เมื่อคอนเน็คชั่นเก่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น ก็จง ‘เผาสะพาน’ เพื่อก้าวไปข้างหน้า

<h2>ผู้นำที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีเวลาในแต่ละวันมากไปกว่าเราทุกคน แต่พวกเขารู้วิธีใช้เวลาอย่างคุ้มค่า พวกเขาไม่ใช่แค่ยุ่งกับการทำงาน แต่การทำงานยังเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ พวกเขาเหล่านี้ล้วนชำนาญศิลปะการบริหารเวลาเพื่อโฟกัสกับสิ่งสำคัญที่สุด ตัดสิ่งรบกวนและงานที่ไม่มีประโยชน์ออก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากคุณกำลังมองหาแนวทางใช้เวลาในแต่ละวันให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับใช้ และพึงระลึกไว้ว่าทุกนาทีมีค่า มาดูกันผู้นำที่ประสบความสำเร็จแต่ละคนบริการจัดการเวลากันอย่างไรบ้าง 1. จัดลำดับความสำคัญและโฟกัสให้ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุณอาจรู้ลำดับความสำคัญของงานต่างๆ แต่คุณได้ลงมือปฏิบัติงานเหล่านี้อย่างเคร่งครัดแล้วหรือยัง? หรือกำลังปล่อยให้ตัวเองวอกแวกไปทำอย่างอื่น?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้นำที่ประสบความสำเร็จรู้ว่างานไหนสำคัญและโฟกัสไปยังงานพวกนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมโดยไร้ข้ออ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยกตัวอย่าง Warren Buffett ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าใช้กลยุทธ์ “แบ่ง 2 รายการ” โดยเริ่มจากเขียนรายการเป้าหมาย 25 ข้อ จากนั้นเลือกวงที่สำคัญที่สุดเพียง 5 ข้อ และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เหลือทั้งหมด จดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ แทนที่จะถูกหันเหความสนใจด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ ให้เขียนรายการงานที่สำคัญที่สุดในแต่ละวันขึ้นมา 3 ข้อ งานเหล่านี้ควรจะส่งผลกระทบที่ใหญ่พอจะพาคุณไปสู่เป้าหมาย ตั้งใจทำงานเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น และอย่าลืมทำให้แน่ใจว่าเวลาของคุณจะไม่ถูกใช้ไปกับสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน 2. ขจัดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็นออก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ (Decision Fatigue) มีอยู่จริง ผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต่างลดความซับซ้อนของกิจวัตรเพื่อลดตัวเลือกต่างๆ ที่พวกเขาต้องตัดสินใจในแต่ละวัน ดังเช่นกรณีของ Mark Zuckerberg ที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดิมๆ ทุกวัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานคิดว่าจะแต่งตัวอย่างไรดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวคิดนี้ต่อยอดได้ไกลกว่าแค่การเลือกเสื้อผ้า ผู้นำชั้นยอดล้วนมองหาตัวช่วยหรือลดขั้นตอนในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เริ่มจากกิจวัตรประจำวันก่อนเป็นอันดับแรก ในส่วนของการทำงาน ให้สร้างเทมเพลต (Template) สำหรับงานที่ต้องทำซ้ำๆ นำระบบจัดตารางเวลาอัตโนมัติ (Automate Schedule) มาใช้ หรือไม่ก็ตั้งค่าการตอบคำถามโดยพื้นฐานเอาไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บางครั้งการจ่ายเงินเพื่อช่วยให้ชีวิตดีขึ้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ลองมองหาผู้ช่วยเสมือนออนไลน์ (Virtual Assistant) ให้มารับมือกับงานที่คุณต้องทำซ้ำๆ ทุกสัปดาห์ ยิ่งคุณใช้เวลาน้อยลงกับสิ่งไม่สำคัญ คุณก็จะยิ่งเหลือพลังงานไปใช้กับสิ่งสำคัญมากขึ้น เก็บสมองของคุณไว้ทำสิ่งที่จำเป็นดีกว่า 3. รักษาเวลาเยี่ยงชีพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บรรดาผู้นำชั้นยอดต่างรักษาเวลายิ่งกว่าทรัพย์สินล้ำค่าชิ้นใด ยกตัวอย่าง Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง IKEA ที่แบ่งเวลาในแต่ละวันด้วย “กฎ 10 นาที” เขาจะใช้เวลาทุก 10 นาทีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกนาทีจะผ่านไปโดยไม่เสียเปล่า การปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัดช่วยให้เขาสามารถโฟกัสกับงานสำคัญและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่สิ้นเปลืองเวลาซึ่งอาจเบียดเบียนตารางงานของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จัดการแต่ละนาทีอย่างแม่นยำ ล็อกตารางเวลาไว้สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิและการจดจ่อ แบ่งเวลาสำหรับการประชุม อีเมล และกิจกรรมอื่นๆ ที่มีแนวโน้มกินเวลาของคุณให้ชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับงานสำคัญของคุณ และอย่าลังเลที่จะขจัดสิ่งรบกวนออกไปให้หมด มีแค่ตัวคุณเองเท่านั้นที่รักษาเวลาของคุณได้ 4. แบ่งสรรงานต่างๆ ให้คนอื่นบ้าง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่มีผู้นำคนไหนจะพิชิตเป้าหมายได้ด้วยตัวคนเดียว เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคนแบ่งสรรงานแก่ทีมที่เชื่อใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พวกเขาช่วยจัดการงานซึ่งผู้นำไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jeff Bezos เคยพูดถึงความสำคัญของการคิดเพื่อตัดสินใจอย่างมีคุณภาพในเวลาสั้นๆ และส่วนที่ขาดไม่ได้ในการจะทำเช่นนั้น คือต้องรู้ว่าควรปล่อยงานให้คนอื่นทำเมื่อไหร่ วัตถุประสงค์ของการเคลียร์ตารางเวลาก็เพื่อทำงานซึ่งมีเพียงแค่คุณเท่านั้นที่ทำได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Sara Blakely ผู้ก่อตั้ง Spanx กล่าวว่า “ถ้าคุณคิดว่าใครสักคนสามารถทำงานได้ถึง 80% เทียบการที่คุณลงมือทำเอง ก็ส่งต่อให้เขาทำเลย!”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่ง มองหางานที่คนอื่นๆ สามารถรับมือได้ จากนั้นก็ปล่อยให้ทีมของคุณรับผิดชอบโดยที่คุณคอยสนับสนุนพวกเขา สร้างทักษะและความมั่นใจแก่ผู้คนรอบตัวคุณ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีกำลังใจทำงานอย่างดีเยี่ยมแม้คุณไม่ได้อยู่คอยชี้แนะก็ตาม ฝึกฝนการบริหารจัดการเวลาให้เชี่ยวชาญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่าเพียงแค่ยุ่งกับการทำงาน แต่จงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลำดับความสำคัญและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก รักษาเวลาอันมีค่าของคุณให้ดี และแบ่งงานให้คนอื่นทำบ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดำเนินรอยตามแนวทางของบรรดาผู้นำที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เพื่อทำงานและจดจ่อกับเป้าหมายให้ได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเคร่งเครียดมากนัก คอยดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย มีจุดมุ่งหมายชัดเจน และใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์ให้คุ้มค่ากว่าเดิม แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/jodiecook/2024/09/18/time-management-hacks-from-the-worlds-most-successful-leaders/" alt="Time Management Hacks From The World’s Most Successful Leaders">Time Management Hacks From The World’s Most Successful Leaders</a> โดย Jodie Cook​<a href="https://unsplash.com/photos/person-holding-notepad-and-pen-flat-lay-photography-flRm0z3MEoA" alt="Photo by Marissa Grootes">Photo by Marissa Grootes</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/tips-to-make-new-year-s-resolutions-stick" alt="5 เคล็ดลับพิชิตเป้าหมาย เปลี่ยนตัวเองรับปีใหม่ ไม่ให้หมดกำลังใจระหว่างทาง">5 เคล็ดลับพิชิตเป้าหมาย เปลี่ยนตัวเองรับปีใหม่ ไม่ให้หมดกำลังใจระหว่างทาง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เวลา’ คือทรัพย์ล้ำค่า เปิด 4 วิธีบริหารเวลา แบบฉบับนักธุรกิจระดับโลก

