<h2>ทีเอ็มบีธนชาตหรือ ทีทีบี ส่ง “ทีทีบี คอนซูมเมอร์” รุกตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลครบวงจร ผ่านผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่างๆ โดยชู 3 กลยุทธ์หลักขับเคลื่อนสู่ 1 ใน 4 ผู้นำตลาดภายใน 3 ปี พร้อมเป้าหมายผู้ถือบัตรเครดิตและยอดใช้จ่ายเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยกิจกรรมทางการตลาดที่จัดเต็มตลอดครึ่งปีหลัง</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-68010" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/ฐากร-ปิยะพันธ์.jpg" alt="" width="650" height="433" />

ฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัว แต่จากภาวะเงินเฟ้อในช่วง 7 เดือนแรกของปีที่ปรับสูงถึง 5.89% ส่งผลให้ค่าครองชีพประชาชนสูงขึ้น และมีกำลังซื้อที่เปราะบางมากขึ้น โดยเห็นได้ชัดจากตัวเลขของเสิร์ชเอนจินในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาคนไทยมีพฤติกรรมค้นหา “สินเชื่อเงินด่วน” เพิ่มขึ้นกว่า 2.5 เท่า

สอดคล้องกับข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยที่พบว่า ความต้องการสินเชื่อภาคครัวเรือนมีแนวโน้มขยับตัวขึ้นในสินเชื่อทุกประเภทในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 อันเกิดจากประชาชนยังต้องการหาแหล่งเงินกู้ เพื่อเป็นตัวเลือกในการรับมือกับภาระค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวสูงขึ้น

ขณะที่ทีเอ็มบีธนชาตได้ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ด้านการเงินในทุกมิติให้คนไทยในทุกช่วงวัยและทุกสถานการณ์ โดยมุ่งเชิญชวนลูกค้าให้ความสำคัญเรื่องของการฉลาดออม ฉลาดใช้ และวางแผนการเลือกใช้สินเชื่อที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและแบ่งเบาภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาได้ช่วยลูกค้ากว่า 2 แสนรายให้เข้าถึงแหล่งเงิน เพิ่มสภาพคล่องในยามฉุกเฉินผ่านบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด ช่วยให้ลูกค้ากว่า 4.3 หมื่นรายมีสภาพคล่องได้แบ่งเบาภาระดอกเบี้ยผ่านสินเชื่อบุคคล เป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 8 พันล้านบาท

“การได้ช่วยเหลือลูกค้าให้เข้าถึงแหล่งเงินในระบบผ่านโซลูชันการเงินที่ครบวงจร พร้อมนำเสนอ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ทีเอ็มบีธนชาตเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในตลาดคอนซูมเมอร์ จึงได้ตั้งเป้าก้าวสู่ 1 ใน 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลภายใน 3 ปี ด้วยการมอบโซลูชันทางการเงินที่ดีที่สุดด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลแบบครบวงจร (ทีทีบี คอนซูมเมอร์) แบบครบวงจร ผ่านกลยุทธ์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ Digital &amp; Innovation สร้าง Partnership ทางธุรกิจ และการขับเคลื่อนด้วยการใช้ Data มากขึ้น”

<img class="alignnone size-full wp-image-68009" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/จเร-เจียรธนะกานนท์.jpg" alt="" width="650" height="433" />

ด้าน จเร เจียรธนะกานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ทีเอ็มบีธนชาต และกรรมการผู้จัดการ ทีทีบี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล หรือ ทีทีบี คอนซูมเมอร์ของธนาคาร ได้ให้บริการผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้ารายย่อยแบบครบวงจร ด้วยความหลากหลายของบัตรเครดิตที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและบัตรกดเงินสดช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

สำหรับเป้าหมายภาพรวมธุรกิจ ทีทีบี คอนซูมเมอร์ ปี 2565 ธนาคารได้วางเป้าหมายลูกค้าบัตรเครดิต 1.4 ล้านใบ เป็นลูกค้าสมัครใหม่ 250,000 ใบ โตขึ้นจากปีก่อน 200% โดยเป็นการสมัครผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่า 35% และมีเป้าสร้างยอดการใช้จ่ายผ่านบัตร 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อน โดยเน้นยอดใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่า 30% และมีเป้ายอดคงค้างอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท

ส่วนสินเชื่อบุคคลวางเป้าหมายลูกค้ารายใหม่ 1.7 แสนราย เติบโตเพิ่มขึ้น 270% จากปีก่อน เป็นลูกค้าสินเชื่อบุคคลทั้งหมด 5.5 แสนราย เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน เป็นมูลค่าสินเชื่อใหม่ 2.6 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 86% และมีเป้ายอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท

นอกจากนั้น ทีเอ็มบีธนชาตยังวางเป้าหมายสร้างการเติบโตก้าวกระโดดขึ้นเป็น 1 ใน 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลในปี 2568 ด้วยกลยุทธ์สำคัญ 3 ด้าน ประกอบด้วย Digital &amp; Innovation มุ่งพัฒนานวัตกรรมการเงินและช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่องผ่านแอปพลิเคชัน ttb touch ที่ให้ความสะดวกสบายในการสมัครบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อบุคคล หรือใช้บริการ และรับข่าวสาร เพื่อไม่พลาดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

ขณะเดียวกันยังเดินหน้ากลยุทธ์การสร้าง Partnership ทางธุรกิจหรือขยายพันธมิตรธุรกิจใหม่ เพื่อสร้าง Ecosystem ทั้งกลุ่มลูกค้าพนักงานเงินเดือน ลูกค้ามีรถยนต์ และลูกค้ามีบ้าน รวมถึงมุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนร้านค้ารับบัตรให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในทุกหมวด ทุกกลุ่ม พร้อมเพิ่มร้านค้าที่ให้สิทธิ์ผ่อน 0% ช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นยังมุ่งมั่นในกลยุทธ์การขับเคลื่อนด้วยการใช้ Data มากขึ้น เพื่อทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน วิเคราะห์เพื่อตกผลึกข้อมูลเชิงลึก เข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าแบบรายบุคคล เพื่อการนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ และโดนใจ ในเวลาที่เหมาะสม และเพื่อพัฒนาโซลูชันการเงินที่ดีที่สุด

สำหรับกิจกรรมทางการตลาดบัตรเครดิตทีทีบี ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 จะมุ่งเน้นกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้ถือบัตร โดยเฉพาะในหมวดร้านอาหาร และการช้อปปิ้งออนไลน์ ที่ทางธนาคารได้จัดเตรียมไว้ทั้งส่วนลด และเครดิตเงินคืน รวมถึงการใช้คะแนนสะสมเท่ายอดซื้อแลกเครดิตเงินคืนในอัตราที่สูงกว่าปกติ ณ ห้างสรรพสินค้าพันธมิตร รวมถึงช่วงปลายปียังจัดเตรียมแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทีทีบี ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการรุกตลาดคอนซูมเมอร์ของธนาคารอย่างเต็มตัว

“ทีเอ็มบีธนชาต ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมการเงินที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกช่วงวัย และอยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ บนความมุ่งมั่นที่ต้องการให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้และอนาคต” ฐากร กล่าวสรุป

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%88-%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a5.html">บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค เร่งโอนที่ดินนิคมฯ รับเศรษฐกิจฟื้นครึ่งปีหลัง</a>

<hr />

<article id="post-34018" class="post-34018 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-891 tag-11994 tag-11992 tag-1970 tag-11993">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">
<div>

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
</article>

TTB ตั้งเป้าขึ้นแท่น Top 4 ผู้นำบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลใน 3 ปี

<h2>เครือไทย โฮลดิ้งส์ หนึ่งในสายธุรกิจหลักด้านประกันและการเงินของกลุ่มทีซีซีเดินหน้า 6 กลยุทธ์พัฒนาระบบ ecosystem สู่แพลตฟอร์มดิจิทัล พร้อมปรับโครงสร้างองค์กรรับโมเดลธุรกิจใหม่ ด้วยเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจการเงินในประเทศไทย และขยายการให้บริการไปยังภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2568</h2>
-Thai Group ตั้งเป้านำการทำ Data Analytics จากข้อมูล Big Data ของบริษัท สู่ผู้นำการเงินในประเทศไทย
-อาคเนย์ประกันชีวิต มี เบี้ยประกันภัยรับรวมปี 2563 จำนวน 8.35 พันล้านบาท คิดเป็นอันดับทางธุรกิจอันดับ 9
-ไทยประกันภัย มี สัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับตรง จำนวน 1.32 พันล้านบาท และมีสัดส่วนเบี้ยออนไลน์ จำนวน 332 ล้านบาท
-อาคเนย์แคปปิตอล ผู้นำรถเช่าอันดับ 1 ในปี 2563 ด้วยรถจำนวน 22,100 คัน ประกอบด้วยลูกค้าภาครัฐ ร้อยละ 50 นอกกลุ่มทีซีซี ร้อยละ 30 และกลุ่มทีซีซี ร้อยละ 20
<img class="alignnone size-full wp-image-43089" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/ฐากร-ปิยะพันธุ์_002.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Thai Group เปิดเผยว่า ในรอบกว่า 1 ปีที่ผ่านมาภายใต้วิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกต้องเผชิญกับความผันผวนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นเดียวกับบริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ ที่ดำเนินธุรกิจด้านประกันและการเงิน ประกอบด้วย อาคเนย์ประกันภัย อาคเนย์ประกันชีวิต อาคเนย์แคปปิตอล อาคเนย์มันนี่ และไทยประกันภัย ซึ่งได้รับผลกระทบและต้องปรับตัวสู่ยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบ New Normal

