิฐ และ เฮมป์พาร์ทิเคิลบอร์ด หรือแผ่นกั้นผนังห้อง เป็นต้น ซึ่งในอนาคตอาจมีแนวโน้มว่าจะมีการนำสารสกัดจากกัญชาและกัญชงมาใช้แปรรูปหรือพัฒนาเป็นสินค้าหรือนวัตกรรมที่มีความหลากหลายในด้านของรูปแบบสินค้าและประเภทของสินค้ามากขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/9ipYtcX8vCmw32Fg4gDq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="9ipYtcX8vCmw32Fg4gDq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1024,768" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เมื่อดูความคิดเห็นบนโซเชียล พบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลพบว่าผู้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์จะมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อผลิตภัณฑ์ยา/การแพทย์ โดยมีการพูดถึงในเรื่องของการยอมรับการใช้กัญชามาประกอบการรักษามากขึ้นด้วย โดยเฉพาะการรักษาหรือบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง ถึงแม้ในความเป็นจริงจะยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์รองรับว่าสามารถรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่หากมองในมุมของผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและเครื่องดื่มพบว่า ผู้คนบนโซเชียลได้มีการแสดงความคิดเห็นที่สื่อถึงความกังวลและความคิดเห็นไปในทิศทางเชิงลบ โดยเฉพาะความกังวลในเรื่องการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสารสกัดจากกัญชา-กัญชง ที่อาจได้รับเกินปริมาณที่กำหนดจนทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ หรือนำไปสู่การเสพติดไปจนถึงทำให้เกิดการเสียชีวิตได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กล่าวได้ว่า นับแต่มีการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2565 และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่น่าจะมีพรรคภูมิใจไทยเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล การใช้กัญชาจึงยังคงอยู่ในสถานะที่ถูกเปิดช่องให้ใช้ได้อย่างเสรี โดยไม่ได้ถูกจำกัดเพียงการใช้ทางการแพทย์ ไปจนกว่าจะมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมการเข้าถึงและการใช้อย่างเหมาะสม เรื่องของกัญชาจึงได้กลายเป็นวาระในการถกเถียงของคนทุกระดับในสังคมไทย <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/1mnYaSRwYV59WgBrLAqR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="1mnYaSRwYV59WgBrLAqR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1024,768" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/europe/world/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5" alt="เรือพาณิชย์ไฮโดรเจน ปฏิวัติน่านน้ำสากล">เรือพาณิชย์ไฮโดรเจน ปฏิวัติน่านน้ำสากล</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

ส่องเทรนด์ธุรกิจ "กัญชา-กัญชง" บนสื่อโซเชียล

 New S-Curve ด้วยอาณาจักรกัญชา

<h2>TWZ ผนึกความร่วมมือเซ็นเอ็มโอยู “เถ้าแก่น้อย” (TKN) เป็นพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจ แบ่งหน้าที่ระหว่างจัดหา จัดจำหน่ายวัตถุดิบ ขณะที่ TKN ผลิตและหาช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชงกัญชา ชูความได้เปรียบทั้งปริมาณและราคาวัตถุดิบ</h2>
พุทธชาติ รังคสิริ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ เปิดเผยว่า "หลังจาก TWZ ได้ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มรักจังฟาร์มวังน้ำเขียว จัดตั้งบริษัท กัญช์ยารักษ์ จำกัด โดย TWZ จะเข้าถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ 51

เพื่อดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชงและกัญชาของรักจังฟาร์มวังน้ำเขียว ซึ่งปัจจุบันมีผลผลิตและต้นกัญชาที่ปลูกอยู่ในส่วนของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จำนวน 1,890 ต้น และส่วนขององค์การเภสัชกรรม รอการปลูกภายในไตรมาสที่ 2 อีกประมาณ 1,200-2,000 ต้น

ล่าสุด บริษัทฯ ได้เจรจาและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กับ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ในการเป็นผู้จัดหาและจัดจำหน่ายวัตถุดิบกัญชงและหรือกัญชาให้กับ TKN และ TKN จะทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตและจัดหาช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามที่ได้รับความเห็นชอบร่วมกัน

