<h2>​กรุงศรี คอนซูมเมอร์เผยมีโปรแกรมผ่อนดอก 0% กว่า 90% โดยมักผ่อนหมวดหลักคือ ‘อิเล็กทรอนิกส์-สุขภาพความงาม-ทองคำแท่ง’ ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรปี 68 ยังโต 10% แม้ 2 เดือนแรกยังโตแค่ 4% แต่เชื่อว่าไตรมาส 4 จะเติบโตขึ้นตามฤดูลกาล กลยุทธ์หลักปีนี้จะเร่งขยายสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น หลังจาก 5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนสินเชื่อกลุ่มนี้ลดลงกว่า 10% ส่วนหนี้เสียปีนี้คาดว่ายังทรงตัว โดยยังใช้เกณฑ์เดิมในการอนุมัติบัตรฯ</h2><div> </div>&nbsp; &nbsp; &nbsp;นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์&nbsp;กล่าวว่า ปัจจุบันการผ่อนชำระสินค้ายังเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งแม้จะไม่ได้เกิดจากความต้องการผ่อนชำระสินค้า แต่ ถ้ามีทางเลือกที่จะผ่อน ได้เครดิตเงินคืน หรือ ส่วนลดเพิ่ม คนก็อยากจะผ่อนมากกว่า ซึ่งจะช่วยให้คนบริหารค่าใช้จ่ายหรือเพิ่มศักยภาพในการซื้อของให้มากขึ้น ปัจจุบันในแผนผ่อนของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ สัดส่วนกว่า 90% เป็นการผ่อนดอกเบี้ย 0% เพราะมีทั้งแบรนด์ทำ Subsidize หรือมีการทำโปรร่วมกับแบรนด์ ซึ่งมีสัดส่วนแผนผ่อนที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ถึง 10%&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ ประเภทสินค้าที่คนไทยนิยมผ่อนสูงได้แก่ มือถือ ไอที อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ท่องเที่ยว ทองคำ สุขภาพความงาม ฯลฯ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;ขณะที่ภาพรวมการชำระหนี้สัดส่วนกว่า 70% ยังเป็นกลุ่มชำระเต็มจำนวน และมีราว 30% ที่เป็นการผ่อนชำระบางส่วน โดยจากช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา สัดส่วนนี้ยังทรงตัวในระดับเดิม และคาดว่าทั้งปีจะทรงตัวเช่นกัน โดยกลุ่มที่ผ่อนชำระยังคงเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยมีสัดส่วนมากกว่ากลุ่มอื่น&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;ส่วนธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในปีนี้ มองว่าไม่ได้ง่ายนัก แม้จะมีโครงการ Easy E-Receipt ที่ส่งผลดี กระตุ้นให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น 14% ในช่วง 31 วันแรก แต่ในช่วง 2 เดือนแรก ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร ปี 2568 เติบโตเพียง 4% อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทยังคงเป้าหมายยอดใช้จ่ายผ่านบัตรปีนี้ที่ 431,000 ล้านบาท จะเติบโตที่ระดับ 10% เพราะคาดว่าไตรมาส 4 ซึ่งมักมียอดใช้จ่ายสูงสุดในแต่ละปี จะเป็นปัจจัยหนุนได้&nbsp; &nbsp; &nbsp;“ในระยะยาวคาดว่า ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อยังต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวช้า อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในระดับสูง แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้และหนี้เสียที่แม้จะทรงตัว แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง รวมถึงมาตรการควบคุมจากภาครัฐ เป็นผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จะยังคงมุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ”&nbsp;นายอธิศ กล่าว&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/99oifSk3ym7CiRNQk6q2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="99oifSk3ym7CiRNQk6q2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; &nbsp;กลยุทธ์หลักปีนี้จะเร่งขยายสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น หลังจาก 5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนสินเชื่อกลุ่มนี้ลดลงกว่า 10% ส่วนหนี้เสียปีนี้คาดว่ายังทรงตัว โดย NPL ของตลาดปัจจุบันอยู่ที่ราว 2%&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 652,500 บัญชี โต 10% ยอดสินเชื่อใหม่ 108,800 ล้านบาท ขยายตัว 14% และยอดสินเชื่อคงค้าง 158,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ขยายระบบนิเวศพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. สร้างเสริมนวัตกรรมทางการชำระเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. ผสานความร่วมมือในเครือกรุงศรีเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ ผลประกอบการในปี 2567 ที่ผ่านมาของ มียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 594,000 บัญชี เติบโต 6%, ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 392,500 ล้านบาท เติบโต 8%, ยอดสินเชื่อใหม่ 95,500 ล้านบาท เติบโต 4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดสินเชื่อคงค้าง 146,200 ล้านบาท&nbsp;&nbsp; &nbsp; สำหรับยอดผ่อนชำระสูงสุดเรียงตามยอดใช้จ่าย 5 อันดับแรกของปี 2567 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ไอที&nbsp; &nbsp; 2. ประกันภัย&nbsp; &nbsp; 3. โทรศัพท์มือถือ&nbsp; &nbsp; 4. ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน&nbsp; &nbsp; 5. ช้อปออนไลน์&nbsp; &nbsp; ส่วนยอดผ่อนชำระที่มีอัตราเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรกของปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 ได้แก่&nbsp; &nbsp; 1. ตัวแทนท่องเที่ยว (+61%)&nbsp; &nbsp; 2. ช้อปออนไลน์ (+29%)&nbsp; &nbsp; 3. ไลฟ์สไตล์ (+25%)&nbsp; &nbsp; 4. ร้านขายอุปกรณ์ถ่ายรูป (+19%)&nbsp; &nbsp; 5. รถยนต์ (+15%)&nbsp; &nbsp; ส่วนในภาพรวมหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุดเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่&nbsp;1. ประกันภัย&nbsp;2. ไฮเปอร์มาร์ท ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ&nbsp;3. ปั๊มน้ำมัน&nbsp;4. ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน&nbsp;5. ช้อปออนไลน์&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;ขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน อยู่ที่ระดับ 1.1% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.6% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อผ่อนชำระ นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจ&nbsp;อันเป็นผลจากการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/zxRKEpxviVmVyDCfGaX5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zxRKEpxviVmVyDCfGaX5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="1"></figure></div>​ ภาพ: กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bbl-bay-cut-rate-0-25-mar-2025" alt="แบงก์กรุงเทพ - กรุงศรี ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ-ช่วยลดภาระลูกหนี้">แบงก์กรุงเทพ - กรุงศรี ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ-ช่วยลดภาระลูกหนี้</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ถ้าผ่อนได้ คนไทยก็ผ่อน!  กรุงศรี คอนซูมเมอร์เผย 90% ของแผนผ่อนเป็นดอก 0% ช่วยดันยอดใช้จ่ายฯ คาดปี 68 โต 10%