นอกจากนั้น บริษัทยังต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าให้มากที่สุด ด้วย 6 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การมุ่งสร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งผ่านการปรับพอร์ตธุรกิจประกันชีวิต และการสร้างประการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ขณะเดียวกัน บริษัทยังวางกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ที่ดีของพนักงานด้วยการพัฒนาทักษะและสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน การพัฒนาการใช้งานบิ๊กดาต้าเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค การสร้างกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี  รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรรับโมเดลธุรกิจใหม่

“จาก 6 กลยุทธ์ เพื่อสร้างความเติบโตและมั่นคงทางธุรกิจแบบรอบด้าน บริษัทยังตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะช่วยให้คนไทยและครอบครัวของพวกเขาใช้ชีวิตหรือดำเนินธุรกิจอย่างมีความสุข ปราศจากความกังวลใจ ผ่านนวัตกรรมทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่การเป็น “Financial as A Service” ของคนไทย ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปตามพฤติกรรมของลูกค้า ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า เราจึงมุ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีและข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ ตรงใจ เข้าถึงได้ง่าย คุ้มค่าเงิน และส่งมอบบริการแบบเทสุดใจเพื่อให้ลูกค้ามีความสุข” ฐากร กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-43088" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/ฐากร-ปิยะพันธุ์_001.jpg" alt="" width="600" height="400" />

สำหรับเป้าหมายการขยายตลาดในกลุ่มธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตของบริษัทจะมุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างโดยใช้ดิจิทัลและดาต้าขยายฐานลูกค้าใหม่จากปัจจุบันที่มีลูกค้าอยู่ประมาณ 4 ล้านราย ตลอดจนสร้างการรับรู้ของแบรนด์อาคเนย์ประกันภัย อาคเนย์ประกันชีวิต ผ่าน Winning Product และการดูแลลูกค้าให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไร้ความกังวลใจ

ส่วนธุรกิจการเงินจะเน้นสร้างประสิทธิภาพ ลดต้นทุน สร้างกำไร พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐานและหาพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี โดยมั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจในภาพรวมให้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของตลาด เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจการเงินในประเทศไทยและขยายการให้บริการไปยังภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2568

“ประเทศไทยกำลังปลดล็อกก้าวสู่การทำธุรกิจประกันและการเงินบนโลกดิจิทัลได้อย่างแท้จริง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับตัวสู่การดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ ตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น เราไม่สามารถดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการผ่านการใช้ Data Analytics เพราะธุรกิจประกันมี Big Data ดังนั้น สิ่งที่ Thai Group จะทำคือการนำข้อมูลที่มีในระบบมาเชื่อมต่อกันเพื่อทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์และบริการ สามารถดูแลลูกค้าได้อย่างเข้าใจ และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพไร้รอยต่อและครบทุกบริการ เพื่อให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในทุกที่ที่เชื่อมต่อไปยังลูกค้าเป้าหมายใน Ecosystems ได้อย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ อาคเนย์ประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับรวมปี 2563 คือ 8.35 พันล้านบาท  คิดเป็นอันดับทางธุรกิจอันดับ 9  มีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่ร้อยละ 96 สูงกว่าอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 82 ด้าน อาคเนย์ประกันภัย มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงปี 2563 คือ 1.06 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอันดับทางธุรกิจ อันดับ 6 ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ร้อยละ 4.1

ขณะที่ ไทยประกันภัย มีการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยนวัตกรรมประกันภัยที่ทันสมัย และมีเบี้ยประกันภัยรับตรงจำนวน 1.32 พันล้านบาท และมีสัดส่วนเบี้ยออนไลน์ 332 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25 จากเบี้ยประกันภัยรับตรง สำหรับ อาคเนย์แคปปิตอล ครองความเป็นผู้นำรถเช่าอันดับ 1 ในปี 2563 ด้วยรถจำนวน 22,100 คัน โดยมีลูกค้าภาครัฐร้อยละ 50 ลูกค้านอกกลุ่มทีซีซีร้อยละ 30 และลูกค้ากลุ่มทีซีซีร้อยละ 20

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%97.html">เปิดโลกการลงทุนเมื่อเทคโนโลยีตอบโจทย์จินตนาการ</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เครือไทย โฮลดิ้งส์ กางแผนบุกอาเซียน

<h2>กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิดตัวซีรี่ส์ไลฟ์สตรีมมิ่ง รายการ ‘NEW NORMAL, MORE MONEY’  เผยเคล็ดลับ บริหารการเงิน โดย ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ และ ‘รวิศ หาญอุตสาหะ’</h2>
รายการ ‘NEW NORMAL, MORE MONEY’ คือ ซีรี่ส์ไลฟ์สตรีมมิ่งล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในเฟซบุ๊กแฟนเพจฉลาดคิด ฉลาดใช้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญสื่อสารออนไลน์ในโครงการฉลาดคิด ฉลาดใช้ เพื่อให้ความรู้ทางการเงินแก่คนรุ่นใหม่โดยกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เพื่อช่วยให้ทุกคนก้าวข้ามผ่านทุกปัญหาทางการเงินในช่วงวิกฤต โควิด-19 กับเหล่ากูรูจากแวดวงธุรกิจและยูทูบเบอร์คนดังที่มีไลฟ์สไตล์น่าสนใจจะมาช่วยหาคำตอบกับทุกคำถามการเงินในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพื่อพลิกวิกฤตเป็นโอกาสและวางแผนเพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง

โดยตอนแรกที่เพิ่งออกอากาศไปกับประเด็น ‘บริหารเงินให้รอดในยุค New Normal’ กับ ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรีคอนซูมเมอร์ และ รวิศ หาญอุตสาหะ ผู้บริหารแบรนด์เครื่องสำอางศรีจันทร์และเจ้าของเพจ Mission to the Moon ดำเนินรายการโดย ดีเจโบ-ธนากร ชินกูล พิธีกรชื่อดัง

ฐากร ปิยะพันธ์ ได้แนะเคล็ดลับการบริหารการเงินส่วนบุคคลในหลายประเด็นว่า

"1.กำเงินสด ลดค่าใช้จ่าย - คือคาถาฝ่าวิกฤตการเงินที่เป็นเคล็ดลับการเอาตัวรอดในยุค New Normal เพราะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องประหยัด, เก็บออม, ประเมินความจำเป็นในการจับจ่ายซื้อของ และควรเตรียมเงินฉุกเฉิน (Emergency Fund) ไว้ให้พร้อมอย่างน้อย 6 เท่าของเงินเดือน เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองในยามเกิดวิกฤต

2. รายได้ที่ 2 คือทางรอด – สำหรับยุค New Normal แล้ว การมีรายได้ทางเดียวคือความเสี่ยง ทุกคนควรหาโอกาสสร้างรายได้ทางที่ 2 ด้วยการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะ เช่น ขายของออนไลน์, เป็นยูทูบเบอร์ อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือบล็อกเกอร์ สร้างคอนเทนต์ในสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ใครจะรู้ รายได้ทางที่ 2 ในวันนี้ อาจกลายเป็นรายได้หลักในวันหน้าก็เป็นได้

3. ออมวันนี้เพื่อชีวิตเกษียณในวันหน้า – ความเจริญทางการแพทย์ในยุคนี้ทำให้คนอายุยืน ดังนั้น การวางแผนการเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณจึงเป็นเรื่องสำคัญและทุกคนจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ด้วยวิธีจัดสรรปันส่วนเงิน แบ่งเป็น เงินไว้ใช้จ่าย, เงินออม สัดส่วนการออมที่เหมาะสมคือประมาณร้อยละ 20-30 ของรายได้ และเงินลงทุน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาก่อนเลือกลงทุนและทำบันทึกการลงทุนทุกครั้งเพื่อเก็บเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในอนาคต”

ทั้งนี้ ‘คาถาฝ่าวิกฤตการเงิน’ โดย ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ และ ‘รวิศ หาญอุตสาหะ’ ได้ให้ข้อคิดการบริหารการเงินขององค์กรว่า “1.รักษาองค์กรด้วยหลักการ 3 ประสาน – สำหรับ 3 เรื่องหลักในภาวะวิกฤตที่องค์กรควรติดตามและตรวจสอบอย่างใกล้ชิดทุกวันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้าก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม คือ การรักษากระแสเงินสด (Cashflow) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารการเงินองค์กร สินค้าคงคลัง (Inventory) เพราะเป็นปัจจัยที่จะทำให้องค์กรต้องเสียเงินในการดูแลรักษาและสต๊อกสินค้า ลูกค้า (Customer) และธนาคาร (Bank) เพื่อพูดคุยและทำความเข้าใจสถานการณ์ รวมทั้งหาวิธีการรับมือและแก้ไขปัญหา 2. ‘ตัวเบา’ คือ วิถีการบริหารองค์กรในยุค New Normal – องค์กรที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก ๆ (Heavy Assets) จำเป็นต้องทำให้องค์กร ‘ตัวเบา’ ด้วยการลดการถือครองทรัพย์สินให้มากที่สุดเพื่อลดภาระและลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ”