ประธานกรรมการ TWZ กล่าวด้วยว่า TWZ และ TKN ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการดำเนินการพัฒนาสูตร ผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารหรือประเภทอื่นๆ ตามที่ตกลงร่วมกัน ซึ่งจะมีส่วนผสมของพืชกัญชงและหรือกัญชา โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาที่เกี่ยวกับความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะพิจารณาและเจรจาในเงื่อนไขต่างๆ และอาจจะลงนามในสัญญาเพิ่มเติมต่อไป

ดังนั้น ในขณะนี้จึงถือเป็นเฟสแรกของความร่วมมือ และ TKN ถือเป็นพันธมิตรรายแรกของ TWZ นับตั้งแต่บริษัทฯ ประกาศเดินหน้าขยายไปสู่ธุรกิจกัญชงและกัญชา ตามที่ได้แสดงเจตนารมณ์ในการประกาศหาพันธมิตรในธุรกิจต่างๆ ไว้ก่อนหน้านี้ โดยหลังจากนี้ TWZ จะเดินหน้าเจรจากับกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคในกลุ่มต่างๆ หรือที่เรียกว่า กลุ่มปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มอาหารกลุ่มสแน็ค กลุ่มสุขภาพและความงาม

“เรามั่นใจว่า ความร่วมมือกับ TKN ในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะ TKN เป็นผู้ผลิตอาหารในกลุ่มสแน็คชั้นนำที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมสูงมาก ขณะที่ TWZ และกลุ่มวิสาหกิจรักจังฟาร์ม มีความพร้อมเรื่องวัตถุดิบ โดยเฉพาะการที่ บริษัท กัญช์ยารักษ์ ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity)

ในการได้สิทธิหรือสัมปทานในการซื้อวัตถุดิบที่ผลิตได้จากฟาร์ม รวมถึงผลผลิตที่จะผลิตได้ในอนาคต ในราคาส่วนลดไม่น้อยกว่า 20% ของราคาตลาด ทำให้เรามีความได้เปรียบทั้งปริมาณและราคาวัตถุดิบ ความร่วมมือในครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดธุรกิจใหม่ของ TWZ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พุทธชาติ กล่าว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/edl-gen-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%A3.html">EDL-Gen หาพันธมิตรลุยธุรกิจโรงไฟฟ้าลาว</a>

&nbsp;

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

TWZ เซ็นเอ็มโอยู “เถ้าแก่น้อย” จัดหาวัตถุดิบกัญชงกัญชาพัฒนาสูตรอาหาร

<h2>เอ็มเอฟซี แนะโอกาสลงทุน ธุรกิจกัญชา คาดอีก 4 ปี มูลค่าพุ่งกว่าหนึ่งแสนล้านเหรียญฯ​ ทั่วโลก ระบุหลายประเทศเร่งผลักดันกัญชาถูกกฎหมาย นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ แนวโน้มเติบโตร้อยละ 33 ต่อปี ผู้เชี่ยวชาญเตือนความเสี่ยงด้านกฎหมาย และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์</h2>
<figure><img class="wp-image-44395 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/ชาญวุฒิ-รุ่งแสงมนูญ-.jpg" alt="" width="600" height="374" /><figcaption> ดร.ชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ  FRM ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ได้จัดงานสัมมนา “กัญชา โอกาสการลงทุนที่มีอนาคต” ดร.ชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ  FRM ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มทบทวนกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา และอนุญาตให้กัญชาถูกกฎหมายเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทำให้ ธุรกิจกัญชา มีโอกาสเติบโตสูง

คาดการณ์แนวโน้มตลาดกัญชา-กัญชง ทั่วโลกจะเติบโตร้อยละ 33 ภายในปี 2025 หรืออีก 4 ปีข้างหน้าและมีมูลค่ากว่าหนึ่งแสนล้านเหรียญฯ​ จากปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญฯ

“ปัจจุบันมีถึง 37 ประเทศที่อนุญาตให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งจำนวนนี้รวมถึงประเทศไทยด้วย ขณะที่ยังมีธุรกิจกัญชาที่ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ากัญชาถูกกฎหมาย 13-15 เท่า เพราะฉะนั้นโอกาสการลงทุนในธุรกิจกัญชามีแนวโน้มเติบโตสูงมาก” ดร.ชาญวุฒิ กล่าว

ก่อนหน้านี้ บลจ.เอ็มเอฟซี ได้ประกาศเปิดตัวและให้จองซื้อกองทุนเปิด MFC Global Cannabis Fund (เอ็มเอฟซี โกลบอล แคนนาบิส) หรือ ‘MCANN’ ในช่วง IPO 19 - 27 เมษายน 2564 ถือเป็นกองทุนกัญชากองแรกของประเทศไทย ที่ทางบลจ.จัดตั้งขึ้นเพื่อการเข้าไปลงทุนในตราสารทุน หน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศ

มีนโยบายลงทุนในธุรกิจเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางกัญชา (Marijuana) หรือกัญชง (Hemp) ที่ถูกกฎหมาย เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับการวิจัยกัญชาทางการแพทย์ ทั้งด้านพัฒนายา (Pharmaceutical) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) เช่น Global X Cannabis ETF(POTX) เป็นต้น โดยร้อยละ 97 จะเป็นการลงทุนธุรกิจกัญชาในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ

ดร.ชาญวุฒิ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนธุรกิจกัญชาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์เป็นหลัก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง โดยในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมามี ราคากัญชาอยู่ที่ประมาณ 4 แสนบาทต่อกิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มราคาจะลดลงเฉลี่ยที่ 15 บาทต่อกรัมต่อปี เนื่องจากมีการผลิตมากขึ้น และมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น แต่การทำในระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ไม่ง่าย และยังมีโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้หลากหลาย จึงยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง

ด้าน รินรดา นรากรพิจิตร์ นักวิเคราะห์ฝ่ายตราสารทุนในประเทศ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า สำหรับในประเทศไทย ธุรกิจกัญชง กัญชาได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจนี้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

สิ่งสำคัญนักลงทุนต้องพิจารณาแผนธุรกิจของบริษัทต่างๆ ว่าการขยายธุรกิจกัญชง กัญชาสร้างรายได้และกำไรให้บริษัทนั้นๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญหรือ และพิจารณาราคาหุ้นประกอบว่าแพงเกินไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับรายได้และกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

รศ.ดร. วิเชียร กีรตินิจกาล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกและปรับปรุงพันธุ์พืช คณะเกษตรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ปรึกษาองค์การเภสัชด้านกัญชาทางการแพทย์ กล่าวว่า ธุรกิจกัญชาในหลายประเทศยังมีความผันผวน ซึ่งเกิดจากข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบต่างๆ ที่ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งเรื่องการเมือง

แต่จากแนวโน้มที่หลายประเทศเห็นความสำคัญและทยอยปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมาย ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับกัญชามีความน่าสนใจ เพราะมีงานวิจัยจากกัญชาจำนวนมาก ที่สามารถนำมาพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ และในแง่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ไม่ง่ายนัก และลงทุนสูง โอกาสที่จะเกิดคู่แข่งมีไม่มากนัก

สำหรับประเทศไทย ได้เริ่มนำผลิตภัณฑ์จากกัญชามาใช้ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคลมชัก พาร์กินสัน รวมถึงการใช้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีผลด้านการรักษาโรค ขณะเดียวกันกัญชายังมีผลข้างเคียง ที่ทำให้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ซึ่งในอนาคตยังมีโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชาได้อีกมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแพทย์

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/sabina-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA-2.html">SABINA จับสัญญาณยอดขายไตรมาส 2</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โอกาสลงทุน "ธุรกิจกัญชา" มูลค่าพุ่งแสนล้านเหรียญฯ ใน 4 ปี