<h2>กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยธุรกิจบัตรเครดิต ปี 68 มีความท้าทายสูงทั้งจากเศรษฐกิจฟื้นช้ากว่าที่คาด&nbsp; และแนวโน้มหนี้เสียที่อาจเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่อาจส่งผลต่อรายได้ แต่ทางบริษัทฯ ยังตั้งเป้าหมายปี 2568 จะเติบโตขึ้น โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 6-9% หรือราว 2-3 เท่าของ GDP</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่า ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในไทยปี 2567 นี้ถือว่ามีความท้าทายสูงมาก ตั้งแต่ต้นปีมีการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำเป็น 8% (จาก 5%) ส่งผลกระทบต่อตลาดโดยรวม ขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นอย่างที่คาดหวัง ส่งผลให้ปีนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรในภาพรวมของตลาดจะเติบโตเพียง 4% โดยยอดสินเชื่อคงค้างอาจติดลบ สะท้อนจากตัวเลขล่าสุดของธปท. ที่ติดลบราว 2% ขณะที่จำนวนบัญชียังหดตัวราว 1%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในส่วนของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ คาดว่าปี 2567 นี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะช่วง 10 เดือนแรกยังมีการเติบโตที่ดีจากฐานลูกค้าที่มีกว่า 4 ล้านราย โดยมีเป้าหมาย ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ยอดบัญชีลูกค้าใหม่ 600,000 บัญชี เพิ่มขึ้น 7%YoY (10 เดือนแรกปี 67อยู่ที่ 496,000 บัญชี เติบโต 6%YoY)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท ขยายตัว 8%YoY (10 เดือนแรกปี 67 อยู่ที่ 317,000 ล้านบาท เติบโต 8%YoY)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ยอดสินเชื่อใหม่ 96,000 ล้านบาท ขยายตัว 5%YoY (10 เดือนแรกปี 67อยู่ที่ 78,000 ล้านบาท เติบโต 4%YoY)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ยอดสินเชื่อคงค้าง 150,000 ล้านบาท ขยายตัว 1%YoY (10 เดือนแรกปี 67 อยู่ที่ 139,000 ล้านบาท ลดลง 1%YoY)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทั้งนี้ คาดว่า ช่วงปลายปีนี้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรและสินเชื่อจะเติบโตได้ดีจากการท่องเที่ยว การจับจ่ายในช่วงเทศกาล รวมถึงการซื้อกองทุนและประกันภัย” อธิศกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/QHNyXgkW6FCFyDS6sXpy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="QHNyXgkW6FCFyDS6sXpy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนปี 2568 มองว่าตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จะมีความท้าทายเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และมาตรการจากภาครัฐที่จะช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยกลยุทธ์หลักในปีหน้าจะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการชำระเงินตอบโจทย์ลูกค้า โดยตั้งเป้าหมายยอดใช้จ่ายผ่านบัตร ขยายตัว 6-9% ซึ่งคิดเป็น 2-3 เท่าของ GDP&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ปี 2568 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จะมีการปรับสิทธิประโยชน์ของบัตรแต่ละกลุ่ม เพื่อให้เข้าถึงและตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น เช่น การขยายไปในสินค้าและบริการไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้จะมีการปรับโฉมใหม่บัตรเครดิตเซ็นทรัลเดอะวัน (เริ่มต่อสัญญาใหม่กับบจ. กลุ่มเซ็นทรัลเพื่อให้บริการในปี 2568-2575) รวมถึงจะขยายความร่วมมือกับพันธมิตรต่อเนื่องโดยอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มบริการใหม่ๆ ในกลุ่มพันธมิตรนอกเหนือจากสินเชื่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ภาพรวมตลาดยังมีหนี้เสียที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จะบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม โดยคาดว่าหนี้เสียจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่มีหนี้เสียหรือ NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ระดับ 1.3% และสินเชื่อส่วนบุคคล-สินเชื่อผ่อนชำระอยู่ที่ 2.5% ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เมื่อความท้าทายยังสูงขึ้นทำให้การอนุมัติสินเชื่อยังต้องระมัดระวังสูงเพื่อเข้าถึงลูกค้าที่มีคุณภาพ ปัจจุบันอัตราการอนุมัติของบัตรเครดิตปัจจุบันอยู่ที่ราว 40% ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 20-30% ถือว่ายังใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้า ขณะที่ปัจจุบันสัดส่วนลุกค้ากว่า 70% ยังคงชำระเต็มวงเงิน และมีการผ่อนชำระในสัดส่วนราว 30% ภาพ:&nbsp;กรุงศรี คอนซูมเมอร์​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/neo-expands-product-portfolio-premium-mass-set-goal-2026-sales-will-increase-from-5-to-10-percent" alt="NEO รุกขยายพอร์ตสินค้า 'พรีเมียมแมส' ตั้งเป้าภายในปี 69 ยอดขายเพิ่มเป็น 10%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/visa-shares-tips-for-spending-safely-and-careful-of-5-scams-that-criminals-online" alt="VISA แชร์ทิปใช้จ่ายปลอดภัย ระวัง 5 กลโกง 'มิจฉาชีพ' จ้องทำลายส่งท้ายปี">VISA แชร์ทิปใช้จ่ายปลอดภัย ระวัง 5 กลโกง 'มิจฉาชีพ' จ้องทำลายส่งท้ายปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยธุรกิจบัตรเครดิตปี 68 แม้เศรษฐกิจฟื้นช้า-หนี้เสียสูง แต่ยังตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 6-9%