ฐากร ได้กล่าวเสริมในประเด็นเรื่องการบริหารการเงินขององค์กรว่า “เพิ่ม ‘วัคซีน’ ให้องค์กรอยู่รอด - องค์กรต้องเตรียมความพร้อม 3 ด้าน ซึ่งเปรียบเหมือนฉีดวัคซีนให้ธุรกิจแข็งแกร่งและอยู่รอด ได้แก่ Diversification คือ การแสวงหาโอกาสจากการทำธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้, Flexibility คือ การยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เหมาะสมตามสถานการณ์ และ Innovation คือ การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดขององค์กร”

นอกจากการ "บริหารการเงิน" แล้ว ทั้งฐากรและรวิศ ยังฝากทิ้งท้ายว่าการเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุค New Normal ก็เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ ดังนั้น ทุกคนจึงควรพัฒนาทักษะอยู่เสมอ โดยคุณสมบัติสำคัญที่ทุกคนควรมี คือ การมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิด  กล้าพูด กล้าทำ และไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  และสำหรับเด็กที่เพิ่งเรียนจบในปีนี้และการหางานทำเป็นเรื่องยาก หากอยากเพิ่มโอกาสให้ตัวเองกลายเป็นที่ต้องการในตลาดงานต้องรู้จักนำเสนอตัวเองด้วยพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) เพื่อทำให้องค์กรสนใจและอยากรับคุณเข้าทำงาน

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/4-%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%84%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b8%e0%b8%a5%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b8%a7%e0%b9%88.html">4 หลักคิดสร้างสมดุลระหว่าง ข้อมูลส่วนบุคคล กับ การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า</a>

&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เคล็ดลับ "บริหารการเงิน" โดย ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ และ ‘รวิศ หาญอุตสาหะ’

<h2>ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หนึ่งในนักบริหารด้านการเงินการธนาคาร และเป็นที่ทราบกันดีว่าเขานักบริหารผู้รักการอ่าน ซึ่งจากความรักในการอ่านทำให้กลายเป็นเป้าหมายที่ในแต่ละปีจะต้องอ่านหนังสือให้ครบตามกำหนดที่วางไว้</h2>
หนังสือส่วนใหญ่ที่ ฐากร ปิยะพันธ์ ชื่นชอบมักจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ ภาวะของการเป็นผู้นำ การนำคน การนำพาองค์กร การบริหารแนวคิดเพื่อเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ

“หนังสือที่ผมกำลังจะแนะนำเหล่านี้เหมาะกับการการบริหารโดยเฉพาะเวลาที่จะต้องนำพาองค์กรขนาดใหญ่ หรือว่าทีมงานขนาดใหญ่ มิติใดบ้างที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ สิ่งใดต้องนำมาประยุกต์ใช้ ผมคิดว่าหนังสือเหล่านี้แต่ละเล่มแตกต่างกันไป”

ในแต่ละปีฐากร ท้าทายตัวเองด้วยการตั้งเป้าหมายการอ่านหนังสือให้ครบตามจำนวนที่ตั้งไว้อย่างในปี 2563 ความท้าทายของเขาอยู่ที่ 50 เล่ม

สำหรับหนังสือ 5 เล่มที่ถูกเลือกมาในปีนี้ เป็นหนังสือที่เขาอ่านแบบรวดเดียวจบ แม้บางเล่มใช้เวลา 3-4 วัน ก็ตามที และยังเป็นหนังสือที่เขามักจะนำเนื้อหาภายในเล่มนำไปพูดบรรยายให้กับทีมงานในองค์กรหรือการบรรยายครั้งสำคัญ

“The Ride of The Lifetime” โดย Robert Iger เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผู้บริหารระดับซีอีโอต้องอ่านหรือถ้าใครที่อยากเป็นซีอีโอก็ยิ่งต้องอ่าน หนังสือให้ข้อคิดสำคัญว่าเหตุใดองค์กรต้องคิดการใหญ่ และการต่อกรกับบอร์ดบริหาร ซึ่งไม่บ่อยนักจะมีเรื่องราวจากเรื่องจริงเขียนบรรยายเป็นตัวอักษร

สำหรับใครที่ต้องการทบทวนการบริหารและแนวคิดแบบเร่งด่วน “​Management Tips Harvard Business Review” หนังสือเล่มเล็กที่รวบรวมเกร็ดดีๆ และสามารถคำตอบแบบเร็วๆ ให้คุณได้ และหากต้องการหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแนวคิดและการบริหารสมอง “The Power of OUT PUT”​ อาจจะเป็นทางออกสำหรับคุณได้อีกเช่น

&nbsp;

พบรายชื่อ 5 หนังสือแนะนำประจำปี 2563 โดย ฐากร ปิยะพันธ์


<img class="alignnone size-full wp-image-32273" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/ฐากร-ปิยะพันธ์_003.jpg" alt="" width="300" height="300" />

Management Tips Harvard Business Review

หนังสือที่รวบรวบเกร็ดและข้อคิดสั้นๆ จาก Harvard Business Review ภายในนำเสนอเนื้อหาสั้นๆ แต่กระชับและสามารถนำไปใช้งานได้จริง เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้นำและการบริหารทีม การโค้ช การสร้างขวัญและกำลังใจ

ด้วยเล่มหนังสือขนาดพกพาทำให้สามารถติดตัวไปไหนและหยิบขึ้นมาเปิดอ่านยามว่าง ช่วยให้เรานึกถึงเกร็ดการบริหาร ทักษะการทำงานที่เราเผลอลืมไป

“หนังสือเล่มนี้อยู่ในรถผมมาหลายปีมาก เมื่อว่างจะหยิบอ่านไปเรื่อยๆ การอ่านอะไรซ้ำๆ บ่อยๆ ช่วยให้เราระลึกบางทีเราก็ลืมไป ถ้าพลิกดูด้านในจะเห็นว่ามีรอยพับและไฮไลท์คำอยู่เยอะพอสมควร”

Management Tips Harvard Business Review เป็นหนึ่งในหนังสือที่เขามักจะซื้อแจกผู้บริหารที่ธนาคารกรุงศรีฯ และทีมงาน “ผมคิดว่านี่คือหนังสือที่นำมาใช้งานได้จริงอย่างมาก”

<img class="alignnone size-full wp-image-32270" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/ฐากร-ปิยะพันธ์_001.jpg" alt="" width="300" height="309" />

O Great One!: A Little Story About the Awesome Power of Recognition

ในสถานการณ์ที่ทุกสิ่งรอบด้านดูเลวร้ายไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจเลวร้าย อุตสาหกรรมเลวร้าย ทีมงานลาออก ธุรกิจโดนดิสรัปต์ต่างๆ นานา ซีอีโอผู้เป็นเจ้าของเรื่องราวภายในเล่มจำเป็นต้องมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวภายใต้บรรยากาศที่กำลังย่ำแย่ เขาได้เลือกใช้หลักการบริหารเพียงไม่กี่อย่างพลิกสถานการณ์และพาธุรกิจได้อย่างเหลือเชื่อ

“อ่านแล้วมีพลัง สร้างแรงบันดาลใจและสร้างกำลังใจ” ฐากรกล่าวถึงเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ ที่บรรยายถึงเรื่องการสร้างกำลังใจ การมอบคำขอบคุณ และการสนับสนุนการทำงานต่างๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างพลังบวกให้เกิดขึ้นกับทีมงานหรือคนในองค์กร

“ถ้าสิ่งเหล่านี้จุดติดวงล้อหนึ่งรอบ วงล้อเล็กๆ นี้จะส่งพลังหมุนวงล้อใหญ่กว่าและเมื่อวงล้อเล็กๆ หลายวงทำงานร่วมกันทำงานจะช่วยให้วงล้อขนาดใหญ่เคลื่อนตัวไปให้ทิศทางที่ได้ดีขึ้น”

หากพลิกปกหลัง จะพบว่า O GREAT ONE เล่มนี้ มีนักธุรกิจและผู้บริหารชื่อดังมาให้คำนิยมไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก jack welch อดีตประธานกรรมการและซีอีโอแห่ง GE

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-32272" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/ฐากร-ปิยะพันธ์_002.jpg" alt="" width="300" height="300" />

The Ride of The Lifetime by Robert Iger

“เป็นเล่มหนึ่งที่แทบจะวางไม่ลง จำได้ว่าเกือบจะยกเลิกการประชุมเพื่ออ่านต่อให้จบ” The Ride of The Lifetime โดย Robert Iger เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของ Robert Iger ซีอีโอผู้สร้างอาณาจักรธุรกิจ Walt Disney ให้ยิ่งใหญ่และสร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาธุรกิจบันเทิงทั่วโลก

“ผมคิดว่าเล่มนี้ถ้าใครเป็นซีอีโอต้องอ่านและถ้าใครอยากเป็นซีอีโอก็ยิ่งต้องอ่าน ในขณะเดียวกันใครที่เป็นหัวหน้าก็ต้องอ่านด้วย หนังสือเล่มนี้สอนให้รู้ว่าทำไมต้องคิดการใหญ่ ทำไมที่เวลาเราสอนเรื่องธุรกิจเราต้องต้องเป้าไว้สูงๆ” ฐากร กล่าวบรรยาย

ภายในเล่มเราจะเรียนรู้ประวัติและกระบวนทัพการทำงานของ Robert Iger ที่ทำให้ผู้อ่านได้รับแรงบันดาลที่ดีซึ่งถ่ายทอดจากประสบการณ์การทำงานจริงยาวนาน 15  ปี ของการทำงานของเขา

“เขาไม่ได้เป็นคนแรกที่ถูกเลือกคนมาเป็นซีอีโอ คณะกรรมการบริษัทไม่ชื่นชอบเขาสักเท่าไร แต่ด้วยความจำเป็นทำให้เข้ามานั่งบริหารงานและซื้อใจบรรดาคณะกรรมการได้ในที่สุด ผมคิดว่าการเรียนรู้ในเรื่องการบริหารจัดการคณะกรรมการบริษัทเป็นมิติที่ไม่ค่อยมีในหนังสือเท่าไร ปกติหนังสือมักจะสอนเรื่องบริหารทีมบริหารจัดการแต่เรื่องการบริหารคณะกรรมการไม่ค่อยมี”

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-32274 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/ฐากร-ปิยะพันธ์_004.jpg" alt="ฐากร ปิยะพันธ์" width="300" height="300" />

Trillion Dollar Coach: The Leadership Playbook of Silicon Valley's Bill Campbell

หนังสือที่บรรยายความสำคัญอันลึกซึ้งของการโค้ชและการส่งต่อองค์ความรู้ให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ๆ ในองค์กร ภายในเล่มนี้นำเสนอเทคนิคสำคัญจาก Bill Campbell ซุปเปอร์โค้ชระดับโลกที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพความสำคัญของการโค้ชที่มีประสิทธิภาพคือสิ่งใด

“ผมคิดว่าหนังสือหลายๆ เล่ม ที่เราอ่านมักบอกว่าเราควรทำยังไง เมื่อฝึกฝนแล้วเกิดประสิทธิภาพอย่างไรซึ่งเรามักจะไม่ค่อยรู้สึกว่าจริง บางเล่มมองโลกสวยที่สวยงามเกินไป แต่หนังสือเล่มนี้จะบอกเกร็ดเล็กๆ ว่าอะไรที่ลองแล้วไม่สำเร็จเป็นเพราะอะไร แล้วถ้าทำอีกทีจะต้องแก้ไขยังไง”

หนังสือเล่มนี้อาจจะลงรายละเอียดสำหรับผู้บริหารระดับสูงพอสมควร เมื่อถึงเวลาที่คุณจะต้องโค้ชคนที่มารับช่วงต่อไปเขาจะต้องทำงานอะไรบ้าง หรือถ้าคุณโดนโค้ชคุณเสียเองคุณต้องทำอะไร โดยเนื้อหาเป็นเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของ Bill Campbell

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-32275 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/ฐากร-ปิยะพันธ์_005.jpg" alt="ฐากร ปิยะพันธ์" width="300" height="300" />

The Power of Output: How to Change Learning to Outcome

หนังสือเล่มนี้สนุกกว่าหลายๆ เล่มที่เกี่ยวข้องกับการเสริมทักษะการทำงาน ตรงที่ว่าหนังสือเล่มอื่นๆ มักจะบอกว่าทำยังไงเราถึงจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น ซึ่งบางทีอาจมาจากการรวบรวมข้อมูล สถิติ หรืออาจเป็นความเห็นส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่งที่ทำขึ้นมาได้

The Power of Output เขียนโดยคุณหมอจิตวิทยาทางด้านสมอง ที่นำเสนอเนื้อหาที่ว่า หากต้องการจะเค้นศักยภาพการทำงานให้ออกมาได้เป็นอย่างดี สมองและร่างกายมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก

“การพูด การอ่าน การเขียน เป็นสิ่งสำคัญที่ไปกระตุ้นการสั่งการของสมอง ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องตั้งเป้าว่าปีนี้เป้าหมายคือสิ่งใดถ้าคุณเขียนไว้เฉยๆ คุณก็เก็บไว้ที่โต๊ะอย่างน้อยคุณก็เขียน แต่ถ้าคุณเขียนแล้วเอามาแปะให้คนอื่นเห็นหรือไปโพสต์อยู่บนเฟสบุ๊คผลลัพธ์ของสองแบบไม่เหมือนกันแน่นอน”

หนังสือเล่มนี้บรรยายด้วยว่าในทุกจังหวะนาทีของชีวิตคนเราจะมี INPUT เข้ามาอยู่ตลอดเวลา แต่เราจะทำยังไงให้เรามีประสิทธิภาพในการทำ OUTPUT ออกมาได้เยอะๆ ผ่านเรื่องเล่าบรรยายของคุณหมอผู้เขียนที่วิจัยกับคนไข้ภายในเล่ม

&nbsp;

ภาพโดย กิตติเดช เจริญพร

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/america/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99.html">มหาเศรษฐีผู้รักการอ่าน: Bill Gates แนะนำหนังสือ 5 เล่มประจำซัมเมอร์ 2020</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความด้านธุรกิจ ติดตามได้ที่ Facebook: Forbes Thailand Magazine</a>

นักบริหารผู้รักการอ่าน: ฐากร ปิยะพันธ์ แนะนำหนังสือ 5 เล่มประจำปี 2563

พิษโควิด-19 ทุบยอดใช้บัตรเครดิตวูบ 50% กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรมเจ็บหนัก ยอดหาย 100% กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เตรียมเงิน 4 หมื่นล้าน คลอดมาตรการช่วยลูกค้าพักหนี้ 2 เดือน พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หลังเห็นแววหนี้เสียพุ่ง

การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา จนมีมาตรการสั่งปิดสถานที่ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานบันเทิง ได้ส่งผลกระทบการจับจ่ายของผู้บริโภค สะท้อนผ่านยอดการใช้บัตรเครดิตที่ลดลงอย่างหนัก

ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อาทิบัตรเครดิตกรุงศรี, บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตเทสโก้ โลตัส วีซ่า กล่าวว่า

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจซบเซาสะท้อนผ่านยอดการใช้บัตรเครดิตของกรุงศรีที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกมียอดการใช้ลดลง 20% ส่วนไตรมาสสองคาดว่าจะลดลงถึง 50% และปีนี้คาดว่ายอดการใช้บัตรเครดิตจะลดลง 35-40% ส่วนยอดสินเชื่อส่วนบุคคลลดลงประมาณ 30%

สำหรับการใช้จ่ายในกลุ่มท่องเที่ยวและการเดินทาง ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด หายไป 100% ร้านอาหารลดลง 90% กลุ่มโรงแรมลดลง 80% ห้างสรรพสินค้าลดลง 60%

ขณะที่มีการใช้จ่ายบางประเภทที่ขยายตัว ได้แก่ การซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น 40% กลุ่มเทเลคอมเพิ่มขึ้น 36% ร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้น 30%

นอกจากนี้มีการใช้จ่ายในกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ร้านขายยาเพิ่มขึ้น 30% ซูเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้น 20% และโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 10%

“จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ตลาดบัตรเครดิตหดตัวแรง ประกอบกับมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก โดยเฉพาะจำนวนผู้ตกงาน ทั้งคนทำงานอยู่เดิม และนักศึกษาจบใหม่ที่มีแนวโน้มตกงานมากขึ้น คนเหล่านี้เป็นฐานลูกค้าใหม่ของบัตรเครดิต ซึ่งเราจะไม่เห็นการเติบโตของลูกค้าใหม่จนถึงปี 2564” ฐากรกล่าว
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2.html"> อ่านเพิ่มเติม: ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เผย บีโอไอ ลดภาษีหนุนลงทุน “อุตสาหกรรมทางการแพทย์” รับมือโควิด-19</a></li>
</ul>
โดยในไตรมาสแรกกรุงศรีฯ ยังเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย หรือ NPL โดยในส่วนบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.7% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.05% ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลหนี้เสียอยู่ที่ 3.4% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.5%

ซึ่งธนาคารจะมุ่งช่วยเหลือลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพราะหากไม่มีมาตรการช่วยเหลือหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ปัจจุบันยอดการใช้บัตรเครดิตของกรุงศรีอยู่ที่ 9.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท

ฐากร กล่าวว่า กรุงศรีฯ ได้มีมาตรการพิเศษเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในโครงการ “เราจะก้าวผ่านไปด้วยกัน กับกรุงศรี คอนซูมเมอร์” โดยออก 3 มาตรการพิเศษ เพื่อเป็นทางเลือกในการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้า ได้แก่