<h2>‘บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป’ หรือ THG ลงนามเอ็มโอยูกับ ‘วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ’ ร่วมมือยกระดับมาตรฐานการพัฒนาและผลิตสกัดกัญชง กัญชา เพื่อใช้ทางการแพทย์ ครอบคลุมต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ</h2>
- THG โครงการจัดตั้งโรงสกัดสารจากกัญชาที่มีมาตรฐานในระดับการแพทย์ (Medical Grade) คาดมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
- ศูนย์วิจัยยาเสพติด วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ ดำเนินงานตั้งแต่ปี 2515 
- ป.ป.ส. เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทุนในโครงการ ‘ศูนย์วิจัยยาเสพติด’

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า จากวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานกัญชงและกัญชาในประเทศไทยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการนำไปใช้ในทางการแพทย์ ที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ที่ดี เพาะปลูก การสกัดสารสำคัญ การนำสารสกัดไปใช้เพื่อการผลิตเวชภัณฑ์ยาที่ได้มาตรฐาน

ล่าสุด THG  จึงได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) กับศูนย์วิจัยยาเสพติด วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสนับสนุนการเพาะปลูก วิจัย สกัด และตรวจวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพระดับ Medical Grade สามารถนำไปใช้ทางการแพทย์และจำหน่ายเชิงพาณิชย์ และยังส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาด้านการศึกษาพืชกัญชงและกัญชาเพิ่มมากขึ้น

<img class="alignnone wp-image-43807 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/THG_005.jpg" alt="THG" width="600" height="400" />

โดยบริษัทฯ พร้อมสนับสนุนด้านการจัดหาเทคโนโลยีในการจัดตั้งโรงสกัดสารจากกัญชาที่มีมาตรฐานในระดับการแพทย์ (Medical Grade) สามารถสกัดสารสำคัญต่างๆ อย่างมีคุณภาพและมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ตลอดจนการตรวจสอบคุณภาพ ตรวจสอบระดับสารสำคัญต่างๆ ตรวจสอบสารปนเปื้อน เพื่อนำไปสู่การออกใบรับรองมาตรฐานระดับ Medical Grade นอกจากนี้จะสนับสนุนการจัดหาเทคโนโลยีด้านการผสมสารสกัดจากพืชกัญชง กัญชาและการพัฒนาเวชภัณฑ์ยาเพื่อใช้ทางการแพทย์ รวมถึงดูแลด้านการตลาด และการจัดจำหน่าย

“ในระยะแรกเรามุ่งไปที่การสนับสนุนด้านการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยสนับสนุนการปลูก และการจัดตั้งโรงสกัดสารจากกัญชาที่ได้มาตรฐาน จากนั้นจะเป็นการขยายการปลูก และกำลังการผลิต คาดว่าโครงการนี้จะมีมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท โดยอาจมีพันธมิตรร่วมกันลงทุน โดยเชื่อว่าความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์กับการแพทย์ไทย ที่จะเปิดโอกาสให้คนได้เข้าถึงทางเลือกในการรักษาโรค โดยมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนภาควิชาการ เพิ่มขีดความสามารถการวิจัย ส่งเสริมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” นายแพทย์บุญ กล่าว

<img class="alignnone wp-image-43806 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/THG_004.jpg" alt="THG" width="600" height="400" />

ศาสตราจารย์ ดร.สถิรกร พงศ์พานิช คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า  ‘ศูนย์วิจัยยาเสพติด’ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ (Drug Dependence Research Center (DDRC) เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2515 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลา 49 ปี โดยองค์การอนามัยโลกได้แต่งตั้งให้เป็น WHO Collaborating Centre for Research and Training in Drug Dependence (WHOCC) แห่งเดียวในประเทศไทย

