<h2>หมู่เกาะ Hawaii เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก หรือหลายคนอาจได้ยินว่าเป็นเกาะสวรรค์ แต่พื้นที่บนเกาะเหล่านี้อยู่ภายใต้การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของคนเพียง 37 คน ซึ่งล้วนเป็นเศรษฐีพันล้าน คิดเป็น 11% ของทรัพย์สินส่วนบุคคลทั่วทั้งรัฐ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Oprah Winfrey ช้อนซื้อพื้นที่ 850 เอเคอร์บนเกาะ Maui ปีที่แล้วในราคา 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มเติมจาก 1,280 เอเคอร์ที่เธอเป็นเจ้าของอยู่แล้วบนเกาะนี้ ที่ดินของเธออยู่ห่างจากชายฝั่ง (โดยส่วนใหญ่อยู่ติดกัน) ครอบคลุมเนินเขาเขียวขจีไปจนถึงป่าอนุรักษ์บนเนินภูเขาไฟ Haleakala มีวัวเล็มหญ้าอยู่บนที่ดินซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีการพัฒนาเพราะเธอพยายามจะอนุรักษ์ไว้ “ดูเหมือนสกอตแลนด์ที่อากาศดีมากๆ” Bob Greene ครูสอนฟิตเนสของเธอที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทรัพย์สินกล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Winfrey ซึ่งมาพักอยู่ใน Hawaii ประมาณ 4 เดือนต่อปีซื้อฟาร์มปศุสัตว์บนเกาะ Maui เป็นอย่างแรกเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ดินของเธอไม่ได้รับความเสียหายตอนที่ไฟป่าโหมกระหน่ำเกาะนี้เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งเผาทำลายพื้นที่ 6,625 เอเคอร์และคร่าชีวิตผู้คนไป 100 ราย หลังจากเกิดเหตุเธอได้แจกหมอน ผ้าอ้อม และอุปกรณ์อื่นๆ ให้แก่ ผู้รอดชีวิต และได้จัดตั้งกองทุนประชาชนแห่ง Maui (People’s Fund of Maui) ร่วมกับ Dwayne Johnson หรือ “The Rock” โดย Winfrey ได้บริจาคเงินส่วนตัว 10 ล้านเหรียญเพื่อแสดงความมุ่งมั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของอสังหาริมทรัพย์หรูในช่วงโควิดทำให้ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูงขึ้นอีก และเพิ่มความตึงเครียดระหว่างชาวฮาวายและเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นคนนอกรัฐ แม้ว่า Winfrey จะพยายามให้ความช่วยเหลือหลังเกิดเพลิงไหม้แต่ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่บันทึกภาพขณะทำการกุศลและการเรี่ยไรเงินจากสาธารณชนซึ่งเธอบอกว่า การโจมตีดังกล่าวกำลังเบี่ยงเบนความสนใจของคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกาะ ส่วนคนอื่นๆ ตั้งคำถามถึงเงินบริจาค 100 ล้านเหรียญที่ Jeff Bezos และ Lauren Sanchez พาร์ตเนอร์ของเขาสัญญาว่าจะให้ ซึ่งเขาเองก็มีที่ดินขนาด 14 เอเคอร์ห่างจากไฟป่าไปทางใต้ 12 ไมล์ โฆษกบอกกับ Forbes ว่า Bezos บริจาคเงินไปแล้ว 15.5 ล้านเหรียญให้องค์กรการกุศล 9 แห่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คนที่รวยที่สุดของอเมริกาซื้อที่ดินใน Hawaii มาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าที่ดินที่พวกเขาครอบครองมีมากขนาดไหน และเพื่อหาความกระจ่างเรื่องนี้ Forbes ใช้เวลาหลายเดือนค้นทะเบียนที่ดินนับพันรายการบน 6 เกาะที่ใหญ่ที่สุดของ Hawaii สิ่งที่พบนั้นน่าตกใจมาก เศรษฐีพันล้านแค่ 37 คนเป็นเจ้าของที่ดินอย่างน้อย 218,000 เอเคอร์ ซึ่งเท่ากับ 5.3% ของที่ดินของรัฐ และ 11.1% ของที่ดินที่ไม่ใช่ของรัฐ อันที่จริงน่าจะสูงกว่านี้ด้วยเมื่อดูจากความพยายามของเศรษฐีพันล้านเหล่านี้ในการปกปิดสิ่งที่ตนครอบครอง พูดง่ายๆ ก็คือ 37 คนนี้คิดเป็น 0.003% ของประชากรทั้งหมด 1.4 ล้านคนของ Hawaii แต่เป็นเจ้าของที่ดินมากกว่า 10%<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/wuV2EzHeTiuLLeAPPr5x.