1.การลดยอดชำระขั้นต่ำต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา 2.การพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน สำหรับลูกค้าทุกรายโดยมิต้องแจ้งความจำนง และ 3.การให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

โดยเน้นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางตรง เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม การบิน และบริการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ เหลือ 12% สำหรับบัตรเครดิต และ 22% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล

โดยลูกค้าต้องลงทะเบียนเพื่อขอรับพิจารณาความช่วยเหลือดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชัน UCHOOSE ซึ่งจะได้รับการพิจารณาเป็นรายกรณี

ทั้งนี้ ธนาคารได้เตรียมสำรองเงินไว้สำหรับโครงการพักหนี้ 2 เดือน วงเงินกว่า 4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะช่วยลูกค้าได้ประมาณ 8 แสน – 1.2 ล้านราย จากจำนวนฐานลูกค้าประมาณ 6 ล้านราย หรือประมาณ 8 ล้านบัญชี

สำหรับปีนี้คาดว่ารายได้จากธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตจะลดลงประมาณ 30%

&nbsp;

<img class="aligncenter wp-image-28721 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/Krungsri-Consumer-Relief-Measure_I.jpg" alt="มาตรการพักชำระหนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์" width="600" height="600" />

<img class="aligncenter wp-image-28722 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/Krungsri-Consumer-Relief-Measure_II.jpg" alt="มาตรการพักชำระหนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์" width="600" height="600" />

<img class="aligncenter wp-image-28723 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/Krungsri-Consumer-Relief-Measure_III.jpg" alt="มาตรการพักชำระหนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์" width="600" height="600" />

&nbsp;

&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เตรียมเงิน 4 หมื่นล้าน ต้านพิษโควิด-19 ด้านยอดใช้บัตรเครดิตวูบ

<h2 class="p1">กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิด 5 กลยุทธ์พลิกเกมธุรกิจฝ่าอุปสรรคปี 2563 เตรียมขยายตลาดต่างประเทศ มุ่งพัฒนา AI วิเคราะห์ดาต้าส่งข้อเสนอให้ลูกค้า พร้อมตั้งโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ หวังเกิดนวัตกรรมใหม่</h2>
ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในปี 2562 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติบัญชีใหม่ไป 9.78 แสนบัญชี (จากจำนวนใบสมัครทั้งหมด 2.2 ล้านใบ) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 24% โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวม 3.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10% มียอดสินเชื่อใหม่ 1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% และมียอดสินเชื่อคงค้าง 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%
ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL นั้น ตลอด 12 เดือนของปี 2562 ทั้ง NPL ของสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตมีการขยับขึ้นเล็กน้อย และคาดว่าในปีนี้มีโอกาสขยับขึ้นอีกอย่างน้อย 30 basic point
“แนวโน้มดังกล่าวทำให้ในปีนี้เราวางเป้าอนุมัติบัญชีใหม่ลดลง 10% มาอยู่ที่ 8.9 แสนบัญชี ซึ่งผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท/เดือน และภาระหนี้ต่อรายได้มากกว่า 70% จะถูกปฏิเสธคำขออนุมัติบัญชีใหม่ออกไปก่อน”
ฐากร ระบุอีกว่า กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ยังตั้งเป้าหมายยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครเดิตในปีนี้เพิ่มขึ้น 8% มาอยู่ที่ 3.55 แสนล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าปีก่อนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ตั้งเป้ายอดสินเชื่อใหม่ไว้ที่ 1.11 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% และตั้งเป้ายอดสินเชื่อคงค้างไว้ที่ 1.59 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%
<img class="alignnone size-full wp-image-26922" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/กรุงศรี-คอนซูเมอร์-01.jpg" alt="" width="600" height="600" />
“อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้ที่มีแนวโน้มภาระหนี้สูง, อัตราหนี้เสียสูงขึ้น, ประชากรวัยทำงานลดลง, ไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงกำลังซื้อลดลง
“ขณะที่รูปแบบธุรกิจของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ยังกระจุกตัวอยู่ที่ธุรกิจสินเชื่อและบัตรเครดิต ส่วนรายได้ก็มีความเสี่ยงลดลงจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นของภาครัฐ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังสูง นอกจากนี้ ยังมีคู่แข่งใหม่ๆ ที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีนวัตกรรมและเทคโนโลยี มีเงินทุน ก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจสินเชื่อ ทำให้ในปีนี้ เราจะพลิกเกมธุรกิจด้วย 5 กลยุทธ์หลักที่จะพาเราอยู่เหนือคู่แข่งได้”
&nbsp;
<h2 class="p1">เจาะ 5 กลยุทธ์พลิกเกมธุรกิจ</h2>
สำหรับ กลยุทธ์แรก ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ฐากร ระบุว่า คือการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ โดยที่ผ่านมา กรุงศรีได้เริ่มธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ใน สปป.ลาว และธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชา โดยปีที่ผ่านมา ในลาวมี asset อยู่ที่ 6 พันล้านบาท ส่วนกัมพูชามี asset อยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท ซึ่งในปีนี้ นอกจากจะมีกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ร่วมกับบริษัทในฟิลิปปินส์แล้ว ยังกำลังศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดเวียดนาม และเมียนมาด้วย
“เมื่อตลาดไทยเริ่มอิ่มตัว เราจึงต้องมองหาตลาดใหม่ๆ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศก็มีอัตราการเติบโตของ GDP ที่ดี มีการเติบโตของประชากร จึงทำให้น่าสนใจ โดยคาดว่าน่าจะเห็นการขยายตลาดไปต่างประเทศในปีนี้ราว 1 ประเทศ ทั้งนี้ ธนาคารกรุงศรีฯ ตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจะมีรายได้จากตลาดต่างประเทศเป็นสัดส่วนราว 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่ถึง 5% เท่านั้น” ฐากรให้รายละเอียด
ด้าน กลยุทธ์ที่ 2 คือการพัฒนาต่อยอดแอปพลิเคชันไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม ยูชูส (UCHOOSE) ที่ได้รับผลตอบเป็นอย่างดี โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้งานแอปแล้ว 4.8 ล้านราย ทั้งนี้ ฟีเจอร์ที่คนชอบมากที่สุดคืออี-คูปอง ที่มีคนแลกคูปองไปแล้ว 9 แสนคูปอง รวมถึงฟีเจอร์แลกแต้ม ที่มีการแลกแต้มไปแล้วกว่า 300 ล้านแต้ม


<figure><img class="size-full wp-image-26923" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/ฐากร-ปิยะพันธ์-02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ฐากร ปิยะพันธ์</figcaption></figure>
“ยูชูสตั้งเป้าจะเป็นไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มที่อยู่กับทุกคนตลอดเวลา ดังนั้น ในปีนี้จะเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการมีพันธมิตรใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น เช่น JD.co.th เป็นต้น, ฟีเจอร์ U like การโชว์ข้อเสนอตามความสนใจของแต่ละคน, ฟีเจอร์ U manage ที่ผู้ใช้สามารถล็อกไม่ให้ใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศ หรือบนออนไลน์ได้
“นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ U insure คือสามารถเปรียบเทียบประกันได้บนแอป, ฟีเจอร์ U card คือสามารถเปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีฯ ผ่านแอปพลิเคชันได้เลย ซึ่งจะช่วยดึงลูกค้าบัตรเครดิตเข้ามาเป็นลูกค้าของธนาคารได้ โดยจะเปิดตัวยูชูสใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 3 มีนาคมนี้”
ขณะที่ กลยุทธ์ที่ 3 คือการนำข้อมูลที่มีมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดผ่านเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ โดยที่ผ่านมากรุงศรี คอนซูมเมอร์เก็บข้อมูลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนใบสมัครที่อนุมัติใหม่แยกตามรายจังหวัด, พฤติกรรมการใช้จ่ายตามช่วงอายุและรายได้, ข้อมูลหนี้เสียจากแคมเปญผ่อน 0% เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นำมาซึ่งแคมเปญทางการตลาดกว่า 6 แสนแคมเปญ แต่ต่อจากนี้ไป รูปแบบการทำการตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
โดยแคมเปญการตลาดจะถูกสร้างขึ้นมา แล้วนำ AI มาวิเคราะห์ว่าข้อเสนอถัดไปที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าคืออะไร เช่น เมื่อลูกค้าใช้บัตรเครดิตจ่ายค่าจองที่พัก AI จะประมวลผลและส่งข้อเสนอประกันการเดินทางมาให้กับลูกค้าภายในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากการแจ้งยืนยันการใช้บัตรจ่ายค่าจองที่พัก เป็นต้น ซึ่งระบบจะส่งโปรโมชั่นเหล่านี้ไปให้กับลูกค้าผ่านช่วงเวลาในการใช้แอปยูชูส รวมถึงโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ลูกค้าใช้ด้วย
ส่วน กลยุทธ์ที่ 4 คือการพัฒนา AI ชื่อ Manow (มะนาว) ที่เปิดตัวไปเมื่อปีก่อนให้ฉลาดมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่ของ Manow ในปีนี้คือการเป็นผู้ช่วยส่วนตัว (personal assistance) ให้กับผู้ใช้ โดย Manow จะสามารถโทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อเสนอวงเงินเพิ่ม รวมถึงสามารถช่วยจองตั๋วหนัง หรือเตือนการชำระเงินให้ลูกค้าได้ด้วย ขณะเดียวกันจะนำเทคโนโลยี machine learning มาใช้กับ Manow เพื่อให้สามารถจดจำเสียงของลูกค้าได้
ฐากร กล่าวว่า นอกจากนี้ ปัจจุบันกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ยังพัฒนา AI chat bot บน Facebook Messenger ซึ่งจะสามารถให้บริการได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะเดียวกันยังต่อยอดเทคโนโลยีการชำระเงินด้วยการสแกนใบหน้า หรือ Face Payment ซึ่งกำลังอยู่ในการพัฒนาระบบ และจะเริ่มทดสอบได้ในไตรมาส 3 ก่อนจะให้บริการเฉพาะบนพาร์ทเนอร์บางรายเท่านั้น เช่น โฮมโปร เป็นต้น