<h2>เมื่อปีใหม่มาเยือน หลายคนถือเป็นโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่า เดือนมกราคมนับเป็นจังหวะอันดีในการเริ่มต้นพัฒนาตัวเอง แต่การจะบรรลุผลได้นั้นจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่น พยายาม และไม่วอกแวกจากเป้าหมายที่ตั้งไว้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการศึกษาพบว่า 70% ของผู้คนที่ตั้ง ปณิธานปีใหม่ (New Year’s Resolution) เอาไว้ ท้ายสุดแล้วก็ละทิ้งความตั้งใจอันดีทั้งหมดไปในเวลาเพียงไม่กี่เดือนให้หลัง หากคุณไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้น ด้านล่างนี้คือคำแนะนำสำหรับประคับประคองเจตจำนงเหล่านั้นเอาไว้ เมื่อกำลังใจเริ่มถดถอยลง เริ่มให้เล็ก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Lynn Bufka นักจิตวิทยาแนะนำว่าปณิธานใดๆ ก็ตามควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงให้ได้มากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นับเป็นเรื่องกล้าหากคุณต้องการลดน้ำหนักลงสัก 50 ปอนด์และบอกว่าจะไม่กินขนมหวานอีกเลย” เธอกล่าว “บางทีอาจดีและมีประโยชน์กว่าหากคุณพูดว่า คุณจะกินขนมหวานแค่ตอนวันหยุดสุดสัปดาห์และในโอกาสพิเศษเท่านั้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตต่างก็สนับสนุนให้แบ่งเป้าหมายใหญ่ที่ตั้งไว้ออกเป็นเป้าหมายย่อย หรือแบ่งเป็นหลายๆ ข้อแทน เช่น เปลี่ยนจากการกินขนมสักชิ้นมาเป็นผักและผลไม้ หรือไม่ก็ออกกำลังกายวันละ 10 นาทีสม่ำเสมอทุกวัน เมื่อคุณพิชิตเป้าหมายย่อยๆ เหล่านี้ได้ เป้าหมายใหญ่ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม คิดบวก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นเรื่องท้าทาย Bufka บอกว่าเพียงแค่คิดเกี่ยวกับเป้าหมายต่างๆ ของคุณในแง่บวกให้มากขึ้น รวมถึงมองหาว่าคุณจะได้อะไรจากการเปลี่ยนพฤติกรรม สามารถช่วยเติมกำลังใจให้คุณได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ถ้าฉันเก็บเงินใส่กระปุกทุกครั้งที่คิดจะซื้อช็อกโกแลตทุกวัน ฉันก็จะมีเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” Bufka อธิบาย เช่นเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ชี้ว่าการให้ความสำคัญกับปณิธานที่วางไว้จะช่วยให้คุณไขว่คว้ามันได้ดียิ่งขึ้น และสามารถเป็นจุดเริ่มต้นการปรับมุมมองความคิดอันทรงพลัง โฟกัสเป้าหมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การศึกษาด้านการตั้งปณิธานปีใหม่ที่เผยแพร่ในปี 2020 พบว่า กลุ่มคนที่มุ่งให้ความสำคัญกับเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงต่างประสบความสำเร็จมากกว่ากลุ่มคนที่บอกแค่ว่า ‘จะเลิกนิสัยที่ไม่ดี’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 1,000 คน นักวิทยาศาสตร์พบว่า ปณิธานที่คนนิยมตั้งใจไว้ส่วนมากเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และปรับพฤติกรรมการกิน ส่วนปณิธานอื่นๆ จะเน้นไปยังการพัฒนาตัวเอง แก้ปัญหาด้านการเงินส่วนบุคคล และการดูแลสุขภาพจิต ลดความเครียด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;55% ของกลุ่มตัวอย่างเผยว่า พวกเขายังคงรักษาปณิธานไว้ได้แม้เวลาผ่านไปหนึ่งปี โดย 60% ของคนเหล่านี้มีการตั้งเป้าหมายที่ต้องการทำชัดเจน ในขณะที่อีก 47% มุ่งเน้นไปยังการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่าง หาเพื่อนและตั้งกำหนดการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การหาผู้อื่นมาร่วมด้วยปณิธานเดียวกัน ไม่ว่าจะเพื่อขอแรงสนับสนุน หรือการที่คุณเป็นผู้สนับสนุนเขา ก็อาจช่วยเช่นกัน บางคนที่คิดจะออกกำลังกายให้มากขึ้น อาจพบว่าการไปเข้ากลุ่มนักวิ่งหรือเข้าคลาสออกกำลังกายกับเพื่อนๆ นั้นมีประโยชน์กว่าทำคนเดียว เพราะช่วยให้กิจกรรมเหล่านั้นมีความเคร่งเครียดน้อยลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้คุณจัดตารางเวลาในปฏิทินให้แน่นอนเพื่อช่วยให้คุณแน่วแน่กับปณิธานอยู่เสมอ จากการล็อกเวลาเฉพาะในแต่ละวันเพื่อมุ่งมั่นไล่ตามเป้าหมาย ใจดีกับตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นอย่าคาดหวังความสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากบางเวลาคุณจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุปณิธาน หรือไม่ก็นึกอยากยอมแพ้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปณิธานอันยอดเยี่ยมอาจเป็น ‘ฉันจะตัดสินตัวเองให้น้อยลง’ ก็ได้” Tamara Russell จาก British Psychological Society เล่าว่า “ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า ยิ่งเรามีความเมตตากรุณาต่อตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีความเมตตากรุณาต่อคนอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด หากวันที่ 1 มกราคมดูจะไม่ใช่วันที่เหมาะสมในการตั้งปณิธานใหม่ๆ สำหรับคุณ ก็เลือกวันอื่นที่คุณสะดวกได้เลย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Russell บอกว่า “มันไม่สมเหตุสมผลเลย” ที่จะล็อกการตั้งปณิธานใหม่ๆ ไว้กับช่วงปีใหม่เท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อช่วงเวลาดังกล่าวเป็นฤดูหนาวที่สรรพสิ่งส่วนใหญ่ในธรรมชาติต่างก็พักจำศีลกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Russell มองว่าฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตและฟื้นคืนชีวิต อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่าสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเพื่อคงไว้ซึ่งปณิธานอันแรงกล้า เธอแนะนำให้ทุกคนคอยทบทวนในแต่ละสัปดาห์ ว่าสิ่งใดที่ทำลงไปแล้วเห็นผล สิ่งใดที่ทำลงไปแล้วไม่เห็นผล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หมั่นขัดเกลาตัวเอง และอย่ากลัวที่จะปรับปรุงและแก้ไขสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ลองศึกษาพฤติกรรมของตัวเองดู” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://apnews.com/article/new-year-resolutions-goals-tips-76ef800850455462ea2ff14323044d4c" alt="Making any New Year’s resolutions? Here are some tips to help make them stick">Making any New Year’s resolutions? Here are some tips to help make them stick</a>​<a href="https://www.pexels.com/photo/hands-writing-new-year-s-resolutions-5717430/" alt="Photo by Polina Kovaleva">Photo by Polina Kovaleva</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/nandan-nilekani-be-curious-connected-and-relevant" alt="“เปิดใจเรียนรู้ พัฒนา Soft Skill” กุญแจสู่ความสำเร็จของมนุษย์ยุค AI ในมุมมอง Nandan Nilekani">“เปิดใจเรียนรู้ พัฒนา Soft Skill” กุญแจสู่ความสำเร็จของมนุษย์ยุค AI ในมุมมอง Nandan Nilekani</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