<h2>สภาพัฒน์ฯ ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 67 โดยมีแรงส่งทั้ง ‘การส่งออก-ท่องเที่ยว-เงินอัดฉีดภาครัฐ-การลดดอกเบี้ยนโยบาย’ ฝั่ง KTC คาด GDP ปีหน้าโต 2.9% ช่วยหนุนพอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัว 4-5%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯ เปิดเผยว่า ปี 2567 นี้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.7% โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะขยายตัวถึง 4% เพราะมีแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการขยายตัวของการส่งออก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2568 ทาง IMF คาดการณ์ไว้ว่า GDP ไทยจะขยายตัว 2.9% ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงที่เกิดขึ้นทั่วโลกและความเสี่ยงของภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีอีก 4 ปัจจัยในด้านบวก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การส่งออกสินค้าซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของจีดีพี โดยการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เท่ากับเกือบ 10% ของจีดีพี จะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโอกาสที่มีผลกระทบทางลบหรือความเสียหาย (downside risk) มาก และตลาดยุโรปกับจีนก็ดูจะไม่แข็งแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การท่องเที่ยวคงจะฟื้นตัวต่อไป คือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2568 น่าจะกลับไปที่ 40 ล้านคน เท่ากับปริมาณก่อนการระบาดของ COVID-19 แต่รายจ่ายต่อหัวจะยังต่ำกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- แรงกระตุ้นจากภาครัฐคงจะมีต่อเนื่องถึงประมาณกลางปี 2568&nbsp;จากการแจกเงินก้อนสุดท้าย และการเร่งใช้งบลงทุน แต่การที่รัฐมนตรีคลังพูดถึงการเก็บภาษีเพิ่ม แปลว่า นโยบายการคลังน่าจะตึงตัวขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ด้านนโยบายการเงิน&nbsp;ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก แต่ในขณะเดียวกันธปท. ก็ยังคงจะส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ และธนาคารพาณิชย์เองก็คงจะต้องใช้เวลากับการแก้หนี้เสียที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ดังนั้น แนวโน้มของการลดลงของสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ (debt deleveraging) ก็จะยังดำเนินต่อไปในปี 2568 อย่างไรก็ตาม หากธปท.ผ่อนคลายนโยบายการเงินเชื่องช้าเกินไป ผลที่จะตามมาคือ กำลังซื้อในประเทศจะไม่แข็งแรงและเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปอีกได้<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/PTLCyyzW48DknpQc2yAF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PTLCyyzW48DknpQc2yAF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>​ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธาน&nbsp;สภาพัฒน์ฯ​</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ ผู้อำนวยการ - การเงิน บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่า ปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.9% ซึ่งมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการส่งออกในภูมิภาค ซึ่งในระยะยาวอาจกระทบต่อไทยให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านนโยบายการเงิน ประเมินว่าปี 2568 จะเห็นการผ่อนคลายมากขึ้น โดยคาดว่า ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 1.50-2.00% สอดคล้องกับทิศทางทั่วโลก เนื่องจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและราคาพลังงานที่คาดว่าจะปรับลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ตลาดสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโตจากเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ซึ่งเอื้อให้สถาบันการเงินสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้มากขึ้น แต่ความท้าทายหลักยังเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/onV8MH2R1Nsifogpnvws.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="onV8MH2R1Nsifogpnvws.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"><figcaption><div>​นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ ผู้อำนวยการ - การเงิน KTC​</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ในส่วนธุรกิจ KTC ปี 2568 ยังตั้งเป้ากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยพอร์ตสินเชื่อรวมคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 4-5% พร้อมรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อให้มีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ไม่เกิน 2.0% อีกทั้ง คาดว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเติบโตขึ้น 10% โดยใช้กลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า และขยายผลิตภัณฑ์บัตรกดเงินสด KTC PROUD เติบโต 3% และยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 3,000 ล้านบาท ด้วยโซลูชันการเงินเฉพาะบุคคลที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทิศทางธุรกิจเคทีซีในปี 2568 จะนำพาองค์กรสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืนด้วย 3 องค์ประกอบ คน ระบบและเทคโนโลยี ผ่านการทำความเข้าใจแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และการวางแผนกลยุทธ์ที่รอบคอบ จะช่วยให้เคทีซีสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน หมายเหตุ:&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการดำเนินงานในปี 2567 KTC ทำกำไรสุทธิ 5,549 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรก และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายกำไรสุทธิ 7,295 ล้านบาทในสิ้นปี 2567 ภาพ: KTC เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/traveloka-survey-travel-redefined-apac-travellers-trend" alt="ผลสำรวจ Traveloka ชี้คนไทยชอบเที่ยวในประเทศ ทะเลและภูเขาคือจุดหมายยอดนิยม"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-debt-solution-dec-2024" alt="สรุป! มาตรการแก้หนี้ 'คุณสู้ เราช่วย' เมื่อคลัง-ธปท. เร่งช่วยกลุ่มค้างจ่าย มีหนี้เสียได้ลดค่างวด-พักดอก นาน 3 ปี">สรุป! มาตรการแก้หนี้ 'คุณสู้ เราช่วย' เมื่อคลัง-ธปท. เร่งช่วยกลุ่มค้างจ่าย มีหนี้เสียได้ลดค่างวด-พักดอก นาน 3 ปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สภาพัฒน์ฯ มองเศรษฐกิจไทยปี 68 โตต่อเนื่อง ฝั่ง KTC คาด GDP โต 2.9% ช่วยหนุนพอร์ตสินเชื่อโต 4-5%