<figure><img class="wp-image-26925 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/กรุงศรี-ยูนิคอร์น-01.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> แผนงานของกรุงศรี ยูนิคอร์น สตาร์ทอัพ สตูดิโอ</figcaption></figure>
และสุดท้ายคือ กลยุทธ์ที่ 5 คือการจัดตั้งโครงการ กรุงศรี ยูนิคอร์น สตาร์ทอัพ สตูดิโอ ซึ่งจะให้พนักงานที่มีไอเดียรวมกลุ่มกันแล้วมาเสนอไอเดียให้ผู้บริหาร จากนั้นจะใช้เวลา 4 เดือนในการปรับปรุงแก้ไขไอเดีย ก่อนที่จะใช้เวลาอีก 8-12 เดือนในการพัฒนาสู่โปรดักต์จริง ซึ่งจะดึงพนักงานนั้นๆ ออกมาจากงานหลักที่ทำอยู่อย่างเต็มตัว
“หากโปรดักต์นั้นสามารถแยกออกไปตั้งเป็นบริษัทได้ เราก็จะให้แยกออกไป โดยที่มีเราเป็นนักลงทุนและผู้ถือหุ้น แต่ถ้าโปรดักต์นั้นเกี่ยวข้องกับกรุงศรี เราก็จะให้เขาเป็นพาร์ทหนึ่งของบริษัท”
ฐากร กล่าวทิ้งท้ายว่า จาก 5 กลยุทธ์ที่วางไว้ เชื่อว่าจะทำให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ สามารถฟันฝ่าอุปสรรคทางเศรษฐกิจต่างๆ ในปีนี้ไปได้ ต่อสู้กับคู่แข่งได้ รวมถึงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ด้วย
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%e0%b8%90%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a3-%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%a2%e0%b8%b0%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2%e0%b8%9c%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81.html">ฐากร ปิยะพันธ์ เผยผลประกอบการกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ครึ่งปี 2562</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ผ่ากลยุทธ์พลิกเกมธุรกิจ "กรุงศรี คอนซูมเมอร์" เตรียมขยายตลาด ตปท. มุ่งพัฒนา AI

<h2>ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมบัญชีจากลูกค้าใหม่โตกว่า 5 แสนราย ด้านคุณภาพหนี้เสียต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทั้งจากบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล พร้อมอัพเดทเทคโนโลยี ​AI และ Machine Learning หลังทดสอบการใช้งาน "Manow" AI คอลเซ็นเตอร์ คนแรกในประเทศไทย</h2>
ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2562 นับสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่รวม 4.79 แสนราย โดยแบ่งเป็น ลูกค้าที่เปิดบัญชีบัตรเดรดิตใหม่เป็นจำนวน 2.74 แสนราย เพิ่มขึ้น 34% ลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหม่เป็นจำนวน 2.05 แสนราย เพิ่มขึ้น 32% ซึ่งสัดส่วนจากลูกค้ารายใหม่ โดยเป็นสัดส่วนบัญชีใหม่จากลูกค้าต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้น 52% จากปี 2560 เป็น 55% ในครึ่งปี 2562

ทำให้ฐานลูกค้าและยอดสินเชื่อรวมของกรุงศรีคอนซูมเมอร์อยู่ที่ 9 ล้านบัญชี บวกเพิ่มขึ้น 8% ในขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมอยู่ที่ 1.35 แสนล้านบาท บวกเพิ่มขึ้น 11% โดยสรุปเป็นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 1.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และยอดสินเชื่อส่วนบุคคลใหม่ 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%

“การเติบโตของเรา 40% มาจากกลุ่มพันธมิตรร้านค้าต่างๆ ต่อด้วยกลุ่มธนาคาร กลุ่มออนไลน์ และในกลุ่มอื่นๆ ตามลำดับ สำหรับยอดใช้จ่ายด้านการผ่อนชำระสินค้าในหมวดหมู่ต่างๆ ของเราอันดับหนึ่งยังคงเป็นสมาร์ทโฟนแม้อัตราการซื้อจะลดลง 10% ตามมาด้วยอันดับสองคือ สินค้าในหมวดไอทีและกล้องถ่ายภาพ, ทองคำ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า-เครื่องใช้ภายในครัวเรือน ในขณะที่หมวดการใช้จ่ายสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่หมวดประกันภัย หมวดไฮเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์มาร์เก็ต หมวดน้ำมัน และ หมวดตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน” ฐากร ปิยะพันธ์เผยและกล่าวเสริมว่า

“จากการตัวเลขของยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ตัวเลขคุณภาพการชำระหนี้ลดต่ำลงอยู่ที่ 1.1% ถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่ ปี 2016 แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคผ่านเงินสดเริ่มลดลงในขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเรายังดีอยู่”

ด้านสินเชื่อส่วนบุคคลครึ่งปีแรก บัญชีสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหม่อยู่ที่ 2.05 แสนราย เป็นยอดสินเชื่อใหม่ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากตัวเลขครั้งครึ่งปีนั้นจะไม่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากปลายปีเราเริ่มทดลองใช้มาตรการจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องการกำกับดูแล เกณฑ์หนี้สินต่อรายได้ (DSR) ไม่เกิน 70% ใน 3 กลุ่มเสี่ยง คือ กลุ่มที่เริ่มทำงาน กลุ่มเกษียณอายุ และกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ราวไตรมาสสุดท้ายของปี 62 นี้

<img class="alignnone size-full wp-image-13670" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/ฐากร-ปิยะพันธ์-02.jpg" alt="" width="638" height="425" />
<h2>เผย Manow AI คอลเซ็นเตอร์รายแรกในไทย</h2>
หลังทดลองใช้ Manow คอลเซ็นเตอร์ที่พัฒนาจาก AI และ Machine Learning กว่าสองเดือน ฐากรเผยความคืบหน้ากับการใช้ Manow กับกลุ่มเป้าหมาย 2 แสนราย มีการใช้งานไปกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแล้ว 6 หมื่นราย ซึ่งจากการทดลองใช้งาน Manow สามารถช่วยเหลือและให้คำตอบกับลูกค้าด้วยการจับคีย์เวิร์ดสำคัญจากคลื่นเสียงของลูกค้าและแปลงคำสั่งเสียงประมวลเป็นตัวอักษรบนหน้าจอควบคู่ไป

“เบื้องหลังของ ​Manow คือเทคโนโลยี AI และ Machine Learning ที่นำคำถามจากลูกค้ามาเรียนรู้และประมวลเป็นคำตอบและยังสามารถจดจำถึงคำถามยอดฮิตของลูกค้า ส่วนในเรื่องความปลอดภัย Manow สามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบคลื่นเสียงของลูกค้าจากฐานข้อมูลในคำถามสำคัญๆ สำหรับบางคำถามที่ Manow ไม่สามารถวิเคราะห์หาคำตอบได้สายจะถูกโอนไปยังคอลเซ็นเตอร์เพื่อให้คำตอบ ซึ่งในอนาคต Manow สามารถระบุอารมณ์ของลูกค้าว่าอารมณ์เป็นแบบใดและควรต้องให้คอลเซ็นเตอร์ที่มีประสบการณ์รับเสียงจากลูกค้า”

ฐากร คาดการณ์ด้วยว่าปลายปี Manow น่าจะพร้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการให้บริการกับลูกค้าของเราที่มีมากถึง 9.3 ล้านราย ในแต่ละปีละ กรุงศรีคอนซูมเมอร์ มีสายที่โทรเข้ามาเฉลี่ย 16 ล้านครั้ง ในขณะที่จำนวนเจ้าหน้าที่เรามีราว 600 ราย และเตรียมขยายความสำเร็จนี้ไปยังธุรกิจในเครือต่อไป