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wuV2EzHeTiuLLeAPPr5x.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เศรษฐีพันล้านบางคนมีความผูกพันกับชุมชนมายาวนาน อย่าง Marc Benioff ซีอีโอของบริษัท Salesforce ที่มาเยือน Hawaii ครั้งแรกในปี 1974 เขาได้บริจาคเงิน 100 ล้านเหรียญให้กิจกรรมต่างๆ ทั่วรัฐกว่า 20 ปีที่ผ่านมาและเมื่อเดือนธันวาคมเขากับภรรยาของเขา Lynne ได้บริจาคที่ดิน 282 เอเคอร์เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง “ผมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่แน่นแฟ้นกับ Hawaii” Benioff ผู้ซึ่งพยายามนำแนวคิดโอฮาน่า (ohana) ที่แปลว่า ครอบครัวของชาวฮาวายมาปรับใช้ในวัฒนธรรมองค์กรที่ Salesforce บอก “ผมเข้าใจผู้คนและจิตวิญญาณของ Hawaii อย่างลึกซึ้ง พวกเราเรียกมันว่า ‘จิตวิญญาณอโลฮ่า’”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนคนอื่นๆ ดูจะกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวมากกว่า เช่น Mark Zuckerberg ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta มีรายงานว่าเขากำลังสร้างหลุมหลบภัยในอาณาเขตของตัวเองซึ่งมีกำแพงล้อมรอบบางส่วน ส่วน Rob Kildow นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่บอกว่าเคยขี่จักรยานกับ Ken Griffin เศรษฐีพันล้านแห่ง Citadel จำได้ว่าเศรษฐีพันล้านรายหนึ่งที่ปลีกวิเวกอยู่ที่ Hualalai Resort บอกเขาว่า “คนที่นี่ครึ่งหนึ่งไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ส่วนอีกครึ่งไม่สนใจผมด้วยซ้ำ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Wayne Tanaka ผู้อำนวยการ Sierra Club of Hawaii องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อมพยายามมองในแง่ดี “หากประชากรเศรษฐีพวกนี้เอาชนะความอยากอยู่คนเดียวได้ และเริ่มพูดคุยกับผู้คนรอบตัว นั่นอาจจะช่วยเปิดประตูให้พวกเขาตอบแทนรัฐนี้ได้มากกว่า” ในระหว่างนี้เขายอมรับว่า “Hawaii กำลังกลายเป็นสนามเด็กเล่นของคนรวยมากขึ้นเรื่อยๆ” เรื่อง PHOEBE LIU และ MONICA HUNTER-HART เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพประกอบ: JASON RAISH เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/richest-families-in-america-2024" alt="10 อันดับตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา">10 อันดับตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา</a>​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/cff663cb-f69a-4970-8286-59647d2b2c12" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="320,420" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"></figure></div>

ใครเป็นเจ้าของหมู่เกาะ Hawaii กัน ?