<h2>กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ปักธงเป็น Payment facilitator ลูกค้าอยากจ่ายแบบไหนต้องมีโซลูชันครบ เริ่มทดลองใช้ Biometric สแกนหน้าจ่ายเงินได้ที่ Tops ส่วนผลงาน 6 เดือนแรกปีนี้ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรแตะ 1.8 แสนล้านบาท โต 9% แม้เศรษฐกิจโตฟื้นช้ากว่าคาด แต่เตรียมโปรโมชั่นอัดไตรมาส 4 และยังเน้นให้สินเชื่ออย่างมีคุณภาพ เร่งลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ต่อเนื่อง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปทำให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งเป้าหมายเป็น Payment facilitator ที่จะต้องมีผลิภัณฑ์และช่องทางที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกการใช้จ่าย ไม่ว่าจะการรูด แตะจ่าย สแกนจ่าย ฯลฯ และไม่ใช่แค่บริการบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในสิ่งที่เร่งทำคือ การพัฒนานวัตกรรมทางการชำระเงิน (Payment Solutions) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินให้กับลูกค้า เช่น สแกนจ่ายบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีฯ ผ่านแอปฯ บนมือถือ การผูกบัญชีบัตรฯ กับ Digital Wallet หรือการใช้ Biometrics ที่ล่าสุดเริ่มทดลองสแกนใบหน้าในการใช้จ่ายที่ซุปเปอร์มาร์เกต Tops แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ด้วยการสแกน QRcode หรือ Tap&amp;Go หลายเทคโนโลยีเกิดขึ้นมานานแล้วเป็นสิบปีแต่ยังไม่แพร่หลาย เพิ่งจะมาเห็นยอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ ดังนั้นแม้เราไม่แน่ใจว่า อะไรจะ takeoff บ้างแต่เราต้องพัฒนาโซลูชันต่างๆ ไว้เพื่อรองรับตลาดล่วงหน้า หากติดตลาดเมื่อไรก็พร้อมให้ลูกค้าใช้งานได้” อธิศ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ จะเดินหน้าขยายงานร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดธุรกิจสินเชื่อไม่มีหลักประกัน ปัจจุบันมีพันธมิตรกว่า 25,000 ราย ที่ผ่านมาออกบริการใหม่ เช่น Homepay เป็นบริการ Buy now Pay later ร่วมกับ HomePro ที่เป็นพันธมิตรหลัก หรือสินเชื่อสำหรับไทวัสดุในเครือเซ็นทรัล เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจาก 2 กลยุทธ์นี้ ยังมีอีก 3 กลยุทธ์หลักที่จะใช้ตั้งแต่ครึ่งปีหลังและถึงครึ่งปีแรก 2568 คือ จะมุ่งพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หลักให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และต่อยอดความร่วมมือในเครือกรุงศรี รวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 ผลประกอบการของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ มียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 189,000 ล้านบาท เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ยอดสินเชื่อใหม่ 47,000 ล้านบาท เติบโต 6%YoY ยอดสินเชื่อคงค้าง 140,000 ล้านบาท เติบโต 2%YoY และจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่ 287,000 บัญชี เติบโต 7%YoY&nbsp; &nbsp; ขณะที่หมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุดเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ ประกันภัย, ปั๊มน้ำมัน, ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน, ไฮเปอร์มาร์ทและซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปออนไลน์และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ แต่หมวดใช้จ่ายที่มีอัตราเติบโตสูงสุดคือ ตัวแทนท่องเที่ยว รวมถึง โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงของหนี้เสีย หรือ NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ระดับ 1.4% และ สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อผ่อนชำระ 2.6% ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจ เป็นผลจากการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม โดยช่วงที่ผ่านมายอดการอนุมัติสินเชื่อลดลงเล็กน้อย (บัตรเครดิตอยู่ที่ 40% สินเชื่ออื่นๆ 30% ต้นๆ) ในภาพรวมหนี้เสียปี 67 นี้อาจมีโอกาสเพิ่มขึ้นแต่ไม่สูงนัก สาเหตุเพราะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ขณะเดียวกันทางบริษัทเร่งสื่อสารกับลูกค้าให้ปรับโครงสร้างหนี้หากมีปัญหาในการชำระคืน โดยช่วงที่ผ่านมาลูกค้าเริ่มเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยังคงเป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ ยอดบัญชีลูกค้าใหม่ 617,000 บัญชี เพิ่มขึ้น 10% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ยอดสินเชื่อใหม่ที่ 100,000 ล้านบาท เติบโต 9% และยอดสินเชื่อคงค้าง 151,000 ล้านบาท เติบโต 2% โดยมีปัจจัยที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) การแข่งขันที่มักจะรุนแรงขึ้นในไตรมาส 4/67 จึงจะมีการออกโปรโมชันอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว&nbsp; &nbsp; 4) กฎเกณฑ์ของหน่วยงานผู้กำกับ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/moc-thailand-foreign-investor-aug-2024" alt="​ต่างชาติลงทุนไทย 7 เดือนแรกปีนี้แตะ 90,987 ล้านบาท เพิ่ม 54% ‘อันดับ 1 ญี่ปุ่น’ ส่วนจีน-ฮ่องกงเข้าลงทุน 19,251 ล้านบาท">​ต่างชาติลงทุนไทย 7 เดือนแรกปีนี้แตะ 90,987 ล้านบาท เพิ่ม 54% ‘อันดับ 1 ญี่ปุ่น’ ส่วนจีน-ฮ่องกงเข้าลงทุน 19,251 ล้านบาท</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เริ่มทดลอง  ‘สแกนใบหน้าจ่ายเงิน’ ที่ซุปเปอร์ฯ ส่วน 6 เดือนแรกปี 67 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรพุ่ง 1.8 แสนล้าน