‘ศูนย์วิจัยยาเสพติด’ มีวิสัยทัศน์เป็นองค์กรชั้นนำในการศึกษาวิจัย การสร้างนวัตกรรม และการเชื่อมโยงข้อมูล/องค์ความรู้ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับสากล ด้านปัญหายาเสพติดรวมถึงผลเกี่ยวเนื่อง และผลกระทบด้านสุขภาพที่สำคัญ ‘ศูนย์วิจัยยาเสพติด’ ได้ขยายการดำเนินงานไป ณ โครงการพัฒนาที่ดินจุฬาฯ – สระบุรี ภายใต้โครงการวิจัยกัญชา: เชิงสังคมและเชิงวิทยาศาสตร์และแนวทางกฎหมายตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศ สนับสนุนทุนโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) จึงเป็นที่มาของการวิจัยกัญชาเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การเพาะปลูกแบบชีวภาพ รวมทั้งการสร้างระบบ วิธีการ ติดตามควบคุมกัญชา

สำหรับการวิจัยและพัฒนากัญชาของศูนย์วิจัยยาเสพติด วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ ในช่วงที่ผ่านมา เริ่มต้นตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
มีสารสกัดในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบการควบคุมดูแลที่ดี ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การเตรียมดินและปุ๋ยชีวภาพ เพาะปลูกในอุณหภูมิและระดับความชื้นที่เหมาะสม การพัฒนาสายพันธุ์และเมล็ดพันธุ์ การสกัดสารที่สำคัญต่างๆ และการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

<img class="alignnone wp-image-43805 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/THG_003.jpg" alt="THG" width="600" height="400" />

ศาสตราจารย์ ดร. จิตรลดา อารีย์สันติชัย รองคณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยาเสพติด กล่าวว่า ศูนย์วิจัยยาเสพติดแห่งนี้ ในระยะแรกประสบความสำเร็จในการปลูกแบบชีวภาพ ควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการปลูกกัญชา การพัฒนาสายพันธุ์กัญชา ที่สามารถเพาะปลูกกลางแจ้ง (Outdoor) ภายใต้สภาพภูมิอากาศร้อนชื้น ตลอดจนได้ทดลองเพาะปลูกกัญชาในรูปแบบต่างๆ ทั้งการเพาะปลูกในพื้นที่ในร่ม (Indoor) และเพาะปลูกในโรงเรือน (Greenhouse) ตลอดถึงการศึกษาปรับปรุงสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกรูปแบบต่างๆ และวิธีการจัดเก็บสารสกัดที่สำคัญต่างๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ มุ่งสู่เมดิคัลเกรด เพื่อประโยชน์สูงสุดทางการแพย์

“เรายินดีที่ THG เข้ามาร่วมมือและให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการผลิต สกัดกัญชงและกัญชารวมถึงกระท่อมและพืชเสพติดอื่น เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในระดับพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งต่อยอดสู่การจัดตั้งโรงสกัด การจัดตั้งห้องแล็บเพื่อเป็นศูนย์ทดสอบ การจัดหาเทคโนโลยีด้านการปรุงและการผลิต รวมถึงการจัดจำหน่าย เพื่อดำเนินการอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ” ศาสตราจารย์ ดร.จิตรลดา กล่าว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/hr/ais-academy-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7-learndi-%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%99-%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84.html">AIS Academy เปิดตัว “LearnDi” พัฒนาคน องค์กร ให้แข็งแกร่ง</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘THG’ จับมือ ‘ศูนย์วิจัยยาเสพติด วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ’ ยกระดับกัญชง กัญชา