<h2 class="p2">รัฐบาลจีน ออกประกาศเตือนประชาชนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่สหรัฐอเมริกา ว่าอาจเผชิญกับ “การถูกคุกคาม” จากกฎบังคับต่างๆ ของสหรัฐฯ และการก่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นการเปิดฉากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศอีกครั้ง</h2>
โดยกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว รัฐบาลจีน ระบุว่า สหรัฐอเมริกามีเหตุการณ์ก่ออาชญากรรมด้วยปืน, มีการปล้น และขโมยบ่อยครั้ง ซึ่งนักท่องเที่ยวควร “ประเมินความเสี่ยง” ต่อการเดินทางไปสหรัฐฯ นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศจีน ระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนยังอาจต้องเผชิญกับการถูกสอบสวนและสัมภาษณ์จากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ของสหรัฐฯ อีกด้วย โดยประกาศเตือนจากทั้ง 2 หน่วยงาน มีผลไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคมนี้
ทั้งนี้ ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังประธานาธิบดี Donald Trump มีนโยบายเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มขึ้น 25% ซึ่งทำให้จีนตอบโต้กลับด้วยการเรียกเก็บภาษีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ของจีน มีกำหนดการพบปะกันในการประชุมซัมมิต G20 ที่ประเทศญี่ปุ่นในเดือนนี้ โดยจะเป็นการประชุมเพื่อถกหาทางออกของสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งดูเหมือนว่าประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ ใกล้ได้ข้อตกลงกัน หลังเมื่อเดือนที่ผ่านมา Trump ทวีตข้อความว่า ประเทศจีนได้พยายามเจรจาข้อตกลงกันใหม่

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AF.html">จับตาปัจจัยการลงทุนผ่านสงครามการค้า จีน-สหรัฐฯ</a></li>
</ul>
สำหรับการประกาศเตือนนักท่องเที่ยวจีนนั้น เกิดขึ้นหลังเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีน ออกคำแนะนำให้นักศึกษาพิจารณาถึงความเสี่ยงในการไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ โดย Xu Yongji เจ้าพนักงานกระทรวงศึกษาธิการจีน กล่าวว่า การบริหารของ Trump และนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เข้ามา “มีบทบาททางการเมืองต่อการศึกษาและกิจกรรมบางอย่างระหว่างจีนและสหรัฐฯ”


<figure><img class="size-full wp-image-8494" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/chinese-tourists.jpg" alt="" width="750" height="500" /><figcaption> ภาพจาก Reuters</figcaption></figure>
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมามีนักศึกษาจีนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอเมริกา 350,000 คน ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของนักศึกษาจีนที่ไปศึกษาต่างประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังแสดงความกังวลต่อการขอวีซ่านักศึกษาที่อาจยากขึ้น โดยอ้างข้อมูลจากปีที่ผ่านมา มีนักศึกษาทุนรัฐบาลจีนถูกปฏิเสธวีซ่าไป 3.2% แต่ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ มีนักศึกษาจีนถูกปฏิเสธวีซ่าไปแล้ว 13.5% 
ด้านสถานทูตจีนในสหรัฐฯ ได้แจ้งเตือนประชาชนว่า ในสัปดาห์นี้รัฐบาลอเมริกาเริ่มขอให้ผู้ที่ยื่นขอวีซ่า ส่งบัญชีโซเชียลมีเดียของแต่ละคนมาด้วย โดยสถานทูตเตือนว่า หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ มักปฏิเสธวีซ่าของนักท่องเที่ยวที่พวกเขาสงสัยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเข้าประเทศนั้นแตกต่างจากชนิดวีซ่าที่ขอ
ขณะที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติสหรัฐ รายงานว่า จำนวนชาวจีนที่เดินทางจากประเทศจีนไปสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านมา ลดลง 5.7% ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสหรัฐฯ จากนักท่องเที่ยวชาวจีน มูลค่า 6 หมื่นล้านเหรียญได้
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.washingtonpost.com/world/2019/06/04/china-warns-against-traveling-us-citing-shootings-robberies-theft/?utm_term=.671640e4c247">China warns against traveling to the U.S., citing ‘shootings, robberies and theft’</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events