<h2> </h2><h2>เคทีซีแจ้งงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 5,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% โดยกำไรสุทธิไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 1,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% พอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัว 10% อยู่ที่ 106,701 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าปี 2567 ขยายพอร์ตสินเชื่อรวมโตเพิ่ม 10% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระเฑียร&nbsp; ศรีมงคล&nbsp; ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ความต้องการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีต่อเนื่อง ได้ส่งผลให้อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคขยายตัวมากขึ้น รวมถึงเป็นปัจจัยบวกให้ผลการดำเนินงานของเคทีซีเติบโตต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 14.9% และมีส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 12.1% ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ในขณะที่สัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) อยู่ที่ 6.2% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม”&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/RtZc8u5HPkap16qHf4RR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RtZc8u5HPkap16qHf4RR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในส่วนของธุรกิจเคทีซีตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา พอร์ตบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลขยายตัวตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีมูลค่าพอร์ตรวมเท่ากับ 106,701 ล้านบาท เติบโต 10% อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มบริษัท (NPL) รวมเท่ากับ 2.3% ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยพอร์ตบัตรเครดิตยังขยายตัวได้ดีตามปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เพิ่มขึ้นจากอุปสงค์การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค รวมทั้งพอร์ตสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ที่เติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยเน้นให้พอร์ตเติบโตคู่ไปกับการคัดกรองคุณภาพลูกหนี้ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม ด้านสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” มียอดสินเชื่อใหม่มูลค่า 1,929 ล้านบาท”&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของเคทีซี ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือน และไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 5,534 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.2%) และ 1,857 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.7%) ตามลำดับ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/bkxFfhhqu1oaTjYsBot2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="bkxFfhhqu1oaTjYsBot2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เมื่อดูตัวเลขไตรมาส 3/2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 9.8% เท่ากับ 6,461 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียม ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 13.4% เท่ากับ 4,170 ล้านบาท จากการที่พอร์ตสินเชื่อขยายตัว ทำให้มีการตั้งสำรองมากขึ้น เป็นผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Losses - ECL)&nbsp;จำนวน 1,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.7% ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนทางการเงินปรับขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยข้อมูลวันที่ 30 กันยายน 2566 เคทีซีมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้นเท่ากับ 62,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% โดยมีสัดส่วนโครงสร้างแหล่งเงินทุนเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) 23% และเงินกู้ยืมระยะยาว 77% มีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินรวม (Total Short -Term Credit Line) 29,371 ล้านบาท (รวมวงเงินจากธนาคารกรุงไทย 19,061 ล้านบาท) ใช้วงเงินระยะสั้นไป 5,221 ล้านบาท และมีวงเงินคงเหลือ (Available Credit Line) จำนวน 24,150 ล้านบาท ต้นทุนการเงิน 2.7% และอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.07 เท่า ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 2565 ที่ 2.14 เท่า และต่ำกว่าภาระผูกพันที่ 10 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เคทีซียังดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทางการบริหารจัดการด้านการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทย โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทฯ ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกสถานะจำนวน 1,802 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.8% ของพอร์ตลูกหนี้รวม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับความคืบหน้าด้านมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น (Consultation Paper) เกี่ยวกับร่าง “หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม” (Responsible Lending: RL) และร่าง “กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย” (Risk-Based Pricing :RBP) ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทางเคทีซีมั่นใจว่าหลักเกณฑ์ที่จะออกมาบังคับใช้ จะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญใดๆ ต่อการดำเนินงาน&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของเคทีซียังเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2567 ด้วยว่า "เคทีซีวางเป้าเติบโตใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” โดยมีเป้าหมายการทำธุรกิจให้มีกำไรสูงขึ้นกว่าปี 2566 พอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัว 10% ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างเหมาะสม&nbsp; NPL รวมอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีเติบโต 15% จากปี 2566&nbsp; สินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ตั้งเป้าเติบโต 5% และสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ตั้งเป้ายอดอนุมัติสินเชื่อใหม่ปี 2567 ที่ 6,000 ล้านบาท”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/vRF9hpBDNqCZyyUDcwdx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vRF9hpBDNqCZyyUDcwdx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div> ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/ymDdxzSTnXn3X7iJ57CM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ymDdxzSTnXn3X7iJ57CM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="3"></figure></div> ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/sanga-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1-%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5" alt="SANGA เปิดลงทุนรูปแบบใหม่ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล">SANGA เปิดลงทุนรูปแบบใหม่ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เคทีซี เผยตัวเลข 9 เดือน กำไรสุทธิ 5.5 พันล้านบาท ตั้งเป้าปี 67 ขยายพอร์ตสินเชื่อเพิ่ม 10% 