<h2 class="p1">Clement Kwan และ Scott Campbell แห่ง Beboe กำลังล่องลอยกับเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ พวกเขาออกแบบผลิตภัณฑ์ "กัญชา" ให้มีความหรูหราเพื่อดึงดูดลูกค้าสตรี</h2>
บนชั้น 5 ของ Barneys ใน Beverly Hills ผ่านราวรองเท้าแตะลายสก็อตราคา 390 เหรียญสหรัฐฯ ของ Burberry และรองเท้าผ้าใบลายหมุดราคา 1,995 เหรียญ ของ Christian Louboutin เข้าไป จะเห็นร้านค้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งตั้งอยู่ภายในร้านอีกแห่งหนึ่งอีกที ร้านแห่งนี้มีชื่อว่า High End และน่าจะเพิ่งเป็นร้านขายเครื่อง "กัญชา" ที่มีสีสันที่สุดในโลก
ผลิตภัณฑ์กัญชาวางเรียงรายบนแผ่นที่ทำมาจากผงหินอ่อนกับคริสตัลควอตซ์ทักทายผู้มาเยือน ทั้งหมดนี้คือผลงานของ Beboe แบรนด์กัญชาหรูที่เปิดตัวเมื่อ 2 ปีก่อน มีทั้งกัญชาแบบม้วนสำเร็จบรรจุกล่องละ 7 มวน ราคา 60 เหรียญ ลูกอมกัญชา Sativa กล่องละ 25 เหรียญ และกัญชา THC บรรจุในปากกา Barneys สีดำเงิน รุ่นลิมิเต็ด สำหรับสูบกันจนลอยได้ 120 ครั้ง ในราคาที่ลอยได้เช่นกันที่ 60 เหรียญ ร้านค้าแห่งนี้ยังมีมาสก์หน้า และเซรั่ม CBD บรรจุขวดสำหรับคนที่ไม่อยากเมากัญชาด้วย
“สินค้าของเราทั้งหมดเป็นสินค้าสำหรับงานเลี้ยงสังสรรค์มื้อค่ำหรืองานค็อกเทล และยังช่วยให้สร่างได้” Clement Kwan กล่าว เขาคืออดีตผู้บริหาร Dolce &amp; Gabbana ซึ่งได้ก่อตั้ง Beboe ขึ้นมาร่วมกับ Scott Campbell
กัญชา เริ่มกลายเป็นของถูกกฎหมายหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา โดยมี 11 รัฐ ที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการนันทนาการได้ ขณะที่อีก 22 อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น
ในที่สุดก็กลายเป็นธุรกิจที่แตกกิ่งก้านสาขาได้ เหมือนกับที่ผู้สนับสนุนกัญชาเล็งเห็นมานานแล้ว ในปีที่ผ่านมาธุรกิจกัญชาถูกกฎหมายมียอดขายกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ สร้างงานราว 2.5 แสนตำแหน่ง งานวิจัยบางชิ้นประเมินว่า ตัวเลขยอดขายอาจทะยานแตะ 2.6 หมื่นล้านเหรียญในอีก 6 ปีข้างหน้า


<figure><img class="wp-image-27230 " src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/PRODUCT-cannabis.jpg" alt="" width="480" height="375" /><figcaption> ลูกอมของ Beboe มีกัญชา THC เพียง 5 มิลลิกรัม และ CBD 3 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีผลต่อสภาพจิตใจและไม่ก่อให้เกิดอาการเคลิ้มเมามากนัก</figcaption></figure>
ขณะที่ธุรกิจของ Beboe ขยายตัว ผู้เล่นรายใหญ่กว่าในอุตสาหกรรมต่างก็เฝ้าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Green Thumb Industries (GTI) ซึ่งเป็นบริษัทกัญชาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มีมูลค่าตามราคาตลาด 2 พันล้านเหรียญ
ในปี 2019 GTI เข้าซื้อ Beboe และทำสัญญาซื้อขายด้วยหุ้นกันไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 โดยไม่มีการเปิดเผยเงื่อนไขข้อตกลงของสัญญา แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมประเมินว่า ราคาซื้อขายน่าจะอยู่ที่ราว 80 ล้านเหรียญ กับรายได้หลักไม่กี่ล้านเหรียญต่อปี ปัจจุบันสินค้าของ Beboe วางจำหน่ายอยู่ในร้านค้า 125 แห่งใน California และ Colorado แต่ด้วยจุดแข็งของ GTI ทำให้แบรนด์เตรียมขยายตัวไปยังรัฐอื่นๆ ในปีนี้ด้วย
ที่แน่ๆ คือ ธุรกิจกัญชาอันหรูหราใช่ว่าจะสร้างความมั่งคั่งมหาศาลได้เสมอไป เนื่องจากยังมีเค้าลางการแทรกแซงจากทางการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การบริหารยุคปัจจุบัน
แต่ Campbell กับ Kwan ไม่คิดว่าอุตสาหกรรมนี้จะล้มได้ หลังจากที่ได้หุ้นใน GTI มาแล้ว พวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะเดินหน้าทำสิ่งที่ถนัดที่สุดต่อไป พร้อมกับที่กัญชากำลังเป็นสิ่งถูกกฎหมายมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับของสังคมมากขึ้นด้วย
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/world/bill-boyd-%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b9%82%e0%b8%99%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a2%e0%b8%b6%e0%b8%94%e0%b8%a1%e0%b8%b1.html">Bill Boyd เจ้าพ่อกาสิโนผู้ยึดมั่นในความย่อมเยา</a></li>
</ul>
&nbsp;