ทั้งนี้ ฐากร ทิ้งท้ายถึงตัวเลขการเติบโตของแอพพลิเคชั่น UChoose จากสถิติต่างๆ ในครั้งปีแรกโดยมีจำนวนผู้ใช้งาน 3.8 ล้านราย เป็นผู้ใช้งานจริง 2 ล้านราย โดยค่าเฉลี่ยต่อเดือนมีผู้ใช้งานราว 1.8 ล้านราย และผู้ใช้งานต่อวันที่ 3.28 แสนราย

“ความสะดวกสบายและโปรโมชั่นต่างๆ ภายในแอพฯ ทำให้เรามีผู้ใช้งานจริงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แอพพลิเคชั่นสามารถใช้งานตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัตรที่ครึ่งปีที่ผ่านมามีผู้เปิดผ่านแอพฯ ของเราแล้วกว่า 6.34 แสนครั้ง มีผู้ใช้งานแอพฯ มีความประสงค์ไม่รับจดหมายแจ้งค่าบริการไปแล้ว 401,122 ครั้ง ซึ่งเมื่อคิดเป็นเงินสามารถประหยัดค่าใช้ไปแล้วถึง 33.6 ล้านบาทต่อปี ซึ่งพฤติกรรมยอดฮิตในแอพฯ อาทิ สิทธิส่วนลดจากการจองตั๋วหนัง ส่วนลดจากร้านค้าต่างๆ โดยปลายปีนี้ยอดรวมของผู้งานน่าจะแตะถึง 4 ล้านราย ตามเป้าหมายอย่างแน่นนอน”

ฐากร ปิยะพันธ์ เผยผลประกอบการกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ครึ่งปี 2562

Masii.com ฝันใหญ่บนเส้นทางดิจิทัลของกลุ่ม บี.กริม

<h2>กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยความสำเร็จ แอปพลิเคชั่น “UCHOOSE” แอปฯ จัดการข้อมูลบัญชีบัตรเครดิตสำหรับสมาชิกในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ หลังจบสิ้นปีราว 2.7 ล้านใบ พร้อมเตรียมเปิดตัว เวอร์ชั่นใหม่ ปลายไตรมาสแรกของปี ผนึกพันธมิตรร้านค้า สร้าง e-marketplace ภายในแอปฯ</h2>
ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยเตรียมต่อยอดพัฒนาแอปพลิเคชั่น “UCHOOSE” จาก ‘ไลฟ์สไตล์ แอปพลิเคชั่น’ ให้เป็น ‘ซุปเปอร์ แอปพลิเคชั่น’ ที่ช่วยตอบสนองความต้องการใช้งานบัตรเครดิตของลูกค้าผ่านแอปยูชูสได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

“เราหวังจะให้แอปฯ เป็นเพื่อนกับผู้ถือบัตรของเราเพื่อที่จะนำไปจับจ่ายใช้สอยอย่างสะดวกสบาย มีอิสระ รู้จักไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้ดีขึ้น ลูกค้าสามารถเลือกสิ่งที่ลูกค้าชอบได้เอง จากที่ผ่านมาเราเปิดตัว UCHOOSE ประมาณเดือนมีนาคม 2560 ซึ่งปลายปี 2561 มีจำนวนผู้สมัครสมาชิกราว 2.7 ล้านใบ โดยเฉพาะปี 2561 มีการสมัครสมาชิกแอปฯ ค่อนข้างสูงมาก โดยมีกลุ่มหนุ่มสาววัยรุ่นช่วงอายุระหว่าง 25-35 ปี เป็นผู้ใช้งานหลัก เนื่องจากเรานำพีเจอร์ในเรื่องมาร์เก็ตติ้ง โปรโมชั่น

จากข้อมูลที่เก็บมาปัจจุบันเราสมาชิกที่ใช้โทรศัพท์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นจำนวนมากกว่าระบบ iOS ซึ่งจากข้อมูลที่ได้เรารู้ว่าผู้ใช้งานใช้งานมือถือยี่ห้ออะไร โดยข้อมูลเหล่าถูกนั้นมาเพื่อการออกแบบให้เหมาะสมกับมือถือรุ่นนั้นๆ โดยสถิติที่สำคัญคือทุกวันเรามีผู้ใช้งานราวๆ 6 แสนคนต่อวัน และตอนนี้แอปฯ มีความสามารถ อาทิ การตรวจสอบวงเงิน จำนวนคะแนนสะสม หรือโอนคะแนนสะสม การขอวงเงินช่วยคราว เป็นต้น

<figure><img class="wp-image-3313 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/สถิติ-UCHOOSE-01.jpg" alt="แอปพลิเคชั่น “UCHOOSE”" width="638" height="425" /><figcaption> สถิติประมาณการผู้ใช้งานปี 2561</figcaption></figure>

“ที่สำคัญหลังจากการที่เราเก็บข้อมูลบัตรเครดิตมาต่อเนื่องกว่า 20 ปีที่ผ่านมา และพฤติกรรมของการใช้แอปฯ ร่วมๆ 2 ปี ต่อไป โปรโมชั่นจะที่จะนำเสนอจะเป็นส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น โปรโมชั่นที่ลูกค้าเห็นจะใกล้เคียงกับการใช้ของลูกค้าจริง เป็นผสมผสานผ่านพฤติกรรมการใช้จ่าย และบวกกับการติดตามในเรื่อง nearby location ซึ่งแอปฯ จะแจ้งเตื่อนข้อมูลและโปรโมชั่นสำคัญให้กับผู้ใช้งานแอปฯ”

สำหรับปีที่ผ่านมา “UCHOOSE” เปิดตัวฟีเจอร์ต่างๆ ที่ใช้ให้ชีวิตสะดวกสบาย อาทิ การเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรร้านค้าต่างๆ อาทิ การนำพ้อยท์แลกเป็นตั๋วชมภาพยนตร์ การเปิดตัว QR Payments ของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด เพื่อให้ผู้ทำการชำระผ่าน QR ได้ หรือการทดสอบการใช้ e-Coupon โดยมีการใช้ราว 150,000 ครั้ง

จากฟีเจอร์ต่างๆ จะทำให้เลือกกลุ่มเป้าหมายที่สามารสื่อสารไปถึง และยังช่วยให้พันธมิตรร้านสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น และทำให้เราประหยัดต่อปีราว 8-9 ล้านบาท ในแง่การประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นผ่านจดหมายแจ้งค่าบริการ ซึ่งการที่เราได้เห็นโปรโมชั่นผ่านแอปฯ นั้น ดีกว่า ง่ายกว่า ดีต่อเราและดีต่อลูกค้า ซึ่งเราได้แจ้งเตื่อนในเรื่องโปรโมชั่นไปแล้วมากกว่า 99 ล้านครั้ง

<figure><img class="wp-image-3314 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/สถิติ-UCHOOSE-02.jpg" alt="แอปพลิเคชั่น “UCHOOSE”" width="638" height="425" /><figcaption> ฟีเจอร์ใหม่ของ UCHOOSE</figcaption></figure>

“สำหรับปี 2562 นี้เราปลายไตรมาสแรกเราของ UCHOOSE เวอร์ชั่นใหม่ แบบเจาะลึกมากขึ้นและเป็นการนำเอาเรื่อง Big Data และ AI มาใช้งาน โดยไฮไลท์หลักคือการทำให้แอปฯ เป็นช่องทาง e-marketplace เชื่อมต่อกับพันธมิตรที่เรามีภายในประเทศที่เป็นผู้ขายอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ราย 2-3 หมื่นราย ร้านอาหารที่เป็นพันธมิตรมากกว่า 3,000 ร้านและพันมิตรที่ขายของออนไลน์อีกหลายราย

“ต่อไปนี้สิ่งที่เราอยากเห็นคือลูกค้าของเราที่อยากซื้อของ จำเป็นต้องไปที่แอปฯ นั้นหรือเปล่า ถ้าลูกค้าอยากจะจองทัวร์ไปเที่ยว เราก็จะให้ลูกค้าจองทัวร์ไป ผ่านแอปของเรา หรือถ้าถึงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนมือถือใหม่ เราเตรียมโปรโมชั่นรอไว้ นอกจากนี้ โดยปีหน้าเราตั้งเป้าสมาชิก U choose ที่ 4 ล้านราย คาดว่าจะลูกค้าหลักอยู่ที่ราย 3 ล้านกว่าคน” ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งเป้าปี’62 “UCHOOSE” สู่ 4 ล้านดาวน์โหลด

นายฐากร ปิยะพันธ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และนายอธิป  ศิลป์พจีการ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด  จับมือ นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการบริหารร่วม (Co-CEO) และ นายวัชระ เอมวัฒน์ (ขวาสุด) ประธานกรรมการบริหารร่วม (Co-CEO) ซิก เน็ทเวิร์ค Startup ในวงการ Blockchain - Cryptocurrency ผู้ให้บริการดิจิทัลครีเอทีฟแพล็ทฟอร์ม (Decentralized Service Platform) ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินของกรุงศรี คอนซูมเมอร์สำหรับกลุ่มบุคลากรนักสร้างสรรค์และผู้ผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ที่ประกอบอาชีพอิสระ บนแพล็ทฟอร์มของซิก เน็ทเวิร์ค ด้วยการให้บริการด้านสินเชื่อแบบใช้ข้อมูลประกอบการพิจารณา (Information-based Lending) พร้อมโอกาสในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ในอนาคต หวังสนับสนุนไทยก้าวสู่เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ พร้อมขยายฐานลูกค้า เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประกอบอาชีพอิสระ ตั้งเป้ายอดสินเชื่อ 1 พันล้านบาท ภายในปีแรก