<h2>บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เผยเทรนด์ธุรกิจบัตรเครดิตไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสด ผู้ให้บริการบัตรต้องพร้อมปรับกลยุทธ์ทั้งผลิตภัณฑ์ การขายและการตลาด ตั้งเป้ายอดใช้จ่าย 77,500 ล้านบาท (+9%) ภายในสิ้นปี 2564</h2>
-บัตรเครดิตทั้งธุรกิจเติบโตเพียงร้อยละ 2
-จำนวนออกบัตรเครดิตใหม่ติดลบถึงร้อยละ 44 เทียบกับปีที่ผ่านมา
-ธุรกิจบัตรเครดิตร่วมมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าบัตรเครดิต

อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการ บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต-สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจบัตรเครดิตไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจชะลอตัวลง

โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ในปี 2563 จำนวนบัตรเครดิตทั้งธุรกิจ เติบโตเพียงร้อยละ 2 ในขณะที่ยอดหนี้คงค้างลดลงติดลบร้อยละ 2 ส่วนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรลดลงติดลบร้อยละ 19 เทียบกับปี 2562 ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2562 และเริ่มลดลงหลังมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

“สำหรับในปี 2564 เทรนด์ที่เห็นได้ชัดคือ การชำระเงินแบบไร้สัมผัส และเทคโนโลยีการชำระเงินใหม่ๆ เป็นที่นิยมขึ้น, การซื้อขายย้ายไปช่องทางออนไลน์มากขึ้น ผู้บริโภคหันมาซื้อแบบออมนิแชนเนล ทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากขึ้น

เห็นได้จากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดร้านค้าออนไลน์ บริการส่งอาหาร เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่วนหมวดการใช้จ่ายที่เป็นความจำเป็นพื้นฐาน เช่น ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ตและประกันภัยยังคงเติบโตขณะที่หมวดการเดินทางท่องเที่ยว การใช้จ่ายในต่างประเทศ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และการกดเงินสด ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนั้น ยังเห็นแนวโน้มที่ลูกค้ากลุ่มแมส เริ่มชะลอการใช้จ่ายลง ขณะที่ลูกค้ากลุ่มพรีเมียม ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ผู้ให้บริการจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการบริหารพอร์ต บริหารผลิตภัณฑ์ การขาย และการตลาดแบบใหม่ เพื่อให้ก้าวทันสถานการณ์และตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคาดว่าธุรกิจน่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง”

<img class="alignnone wp-image-43693 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/บัตรเครดิต-เดอะ-วัน_003.jpg" alt="&quot;บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน&quot;" width="600" height="399" />

สำหรับผลการดำเนินงานของบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ในปี 2563 นับว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยแม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงล็อกดาวน์ แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีการระบาดระลอกใหม่ในช่วงปลายปี แต่ก็ยังรักษาอัตราเติบโตได้ดี

โดยยอดใช้จ่ายในเดือนธันวาคม 2563 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ผลการดำเนินงานนับว่าดีกว่าตลาด แม้จำนวนบัตรใหม่ (76,500 ใบ) จะลดลงติดลบถึงร้อยละ 44 เทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรไม่ได้รับผลกระทบมากนัก (70,000 ล้านบาท ลดลงติดลบร้อยละ 4 เทียบกับปี 2562) ยอดสินเชื่อคงค้าง 22,000 ล้านบาท (+ 3%) อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น