5 เคล็ดลับพิชิตเป้าหมาย เปลี่ยนตัวเองรับปีใหม่ ไม่ให้หมดกำลังใจระหว่างทาง

<h2>หากถาม Nandan Nilekani ผู้ร่วมก่อตั้ง Infosys บริษัทไอทียักษ์ใหญ่สัญชาติอินเดีย ว่าอะไรคือกุญแจสู่ความสำเร็จในการพลิกโฉมภูมิทัศน์ของการทำงาน คำตอบอาจเรียบง่ายกว่าที่คุณคิด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nandan Nilekani ร่วมก่อตั้ง Infosys บริษัทด้านไอทีและการให้คำปรึกษาในปี 1981 โดยดำรงตำแหน่งซีอีโอตั้งแต่ปี 2002 - 2007 และในปี 2009 จึงเกิด Aadhaar ฐานข้อมูลกลางที่รวบรวมข้อมูลอัตลักษณ์ทางชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความทุ่มเทในการทำงานด้านเทคโนโลยียังนำพาให้เขาขึ้นแท่นมหาเศรษฐีระดับโลก โดยล่าสุด Forbes ประเมินว่าเขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางสถานการณ์ที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน และเกิดความกังวลเกี่ยวกับการทำงานในอนาคต ฝั่ง Nilekani ชี้ว่าทุกคนควรโฟกัสกับการสร้างทักษะด้านอารมณ์และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือ Soft Skill ที่ AI ไม่สามารถทำได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จงกระหายที่จะเรียนรู้ เชื่อมโยง และเท่าทันสถานการณ์ปัจจุบัน” Nilekani เผยกับ Ryan Roslansky ซีอีโอของ LinkedIn ในตอนหนึ่งของรายการ The Path ว่า “ผมตื่นขึ้นมาทุกเช้าพร้อมความต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเปิดใจให้กว้าง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งนี้เองเป็นเสมือนคาถาวิเศษที่ช่วยผลักดัน Nilekani ตลอดชีวิตการทำงานของเขา มหาเศรษฐีวัย 69 ปีผู้นี้เติบโตมาในประเทศอินเดียช่วงยุค 60s ถึง 70s ซึ่งพ่อแม่มักกำหนดอนาคตของลูกๆ ไว้ว่า ถ้าไม่เป็นหมอ ก็ต้องเป็นวิศวกร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nilekani เลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ก็จริง แต่กลับเข้าเรียนในสถาบันที่พ่อของเขาไม่อนุมัติ ทั้งยังเลือกวิศวกรรมไฟฟ้าแทนวิศวกรรมเคมีตามที่พ่อของเขาต้องการอีกต่างหาก โดยเขาจบการศึกษาจาก IIT Bombay ในปี 1978 และพบว่าตัวเองหลงใหลในเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ณ ช่วงเวลานั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาได้งานที่ Putney Computer Systerms บริษัทด้านเทคโนโลยี ภายได้การนำของ N.R. Narayana Murthy ผู้ซึ่งภายหลังจะจับมือกับเขาร่วมก่อตั้ง Infosys&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nilekani มองว่าปัจจัยที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจากนิสัยชอบเก็บข้อมูล และตื่นเต้นกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยย้ำว่าความกระหายที่จะเรียนรู้ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ความรักในธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมเป็นผู้ประกอบการโดยไม่ได้ตั้งใจ” เขาเผยกับ Roslansky “ผมไม่ได้ตั้งต้นว่าอยากเป็นผู้ประกอบการ แต่เมื่อผมก้าวขาเข้ามาแล้ว ผมจึงตระหนักว่านี่แหละคือที่ของผม” เปิดใจเรียนรู้ หรือ ย่ำอยู่กับที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้นับเป็น Soft Skill ที่ประเมินค่ามิได้ โดยสองนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงอย่างมหาเศรษฐีนักลงทุน Mark Cuban และซีอีโอ Amazon คนปัจจุบัน Andy Jassy ต่างก็สนับสนุนกับแนวคิดนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมอาจทำเหมือนตัวเองคาดการณ์แนวโน้มและผลกระทบของ AI ต่อตลาดงานได้ แต่นั่นย่อมเป็นการโกหก เพราะผมไม่รู้อะไรเลย” Cuban เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา “แต่ผมตระหนักว่าควรให้ความสำคัญ ทำงานอย่างกระฉับกระเฉง ขณะที่ยังรักษาความกระหายการเรียนรู้ และพร้อมจะปรับตัว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในกรณีของ Jassy เขาเคยเปิดเผยผ่านวิดีโอบน YouTube ช่อง Inside Amazon ในเดือนกรกฎาคม 2024 ว่า การหมั่นติดตามและพัฒนาตัวเองให้เท่าทันทักษะใหม่ๆ รวมถึงโลกรอบตัวนับเป็นปัจจัยสำคัญสู่เส้นทางอาชีพอันรุ่งโรจน์ ใครที่ไม่คิดเปลี่ยนแปลงก็จะต้องย่ำอยู่กับที่ไปเรื่อยๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจาก Pew Research Center เมื่อปี 2022 เปิดเผยว่า 19% ของกลุ่มแรงงานทักษะในสหรัฐอยู่ในอาชีพที่ AI อาจเข้ามาช่วยเหลือ หรือ AI อาจมาแทนที่ได้ แม้สถิติดังกล่าวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นต่อเนื่อง Nilekani เชื่อว่า Soft Skill จะเป็นเหมือนทางด่วนที่ทำให้คนมุ่งไปสู่ความสำเร็จได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อนาคตนั้นเกี่ยวกับว่า มีอะไรที่มีเพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้” เขากล่าว “ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจ…จงรักษาความกระหายที่จะเรียนรู้ เชื่อมโยง และเท่าทันสถานการณ์ปัจจุบัน” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2024/12/24/tech-billionaire-shares-his-5-word-piece-of-advice-for-a-successful-future.html" alt="Tech billionaire shares his 5-word piece of advice for a successful future: ‘I get up every morning’ with it in mind">Tech billionaire shares his 5-word piece of advice for a successful future: ‘I get up every morning’ with it in mind</a>​ภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/jensen-huang-nvidia-time-management" alt="“อย่าทำทุกอย่าง-จัดลำดับความสำคัญ” วิธีบริหารเวลาแบบ Jensen Huang">“อย่าทำทุกอย่าง-จัดลำดับความสำคัญ” วิธีบริหารเวลาแบบ Jensen Huang</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“เปิดใจเรียนรู้ พัฒนา Soft Skill” กุญแจสู่ความสำเร็จของมนุษย์ยุค AI ในมุมมอง Nandan Nilekani