เรื่อง: Zack O’Malley Greenburg เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม

<hr />

<a href="https://bit.ly/39j1ZrV">คลิกอ่านฉบับเต็ม ธุรกิจใหม่ใน Beverly Hills ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับมกราคม 2563 ได้รูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-25422" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/FB080-EBOOK-RES150_Page_001.jpg" alt="" width="300" height="393" />

ธุรกิจใหม่ใน Beverly Hills

ในวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 8 พฤศจิกายน (สหรัฐฯ) ที่กำลังจะมาถึงนอกจากการใช้สิทธิ์เลือกประธานาธิบดี สมาชิกสภา และ สมาชิกสภาสูงแล้วนั้น บัตรเลือกตั้งในรัฐต่างๆ ได้สอดแทรกหัวข้อประชามติในเรื่องที่ไม่ใช่การเลือกผู้แทนและในบรรดาหัวข้อต่างๆ หัวข้อที่ได้สร้างสีสันในการลงคะแนนครั้งนี้คือ การทำกัญชาให้ถูกกฎหมาย มีหลากหลายมลรัฐรัฐ 35 แห่งอเมริกาที่สอดแทรกหัวข้อการลงประชามติลงในบัตรเลือกตั้ง สำหรับประเด็นการทำกัญชาให้ถูกกฎหมายจะดูเป็นเรื่องจริงจังแต่มหาเศรษฐีจาก Forbes 400 บางคนจริงจังกว่าเพื่อต้านประเด็นกัญชาถูกกฎหมาย มาดูกันว่าใครไม่ด้วย 2 ประเด็นนี้

Carol Jenkins Barnett
(1.7 พันล้านเหรียญ)
มอบเงิน 800,000 เหรียญสนับสนุน Drug Free Florida เมื่อเดือนกรกฎาคมสำหรับ Drug Free Florida คณะคัดค้านการทำกัญชาให้ถูกกฎหมาย

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/31f43855ad92f31c42ddef745525fbc0.png" alt="" />
Sheldon Adelson
(3.18 หมื่นล้านเหรียญ)
บริจาคเงิน 1 ล้านเหรียญให้กับกลุ่มเดียวกันนี้เมื่อเดือนกันยายน (“ผมเสียลูกชายจากการแต่งงานครั้งแรกเพราะเขาเสพยาเกินขนาด โดยเริ่มจากกัญชานี่ล่ะ” Adelson กล่าวไว้เมื่อปี 2014)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8b86a46ea9f1d5e9a9c4ec7e96792512.png" alt="" />
Sean Parker
(2.4 พันล้านเหรียญ)

บริจาคเงิน 7.8 ล้านเหรียญในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อสนับสนุนโครงการ Proposition 64 ใน California อันมีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้การใช้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจเป็นเรื่องถูกกฎหมาย

ปืน
ปืนเป็นอีกประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างร้อนแรงมาโดยตลอด เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f6de5dc5c09d309d06b7dfe2d5a441cb.png" alt="" />
Mark Cuban
(3.2 พันล้านเหรียญ)
อาศัย Twitter แสดงความคิดเห็นที่ขัดใจคนส่วนใหญ่ “Trump ขาดความเคารพในรัฐธรรมนูญ ประการแรก เขาหันปลายกระบอกปืนของชาวมุสลิมมาทางนี้ จากนั้นเขากลับปลดอาวุธสหรัฐฯ ในขณะที่ linton เคารพในรัฐธรรมนูญ”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events