โดยหมวดการใช้จ่ายของบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ที่เติบโตสูง สอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิต ได้แก่ บริการส่งอาหาร (+250% เทียบกับปี 2562), ร้านค้าออนไลน์ (+66%), ไฮเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์มาร์เก็ต (+26%) และ ประกันภัย (+15%) ส่วนหมวดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวันที่เติบโตสูง แยกตามหน่วยธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ Central App (+255%), JD.com (+101%), ไทวัสดุ (+23%), และท็อปส์ (+12%)

“จากข้อมูล แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจบัตรเครดิตร่วม มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บัตรเครดิตร่วมขนาดใหญ่ ซึ่งมีข้อได้เปรียบเชิงธุรกิจ ทั้งในแง่ของศักยภาพของพันธมิตรร่วม, สิทธิประโยชน์ที่หลากหลาย, สัดส่วนของลูกค้าพรีเมียม และข้อมูลที่มากกว่า ทำให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ตรงใจยิ่งขึ้น” อธิศกล่าวเสริม

สำหรับแผนธุรกิจปี 2564 บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เตรียมผนึกกำลังกับพันธมิตร ผสานความร่วมมือระหว่างเครือกรุงศรี กับเครือเซ็นทรัลในทุกมิติ เพื่อปรับกลยุทธ์การบริหารพอร์ต ผลิตภัณฑ์ การขาย และการตลาดให้ตอบโจทย์พฤติกรรมนิวนอร์มัลของผู้บริโภคยุคใหม่ให้ดียิ่งขึ้น ผ่านกลยุทธ์หลัก 3 ประการ ได้แก่

1.เสริมสร้างช่องทางขายและประสบการณ์ดิจิทัล โดยการทำ Digital Lending ผ่านแอป เช่น KMA, UCHOOSE, การหาบัตรใหม่ผ่าน Referral Model ผ่านแอป The 1, การใช้ AI มาทำโปรโมชั่นแบบ Personalized ให้ตรงใจลูกค้ายิ่งขึ้น

2. การทำการตลาดและโปรโมชั่นแบบนิว นอร์มัล โดยเร่งยอดใช้จ่ายผ่านบัตรแบบ Omni Channel มีโปรโมชั่นครอบคลุมทั้งออนไลน์และออฟไลน์, การทำการตลาดรูปแบบใหม่ ด้วยการทำกิจกรรมเล่นเกมผ่านแอปและ Street Art เพื่อขยายการใช้บัตรไปทั้งเครือ Central, เจาะเข้ากลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในเครือเซ็นทรัล

3. การบริหารผลิตภัณฑ์และสิทธิประโยชน์บัตรให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น เช่น การปรับกลยุทธ์ในการดูแลลูกค้ากลุ่มพรีเมียม, เร่งเพิ่มจำนวนบัตรและการใช้บัตรไร้สัมผัส, ร่วมพัฒนาระบบชำระเงินผ่านบัตรรูปแบบใหม่ เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัลและคิวอาร์เพย์เมนต์ กับ Dolfin, The 1 และ UCHOOSE เป็นต้น ทั้งนี้ ในปี 2564 บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร 77,500 ล้านบาท (เติบโต 9% เทียบกับปี 2563) และจำนวนลูกค้าใหม่ 82,000 ราย (เติบโต 5%)

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/sawad-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-scap-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2.html">SAWAD ไฟเขียว SCAP ลุยธุรกิจเช่าซื้อเต็มรูปแบบ</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน" ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร 77,500 ล้านบาท

Image Credit: Associated Press 
 
ขณะที่ผมเขียนคอลัมน์นี้ที่สำนักงาน บนถนนสายหลักใน San Francisco โดยผมจะมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านที่เขต Richmond เพื่อกลับไปเอากระเป๋าเดินทาง และมุ่งหน้าไปยังสนามบิน San Francisco International Airport แล้วมุ่งตรงไปที่โรงแรม JFK ในย่าน Midtown, นัดประชุม 10 นัด ทั่ว Manhattan ก่อนที่แวะห้าง FAO Swartz เพื่อรับบางสิ่งสำหรับเด็กๆ ก่อนกลับโรงแรม JFK ก่อนเดินทางกลับบ้าน 
 
มีคนแค่ 4 คนหรือหน่วยงานในโลกนี้ที่รู้ตำแหน่งที่อยู่ของผมตลอดเวลา ภรรยา (เพราะผมบอก) Apple (เพรา Siri) เพราะ the NSA (สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ) และปัจจุบัน Uber 
 
ตั้งแต่การใช้บริการผ่าน Uber โดย Uber แอปฯ ได้สร้างความสะดวกสบายและเพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต Uber รู้ว่า ที่ไหนที่ผมอยู่, ที่ไหนที่ผมทำงาน, ที่ไหนที่ผมกิน, ที่ไหนที่ผมเที่ยว, ที่ไหนที่ผมไปเยี่ยมเยี่ยม, และที่ๆ ผมทำทั้งหมด ผมไม่ใช่แค่ผู้โดยสารอย่างที่เป็นอีกต่อไป ผมคือแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ในขณะที่คุณไม่ได้ทันคิด Uber ได้ใช้ประโยชน์จากมัน 
 