<h2>Michael Dell เริ่มต้นธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ขึ้นในหอพักของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสตินเมื่อปี 1984 ซึ่งธุรกิจดังกล่าวได้เติบโตมาเป็นบริษัท Dell Technologies ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ส่วนตัวเขาก็ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีโลกของ Forbes ประจำปี 2024 ที่อันดับ 16 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 9.1 หมื่นล้านเหรียญ แต่กว่าจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ได้นั้น เขาต้องพบเจอกับความล้มเหลวถึง 5 ครั้ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2021 มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Dell Technologies เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC พร้อมเผยมุมมองที่เขามีต่อความล้มเหลว จากประสบการณ์อันยาวนานตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจในวัย 19 ปี สู่การเป็นผู้นำองค์กรธุรกิจคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก&nbsp; &nbsp; Michael Dell กล่าวว่า หากคุณเป็นผู้ก่อตั้งที่ดี “คุณจะต้องพบกับความผิดพลาดครั้งใหม่ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน” และชี้ว่า “มีสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คุณจะต้องล้มเหลว ทดลอง เรียนรู้ และท้ายที่สุดก็จะพบผลลัพธ์คือหนทางสู่ความสำเร็จ ดังนั้นจงอย่ากลัวที่จะผิดพลาดบ้าง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dell อธิบายว่า ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องแย่ ตราบเท่าที่สามารถเรียนรู้จากมันได้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ความผิดพลาดเหล่านั้นไม่ใช่ความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น และหากใครที่ยังไม่เห็นภาพ ขอให้ลองพิจารณาจากกรณีศึกษาความล้มเหลว 5 ครั้งของ Dell และหนทางก้าวข้ามมันของเขา ดังนี้ ล้มเหลวครั้งที่ 1 ลาออกจากมหาวิทยาลัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เป็นที่ทราบกันดีว่าตำนานของ Dell เริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน ที่ซึ่งเขาเข้าเรียนในฐานะนักศึกษาเตรียมแพทย์ แต่ระหว่างทางเขาก็ได้เริ่มต้นธุรกิจคอมพิวเตอร์และตัดสินใจหยุดเรียนเพื่อทุ่มเทให้กับธุรกิจนี้ ซึ่งหลายคนอาจมองว่าการไม่มีใบปริญญาหรือเกรดเฉลี่ยสูงๆ นั้นเท่ากับความล้มเหลว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนทางก้าวข้าม: การตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยของ Dell ไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นความคิดเชิงกลยุทธ์ เขาพิจารณาและเล็งเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ จึงปรับเป้าหมายสู่การเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเน้นย้ำความสำคัญของการเดินตามแพสชั่นรวมถึงความกล้าที่จะพาตัวเองออกจากแบบแผนเพื่อไขว่คว้าความสำเร็จ ล้มเหลวครั้งที่ 2 เสียงตอบรับ Turbo PC ไม่ดีดังหวัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในระยะเริ่มต้นของธุรกิจ Dell ต้องเผชิญกับความล้มเหลวในการขายคอมพิวเตอร์ Turbo PC ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์แรกๆ ของบริษัท โดย Turbo PC ไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เนื่องจากราคาที่แพงเกินไปและฟีเจอร์ที่จำกัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง นับเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบชื่อเสียงของบริษัทในฐานะหน้าใหม่ในตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนทางก้าวข้าม: Dell มองความล้มเหลวครั้งนี้เป็นโอกาสในการเรียนรู้แทนที่จะยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้ เขาศึกษาทำความเข้าใจความต้องการของตลาด และปรับทิศทางมุ่งยึดเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยให้ความสำคัญกับคอมพิวเตอร์ที่มีความพิเศษและราคาจับต้องได้ส่งตรงถึงผู้บริโภค พลิกความผิดพลาดเป็นตัวกระตุ้นความสำเร็จในอนาคต ล้มเหลวครั้งที่ 3 เมื่อเลือกขยายหน้าร้านผิดเวลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dell หันมารุกทำหน้าร้านแบบรีเทลช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s เพื่อขยายธุรกิจคอมพิวเตอร์ของเขา อย่างไรก็ตาม การขยายกิจการในครั้งนี้กลับมีค่าใช้จ่ายมหาศาล เพิ่มต้นทุนและลดผลกำไร สั่นคลอนสถานะทางการเงินของบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนทางก้าวข้าม: เมื่อตระหนักว่าการทำร้านแบบรีเทลคือหลุมพรางอันตราย Dell จึงหันหัวเรือกลับสู่การส่งสินค้าตรงถึงผู้บริโภค เขาพัฒนาการดำเนินงานให้ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและยกเลิกแผนการกับบรรดาคู่ค้ารีเทล ทำให้บริษัทได้ศักยภาพในการแข่งขันคืนมา อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการยึดแก่นหลักของการทำธุรกิจเอาไว้ ล้มเหลวครั้งที่ 4 ไม่สามารถเจาะตลาดสมาร์ทโฟน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงต้นยุค 2000s ที่เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือมาแรง บริษัทของ Dell กลับตามหลังบรรดาคู่แข่งในตลาดสมาร์ทโฟน แม้จะพยายามเจาะตลาดด้วยผลิตภัณฑ์อย่างแท็บเล็ต Dell Streak แต่บริษัทก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจจากลูกค้า ทำให้ต้องเสียโอกาสมากมาย และส่วนแบ่งทางการตลาดก็ตกลงมหาศาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนทางก้าวข้าม: Dell อ้าแขนโอบรับการปรับตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรม ภายใต้การนำของเขา Dell Technologies ขยับขยายไลน์ธุรกิจจากคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม สู่คลาวด์คอมพิวติ้ง ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการวิเคราะห์ดาต้า มีการพัฒนาด้านการบูรณาการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยวางตำแหน่งของบริษัทในฐานะผู้นำยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวอย่างยืดหยุ่นท่ามกลางภูมิทัศน์ด้านเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลง ล้มเหลวครั้งที่ 5 สูญเสียตำแหน่งเจ้าตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ประสบความสำเร็จในระยะแรกเริ่ม Dell Technologies กลับเผชิญการแข่งขันอันดุเดือดของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ทำให้ทั้งส่วนแบ่งการตลาดและความสามารถในการทำกำไรตกลง บริษัทต้อนดิ้นรนปรับแผนการภายใต้การนำของ Dell เพื่อให้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง โดยเปลี่ยนจากการเป็นบริษัทที่ยึดฮาร์ดแวร์เป็นหลักสู่ผู้ให้บริการด้านโซลูชันที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าองค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนทางก้าวข้าม: หลังเล็งเห็นความจำเป็นในการปรับตัว Dell ก็กุมบังเหียนบริษัทอ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง คราวนี้เขาตั้งเป้าไว้ที่การมอบโซลูชันด้านเทคโนโลยีแบบครบวงจร พลิกให้ Dell Technologies กลับมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมได้อีกครั้ง ตอกย้ำว่าความยืดหยุ่นและความว่องไวในการรับมือกับตลาดที่เกิดการวิวัฒน์ไม่หยุดนิ่งคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว ความล้มเหลวทั้ง 5 ครั้งและทุกการก้าวข้ามซึ่งปัญหาของ Dell สะท้อนความสำคัญของทัศนคติ ความยืดหยุ่นในการปรับตัว และความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่รายนี้มองความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ และพร้อมจะหาหนทางพัฒนาเพื่อก้าวไปข้างหน้าเสมอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dell ยังเผยในการสัมภาษณ์กับ CNBC ว่าการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ก็สำคัญเช่นกัน ต้องมองการขับเคลื่อนนวัตกรรมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว นอกจากนี้อีกสิ่งที่ Dell แบ่งกันคือการ ‘เป็นคนดี’ ที่แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ไม่ควรละเลย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เมื่อเวลาผ่านไป การได้รับชัยชนะมาอย่างถูกต้องนั้นนับว่ามีความหมายอย่างมาก” เขากล่าว “ชีวิตสั้นเกินกว่าจะทำแบบอื่น ผมไม่อยากจะใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ผิดพลาดหรอกครับ” แหล่งที่มา:​<a href="https://cioinfluence.com/it-skills/success-of-dell-technologies-the-leadership-journey-of-michael-dell/" alt="Success of Dell Technologies: The Leadership Journey of Michael Dell">Success of Dell Technologies: The Leadership Journey of Michael Dell</a>​ ​<a href="https://www.cnbc.com/2021/10/14/michael-dell-on-the-simple-way-to-tell-a-good-mistake-from-a-bad-one.html" alt="Michael Dell on the simple way to tell a good mistake from a bad one">Michael Dell on the simple way to tell a good mistake from a bad one</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/secrets-to-business-longevity-of-securitas" alt="‘ปรับตัว-ใส่ใจลูกค้า-ดูแลบุคลากร’ เคล็ดลับสู่ธุรกิจที่มั่นคงถึง 90 ปี ฉบับผู้นำ Securitas">‘ปรับตัว-ใส่ใจลูกค้า-ดูแลบุคลากร’ เคล็ดลับสู่ธุรกิจที่มั่นคงถึง 90 ปี ฉบับผู้นำ Securitas</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ล้ม 5 ครั้ง ลุก 5 ครั้ง’ กรณีศึกษาของ Michael Dell ผู้เรียนรู้จากความล้มเหลว