ปีนี้ เราจะได้พบกับการเชื่อมโยงข้อมูลของ Uber เข้ากับ บริษัทข้อมูลยักษ์ใหญ่ เหมือนๆ กับ Google, Facebook และ Visa ที่ใช้ข้อมูลอันล้ำค่าเกี่ยวกับผมและคุณ นำไปต่อยอดการให้บริการและการสร้างรายได้ต่อการขายข้อมูลดังกล่าวสู่แหล่งอื่นๆ 
 
Starwood แค่การเริ่มต้น 
 
ล่าสุด Uber ได้ปล่อยบริการที่ให้ลูกค้าผู้ถือครอง Account ระหว่าง Uber และ Account ของ Starwood เข้าด้วยกัน ซึ่งลูกค้าของ Starwood จะได้รับคะแนนเมื่อเขาใช้บริการ Uber ถือเป็นการยื่นหมูยื่นหมู? เพราะลูกค้า Uber ต้องให้สิทธิ์ในการแชร์ข้อมูลทั้งหมดกับ Starwood ผมหมายถึง &rdquo;ข้อมูลทั้งหมด&rdquo; ดูได้จาก screenshot ด้านล่าง 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/FORBESLIFE%20THAILAND%20MARCH%202015/Uber7-1.png" /> 
 
ฟังแล้วน่ากลัว? แต่มีค่าแน่นอนต่อ Uber ต่อ Starwood และแม้กระทั่งตัวผม ผมบินเดือนละครั้งไปยังที่ทำงานใน Seattle Uber รู้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะเขามาส่งผมที่สนามบิน San Francisco International Airport และมาแวะรับก่อนไปส่ง ที่ Seattle&ndash;Tacoma International Airport ในหลายชั่วโมงต่อมา 
 
Uber สามารถเดินหน้ากับโปรแกรมแบบนี้ได้กับ สายการบิน ร้านอาหาร ไนท์คลับ, บาร์ ทุกๆ ที่ จากจุด A ไปสู่จุด B ระหว่างการโดยสารใน Uber ไม่ว่าจุด A หรือ B หรือทั้งสองจุด แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้บริโภคที่มีศักยภาพจากข้อมูลของคุณ 
&nbsp; 
ไม่มีข้อมูลที่ไร้ตัวตนอีกต่อไป 
 
แม้จะไม่ใช่ข่าวสำหรับทุกคนที่ว่า Visa, MasterCard และ Amax มีหน่วยงานในการจัดการธุรกิจ การขายข้อมูลลูกค้า ไปยังบริษัทที่ต้องการซื้อ ตอนนี้มียอดขาย 1oo ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่จาก Private Equity, Hedge Funds และ&nbsp; Investment Banks และคาดการณ์จะมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญภายใน 5 ปี โดยข้อแตกต่างของบริษัทบัตรเครดิตเหล่านี้คือการนำข้อมูลตัวตน Personally Identifiable Information (PII) ออกและขายเฉพาะข้อมูลทั่วไป ในสายตาของบริษัทเหล่านี้ คุณจะไม่ใช่แค่คุณ 
 
ความได้เปรียบของ Uber คือการที่ผู้ใช้เองเป็นผู้แลกเปลี่ยนข้อมูลตัวตน (PII) จากหน้าจอเพื่อแลกแปลี่ยนกับ คะแนนพิเศษ/หรือไมล์ต่างๆ นี้คือนัยยะสำคัญ แต่ถ้าคุณจะไม่ได้มอบข้อมูลตัวตน (PII) Uber ยังคงได้ข้อมูลทั่วไปที่ไม่ใช่ข้อมูลตัวตน (PII) อยู่ดี 
 
มีเสียงแซวเล็กๆ จากผู้ลงทุนหลายๆ คนเข้าถึงข้อมูลการใช้งานใช้บัตรเครดิตจากเครือข่ายบัตรจะเห็นมูลค่าที่ว่าจริงๆ ว่า Uber (ลือกันว่ายอดเติบโต 800% ต่อปี) มีมูลค่าซื้อขายราคา 42,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 
&nbsp; 
อะไรมาแรง อะไรไม่ Uber รู้ 
 
Uber รู้ว่า ไนท์คลับอะไรมาแรง ร้านอาหารยอดเยี่ยม และอะไรยอดเยี่ยมในขณะนี้ ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการเดินทางเหมือน Waze (which coincidentally trades data with local governments) ของสหรัฐฯ 
 
การผสมผสานข้อมูลของ Uber เป็นข้อมูลที่เป็นตัวตนอย่างมาก ซึ่ง ลูกค้า Uber ยินดีจะมอบเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ นั่นหมายความว่า Uber จะกลายเป็นบริษัทข้อมูลขนาดใหญ่ แม้จะไม่ใช่ธุรกิจหลักของ Uber แต่ข้อมูลจะสร้างนัยยะสำคัญในการสร้างรายได้ 
 
และถ้า Uber นำข้อมูลของผมไปใช้และมารับผมและภรรยาในวาระสำคัญที่จะเกิดขึ้นไปยังร้านอาหารใหม่ๆ ดนตรีสดเพราะๆ ผมอาจพิจารณาให้ Uber เป็นผู้ดูแลในส่วนนี้ 
 
<hr />
เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/ronhirson/2015/03/23/uber-the-big-data-company/">Uber: The Big Data Company</a> โดย Ron Hirson

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events