<h2>เราต่างก็ซึมซับและซาบซึ้งกับเรื่องราวความสำเร็จของบรรดาผู้ที่ก้าวสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว</h2><h2> </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Mark Zuckerberg วัย 19 ปีสร้าง Facebook จากห้องในหอพักของมหาวิทยาลัยก่อนจะก้าวเป็นมหาเศรษฐีสายเทคผู้ทรงอิทธิพล&nbsp; &nbsp; Elon Musk มาไกลจากประเทศแอฟริกาใต้ก่อนจะพาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำบริษัทต่างๆ ซึ่งทำให้เขากลับกลายเป็นบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jeff Bezos เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจในโรงรถชานเมือง แล้วจึงเปลี่ยนร้านหนังสือออนไลน์ของตนสู่ร้านค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทว่าสิ่งที่มักถูกละเลยไปในการบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าคือเหล่าผู้คนที่ทำงานและประกอบอาชีพธรรมดาสามัญ การเป็นดอกไม้ที่บานช้าในอาชีพนั้นแสนจะปกติ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประสบความสำเร็จทันทีทันใด หากคุณไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้ฝึกงานกับ Wall Street หรือมาจากครอบครัวร่ำรวยมีคอนเนคชั่นมากมาย คุณอาจรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ อย่าเพิ่งสิ้นหวัง เพราะเรายังมีเวลามากพอจะไล่ตามให้ทันหรือไม่ก็อาจแซงหน้าคนที่เริ่มต้นเร็วกว่าด้วยซ้ำ การทำงานก็เหมือนการแข่งวิ่งมาราธอนบนเส้นทางวิ่งวิบาก ยาวไกล ยุ่งยาก และเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามที่คุณต้องฝ่าฟัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวลาสามารถเป็นสหายเคียงข้างคุณได้ ยิ่งผู้คนอายุยืนขึ้น ก็อาจทำงานจนถึงอายุ 60 ปลายๆ หรือเลยไปยัง 70 ทำให้คุณมีเวลามากพอจะพลิกมาเป็นผู้ชนะ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมีความตั้งใจแน่วแน่ คุณสามารถชดเชยเวลาที่เสียไปได้ ลองมองหาพรสวรรค์ในตัวคุณ สัมผัสความปรารถนาอันแรงกล้า ให้ความสำคัญกับการลับจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครและทำให้คุณพิเศษ อย่าลืมอดทน สร้างเครือข่ายอันแข็งแกร่ง และเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ก้าวข้ามความกดดันทางสังคม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จงก้าวข้ามความกดดันทางสังคมที่สร้างค่านิยมการบรรลุเป้าหมายตั้งแต่อายุน้อย คอยมองหาสิ่งที่มีความหมายกับตัวคุณเองมากที่สุด ให้ความสำคัญกับการค้นพบตัวเอง ก้าวไปบนเส้นทางที่มีไว้เพื่อคุณโดยเฉพาะ ตั้งเป้าหมายของตัวเอง สร้างระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่ง และอย่าใจร้อน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก้าวแรกของการเอาชนะความกดดันทางสังคมคือการหาว่าอะไรที่สำคัญกับคุณที่สุดรวมถึงที่ๆ เหมาะสมกับคุณ สิ่งนี้จำเป็นสำหรับการวางเส้นทางและจุดมุ่งหมายในชีวิต ลองเขียนรายการสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับตัวคุณเองเพื่อเสริมความมั่นใจ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายการนี้ควรมีคุณลักษณะและจุดแข็งเชิงบวกที่ไม่ผูกมัดกับความสำเร็จภายนอก แทนที่จะนิยามความสำเร็จกับการบรรลุเป้าหมายภายนอกเพียงอย่างเดียว ให้นิยามมันใหม่โดยเติมการเติบโตของตัวเอง ความสัมพันธ์ และความสุขลงไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่าลืมคอยสังเกตว่ามุมมองด้านคุณค่าในตัวเองของคุณลดลงจากสิ่งที่เกิดขึ้นหรือยังไม่เกิดขึ้นหรือเปล่า ตระหนักรู้การพูดคุยกับตัวเองในเชิงลบและแทนที่ด้วยทัศนคติเชิงบวก โอบกอดคุณค่าในตัวเองอย่างไร้เงื่อนไข เชื่อว่าตัวเองมีคุณค่าง่ายๆ เพราะว่าคุณดำรงอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการบรรลุเป้าหมายหรือสถานการณ์ภายนอก คุณสามารถเข้าถึงคุณค่าในตัวเองผ่านการฝึกฝนการยอมรับ การรัก และการดูแลตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แทนที่จะพยายามสนองความคาดหวังของสังคม ให้ตั้งเป้าและลำดับความสำคัญของตัวเองโดยอ้างอิงจากสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับคุณ อยู่ท่ามกลางผู้คนที่พร้อมสนับสนุนและให้กำลังใจคุณ เช่น เพื่อน ครอบครัว ที่ปรึกษา และเพื่อนร่วมงาน พวกเขาคอยนำทาง ชี้แนะ และสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระลึกไว้เสมอว่าคนเราประสบความสำเร็จได้ในทุกช่วงอายุ และความอดทนคือกุญแจ อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นที่อาจเริ่มต้นหน้าที่การงานหรือพิชิตหลักไมล์ได้เร็วกว่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ดอกไม้ที่บานช้าทว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;J.K. Rowling เคยเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่พึ่งพาสวัสดิการก่อนหนังสือ Harry Potter เล่มแรกจะถูกตีพิมพ์เมื่อเธออายุ 32 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Ray Kroc ทำงานขายเครื่องทำมิลค์เชคก่อนจะซื้อ McDonald,s ตอนอายุ 52 และพลิกมันสู่อาณาจักรฟาสต์ฟู้ดระดับโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Vera Wang เริ่มต้นการเป็นนักสเก็ตลีลาและนักข่าวก่อนผันตัวมาเป็นนักออกแบบแฟชั่นตอนอายุ 40 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Julia Child ทำงานเป็นนักเขียนโฆษณาและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองก่อนตีพิมพ์หนังสือทำอาหารเล่มแรก Mastering the Art of French Cooking ขณะอายุ 50 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Stan Lee ทำงานเป็นนักเขียนการ์ตูนและบรรณาธิการอยู่หลายสิบปีก่อนจะสร้างสรรค์ตัวละครอันโด่งดังเป็นตำนานต่างๆ ไม่ว่าจะ Spider-Man หรือ X-Men ตอนอายุ 40 กว่าๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Samuel L. Jackson เป็นนักแสดงสู้ชีวิตมาหลายปีก่อนจะเริ่มเปล่งประกายจากบทบาทในภาพยนตร์ School Daze โดยผู้กำกับ Spike Lee เมื่ออายุได้ 40 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Harland David Sanders หรือที่รู้จักกันในนามผู้พันแซนเดอร์สแห่ง Kentucky Fried Chicken (KFC) เปิดร้านแฟรนไชส์ของตัวเองเป็นครั้งแรกตอนอายุ 62 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก If You Were A Late Starter, Here s How To Catch Up In Your Career ซึ่งเผยแพร่บน Forbes &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70871" alt="คณิสสร์ ศรีวชิระประภา ใส่เกียร์ NEX พุ่งเป้าหมื่นล้าน">คณิสสร์ ศรีวชิระประภา ใส่เกียร์ NEX พุ่งเป้าหมื่นล้าน</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เริ่มต้นช้าดีกว่าไม่ได้เริ่ม เมื่อความสำเร็จไม่มีคำว่าสายเกินไป

<h2 class="p1">เพราะการ “ประสบความสำเร็จ” ไม่ได้ได้มาโดยง่าย ในความเป็นจริงแล้ว มีปัจจัยมากมายที่ทำให้นักธุรกิจประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าการทำงานอย่างหนักและอดทนเป็นสิ่งที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทุกคนมี แต่เชื่อหรือไม่ว่า “คนอื่น” เป็นแรงขับเคลื่อนชั้นดีที่จะทำให้เราพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ</h2>
เพราะคนที่อยู่รอบตัวนั้นส่งผลต่อทั้งวิธีคิด การแสดงออก และความรู้สึกในแต่ละวัน ในหลายครั้งการ "ประสบความสำเร็จ" ในการทำธุรกิจจึงเหมือนกับความสำเร็จในด้านอื่นของชีวิต เช่น เด็กๆ ที่อยากเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ ก็จะพาตัวเองเข้าไปอยู่กับคนที่ผลักดันให้เขาดีขึ้น ไม่ใช่คนที่ทำให้เขาสนใจในสิ่งนี้น้อยลง
แล้วคนแบบไหนที่ผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จมากขึ้นจะต้องพาตัวเองไปใกล้ชิด ลองไปดูกัน
&nbsp;
<h2 class="p1">1.คนที่ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย</h2>
คุณอาจรู้จักมนุษย์ที่มีลักษณะแบบนี้อยู่บ้าง หรือบางทีคนนั้นก็อาจเป็นคุณเอง โดยคนลักษณะนี้จะผลักดันให้เราทำงานหนักขึ้นทุกวัน เพราะเขาทำงานด้วยแพสชั่นและความมุ่งมั่นที่แท้จริง ซึ่งสองสิ่งนี้จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้
&nbsp;
<h2 class="p1">2.คนที่มีทัศนคติบวก</h2>
คนเรานั้นมีแนวโน้มจะทำบางสิ่งได้ดีขึ้นหากมีความสุข ทัศนคติเชิงลบนั้นจะบั่นทอนความรู้สึกอยากทำงาน ไม่สร้างแรงบันดาลใจใดๆ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ การพาตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดล้อมของคนทัศนคติเชิงลบอาจทำให้ความคิดสร้างสรรค์และแรงขับเคลื่อนในชีวิตชะงักลงได้ ในที่สุดก็จะทำให้ธุรกิจของคุณไปไม่ถึงไหนหรือย่ำแย่ลง ขณะที่คนที่มีทัศนคติเชิงบวกก็จะให้ผลตรงกันข้าม รวมถึงช่วยให้คุณไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำความสุขมาในที่ทำงานยังช่วยให้พนักงานมีขวัญกำลังใจและก้าวมองไปข้างหน้า

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/hr/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2.html">งานวิจัยทางจิตวิทยาชี้ “คนรวย” มีพื้นฐานบุคลิกภาพแตกต่างจากคนทั่วไป</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h2 class="p1">3.คนที่เป็นนักตั้งคำถาม</h2>
Albert Einstein เคยกล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือต้องไม่หยุดตั้งคำถาม” สำหรับผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจแล้ว เราควรตั้งคำถามถามเกี่ยวกับตัวเราและธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่แค่ใครคนเดียวที่จะคิดคำถามสำคัญได้ทุกข้อ จึงควรพาตัวเองไปอยู่กับนักตั้งคำถามหลายๆ คน เพราะมุมมองที่แตกต่างมักเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามนั่นเอง และในที่สุดคำถามเหล่านี้ก็อาจนำไปสู่การพัฒนาที่สำคัญสำหรับธุรกิจ
<img class="alignnone wp-image-7985" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/people-2557396_960_720.jpg" alt="" width="854" height="569" />

&nbsp;
<h2 class="p1">4.นักฝัน</h2>
การตั้งเป้าหมายและการทำงานอย่างหนักนั้นช่วยให้บรรลุในสิ่งที่หลายคนอาจคิดว่าคุณทำไม่ได้ และเพื่อให้มีแรงขับเคลื่อนต่อไป คุณจึงควรพาตัวเองเข้าไปอยู่กับคนที่เป้าหมายคล้ายๆ กัน โดยนักฝันเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณก็ได้ สิ่งสำคัญคือคุณต้องอยู่ใกล้กับคนที่มีแผนใหญ่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขา เฝ้ามองแรงขับเคลื่อนของคนอื่นจะช่วยให้อยากจะไปให้ถึงเป้าหมายมากขึ้น
ตัวคุณนั้นคือผลลัพธ์จากคนที่คุณใช้เวลาด้วย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณข้องเกี่ยวโดยตรงกับคนที่จะผลักดันคุณ สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ และกระตุ้นให้คุณทำและเป็นในสิ่งที่ดีขึ้น การเติบโตของธุรกิจของคุณก็เหมือนกับการเติบโตของชีวิต มีเปลี่ยนโรงเรียน คบเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้น หากคุณอยากจะมีชีวิตดั่งที่ฝัน สิ่งที่คุณเลี่ยงไม่ได้คือเเชื่อในการทำงานอย่างหนัก คิดบวก และมองโลกในแง่ดีเข้าไว้
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.businessinsider.com/surround-4-types-of-people-successful-2019-5">To become more successful, surround yourself with these 4 types of people</a></li>
</ul>

4 ลักษณะของคนที่คุณพาตัวเองเข้าไปอยู่ด้วย หากอยาก "ประสบความสำเร็จ" มากขึ้น

<h2>Madonna อายุครบ 60 ปีเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2018 เราขอชวนคุณย้อนชมข้อมูลเชิงตัวเลขที่สะท้อนความสำเร็จของเธอทั้งในเชิงอาชีพการงานและชีวิต หกทศวรรษของ Madonna เป็นอย่างไรบ้าง</h2>
1990: คือปีที่ Madonna ขึ้นปก Forbes พร้อมกับพาดหัว “นักธุรกิจหญิงที่ฉลาดที่สุดของอเมริกา?”

590 ล้านเหรียญ: คือตัวเลขทรัพย์สินสุทธิของ Madonna คำนวณเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดย Forbes

36: เธอคือผู้หญิงที่รวยที่สุดจากการสร้างฐานะด้วยตนเองอันดับที่ 36 ของสหรัฐฯ

<figure><img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9f68cafbaf51f8d39c965f730ab7a969.jpg" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> Madonna บนปก Forbes ในปี 1990 (photo credit: FORBES archive)</figcaption></figure>

&nbsp;

3,044,574 เหรียญสหรัฐฯ: คือตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อคอนเสิร์ตหนึ่งครั้งของ Madonna ในรอบ 36 เดือนที่ผ่านมา รายงานโดย Pollstar

0: เธอไม่ได้ขึ้นโชว์คอนเสิร์ตเลยตั้งแต่ต้นปี 2017

<img style="width: 638px; height: 429px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d570fb32619f50559f2cccb6b1c577cb.jpg" alt="" />
Madonna บนเวทีคอนเสิร์ต Rebel Heart Tour วันที่ 5 ธันวาคม 2015 ที่ Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์

1.6 ล้าน: คือตัวเลขเฉลี่ยยอดเข้าชมวิดีโอของ Madonna บน YouTube ในหนึ่งวัน

84 ล้าน: คือยอดเข้าชมมิวสิกวิดีโอ “Vogue” อันโด่งดังบน YouTube

2: คือจำนวนอัลบัมของ Madonna ที่ RIAA ให้การรับรองว่ามียอดขายมากกว่า 10 ล้านหน่วย (อัลบัมดังกล่าวคือ Like a Virgin และ The Immaculate Collection)

<figure><img style="width: 638px; height: 427px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c7701300f8fc0e6a427d6473ab0046c9.jpg" alt="" width="638" height="427" /><figcaption> Madonna ในเพลง Vogue บนเวที MTV Music Awards ปี 1990 (photo credit: FRANK MICELOTTA/IMAGEDIRECT)</figcaption></figure>

3: จำนวนทาวน์เฮาส์ที่ถูกปรับปรุงให้เชื่อมต่อกันเพื่อสร้างบ้านหน้ากว้าง 3 เท่าจากปกติของ Madonna ใน Manhattan ซึ่งเธอเป็นเจ้าของในราคา 40 ล้านเหรียญ เมื่อปี 2009

9: จำนวนเตาผิงในบ้านดังกล่าวของเธอ

91: จำนวนบทบาทที่เธอเคยแสดงรวมทั้งในภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์สั้น

85: จำนวนชุดเครื่องแต่งกายที่ Madonna ใช้เปลี่ยนในภาพยนตร์เรื่อง Evita

<figure><img style="width: 638px; height: 468px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3656aa8c978d492cd538e5c616d54d79.jpg" alt="" width="638" height="468" /><figcaption> Madonna ในงาน Met Gala 2018</figcaption></figure>

28: จำนวนครั้งที่ Madonna ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy

7: และในจำนวนนั้น Madonna ชนะรางวัล Grammy ทั้งหมด 7 ครั้ง

100,000 เหรียญ: คือราคาประมูลเริ่มต้นของจดหมายรักฉบับเดียวที่ Madonna เขียนถึงนักร้อง Tupac Shakur

7.5 ล้านเหรียญ: คือยอดเงินระดมทุนของเธอในงานอีเวนท์เมื่อปี 2016 ใน Miami ที่จัดขึ้นเพื่อช่วยระดมทุนให้กับ สถาบันกุมารศัลยกรรมและหอผู้ป่วยเด็กวิกฤต Mercy James ประเทศมาลาวี ที่เธอเป็นผู้ก่อตั้ง (ประเทศบ้านเกิดของลูกบุญธรรมของเธอ)

1,690: คือจำนวนครั้งของการผ่าตัดกุมารศัลยกรรมที่เกิดขึ้นในสถาบันดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก Madonna At 60: The Material Girl By The Numbers โดย Zack O’Malley Greenberg บรรณาธิการอาวุโสด้านสื่อและธุรกิจบันเทิงของ Forbes

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events