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จับมือ ซิก เน็ทเวิร์ค สนับสนุนเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

“What you do today will determine your future” — Catherine Pulsifer
ผมว่าคำกล่าวข้างต้นเป็นกุญแจไขความลับของอนาคต ดังนั้นหากจะถามว่า แล้วแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคตจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องกลับมาดูว่าวันนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นแล้วบ้าง

Can’t live without mobile
ทุกวันนี้มือถือกลายเป็นทุกอย่างในชีวิตเราไม่ว่าจะเป็นแหล่งเก็บข้อมูล หาข้อมูล เครื่องมือสื่อสารทั้งภาพ เสียง และข้อมูล ที่สำคัญเป็นเครื่องมือติดต่อกับสังคมออนไลน์ที่ทุกวันนี้แทบจะกลายมาเป็นโลกหลักในการใช้ชีวิตของหลายคน นอกจากนี้มือถือยังเป็นเครื่องมือทำธุรกรรมทางการเงินอีกด้วย แบบนี้แล้ว นักธุรกิจและนักการตลาดไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วครับ ทำยังไงก็ได้ให้ผลิตภัณฑ์ของคุณมาเจอกับลูกค้าของคุณบนมือถือให้ได้

TV มีไว้เป็นอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน
ผมเป็นคนหนึ่งที่ดูทีวีน้อยลงมาก นับตั้งแต่ระบบสื่อสารบ้านเรา (3G-4G) รวดเร็วขึ้นมาก ทำให้สามารถบริโภคข้อมูล หนัง เพลง ผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นได้สะดวกรวดเร็ว ทั้งยังเลือกดูคอนเทนท์ที่เราสนใจ ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเราได้ โดยไม่รู้สึกเหมือนโดนยัดเยียด นักการตลาด  นักโฆษณา และเจ้าของผลิตภัณฑ์ยุคใหม่จึงควรจะต้องปรับตัวแบบ 360 องศา เพื่อที่จะเข้าถึงผู้บริโภคด้วยวิธีการและช่องทางใหม่ๆ แทนที่จะเน้นการสื่อสารผ่านทีวีเป็นหลัก

พฤติกรรมขอคำแนะนำผ่านโลกออนไลน์
จะซื้อ Apple Watch ดีไหม?  อยากกินอาหารญี่ปุ่นแถวทองหล่อ มีร้านไหนแนะนำ? และอีกหลายๆ อย่างที่คนสมัยนี้นิยมหาคำตอบผ่านโลกออนไลน์ ไม่ใช่แค่ Google หรือ Pantip แต่รวมไปถึง ผ่านกลุ่มไลน์ ผ่านเว็บไซต์หรือแอพฯ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมามากมาย เพราะ “ผู้บริโภคต้องการตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อ”ข้อมูลพื้นฐานที่เจ้าของสินค้าให้มาไม่สามารถช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ แต่ผู้บริโภคต้องการคนที่เคยใช้สินค้าหรือเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว มาให้ข้อมูลอีกด้านเพื่อประกอบการตัดสินใจ และหากเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาพูด ยิ่งทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น

Sharing is caring
คล้ายกับพฤติกรรมข้างต้น แต่แตกต่างกันในมิติของการเป็นผู้ให้ข้อมูลแทน โดยมีข้อมูลอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นข้อมูลที่สร้างขึ้นมาเอง เช่น การแชร์รูปอาหารที่เพิ่งไปกินมา การแชร์รูปภาพสถานที่ที่ไปเที่ยวมา กับอีกด้านคือข้อมูลที่รับมาอีกที ซึ่งหากถูกใจก็จะแชร์ทันที ดังจะเห็นได้ว่าหากเจ้าของสินค้าทำหนังโฆษณาที่เข้าถึงความรู้สึกของผู้บริโภคได้ดี กระแสการแชร์ต่อๆ กันไปก็จะแรงขึ้น ซึ่งบางครั้งได้ผลดีมากกว่าโฆษณาทีวีด้วยซ้ำ เจ้าของสินค้าเองจึงควรต้องหาทางเข้าถึงเหล่าบรรดา influencer เหล่านี้ให้ได้

นอกจากนี้พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ยังข้องเกี่ยวกับการ รักษ์โลก รักษ์สุขภาพ และ การพัฒนา Mobile Payment ที่ทำให้ผู้บริโภคเป็นตัดสินใจซื้อสินค้าได้ทุกเวลา

<img class="img-responsive" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/thagoon.png" alt="" />
ฐากร ปิยะพันธ์
กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรุงศรี คอนซูมเมอร์

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/6fV29E">อ่านฉบับเต็ม "พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และแนวโน้มในอนาคต" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ FEBRUARY 2016 ในรูปแบบ E-Magaizne</a>
<a href="http://goo.gl/6fV29E"><img class="img-responsive" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/cover---feb.jpg" alt="" width="391" height="511" /></a>

พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และแนวโน้มในอนาคต

<h2>กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลยังเติบโตแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญปัจจัยท้าทายในภาวะตลาดปัจจุบัน เผยช่วงแปดเดือนแรกยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต สูงกว่า 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดสินเชื่อใหม่สูงถึง 6 หมื่นล้านเพิ่มขึ้น 10% จำนวนบัญชีลูกค้ารวมสูงกว่า 8.4 ล้านบัญชี เติบโต 6% เตรียมอัดงบการตลาดช่วงปลายปี กระตุ้นยอดใช้จ่าย พร้อมปรับกลยุทธ์ ชูนวัตกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า วางรากฐานธุรกิจรับกระแส Digital Payment</h2>
ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เติบโตเป็นที่น่าพอใจ แม้ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจด้วยจำนวนลูกค้ากว่า 8.4 ล้านบัญชี เติบโต 6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ยอดสินเชื่อใหม่ 60,000 ล้านบาท เติบโต 10% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 1.6 แสนล้านบาท เติบโต 5% จำนวนลูกค้าใหม่ จากบัญชีบัตรเครดิตใหม่ 260,000 บัญชี เติบโต 5% จากบัญชีสินเชื่อใหม่ 250,000 บัญชี เติบโต 5% ส่วนยอดสินเชื่อรวมสูงถึง 130,000 ล้านบาท หรือเติบโต 5% ฐากร ปิยะพันธ์ กล่าว และเผยว่า สำหรับหมวดการใช้จ่ายที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ หมวดไฮเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์มาร์เก็ต เบี้ยประกันภัย หมวดท่องเที่ยว รวมถึงหมวดสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดสินเชื่อรวมภายในสิ้นปีนี้น่าจะเติบโตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 140,000 ล้านบาท เติบโต 4% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 260,000 ล้านบาท เติบโต 4% ยอดสินเชื่อใหม่ 90,000 ล้านบาท เติบโต 10% และจำนวนบัญชีลูกค้ารวม 8.4 ล้านบัญชี เติบโต 4%

ในปีนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้ พัฒนาธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ บริการ และองค์กร ด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไปสู่ยุค Digital Payment ด้วยกลยุทธ์หลัก 4 ประการ คือ การสร้างความเติบโตเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงช่องทางการขายใหม่ๆ พร้อมร่วมมือกับบริษัทในเครือกรุงศรี และพันธมิตรเพื่อสร้างความเติบโตทางธุรกิจ การเปลี่ยนแพลตฟอร์มการดำเนินธุรกิจสู่ดิจิทัล โดยใช้ข้อมูลจาก Big Data ในการประมวลผลเพื่อให้สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และก้าวสู่การเป็น Data Company รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับบริการต่างๆ เช่น นวัตกรรม Digital Lending เพื่อการสมัครสินเชื่อหรือบัตรเครดิตผ่านโมบาย แอพพลิเคชั่น และนวัตกรรม Digital Payment เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่าน QR Code ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและน่าจะเริ่มให้บริการได้ในเร็วๆ นี้

“การเปลี่ยนแพลตฟอร์มการดำเนินธุรกิจสู่ดิจิทัลเพื่อปูรากฐานไปสู่กลยุทธ์สองข้อสุดท้ายคือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าและการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เหมาะสมกับธุรกิจในอนาคต นับเป็นกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจในระยะยาว เพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จึงจำเป็นที่เราจะต้องปรับองค์กรให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง” ฐากร กล่าว พร้อมชูแอพพลิเคชั่น U Choose ที่ให้บริการต่างๆ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีผู้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นและลงทะเบียนบัตรเครดิตไปแล้วถึง 6 แสนใบ

“กลยุทธ์ทั้งสี่ประการนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยปูรากฐานให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์สามารถปรับองค์กร และพัฒนานวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ บริการ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ ให้ก้าวทันสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล เพย์เม้นต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจไว้ได้อย่างยั่งยืน” ฐากร ปิยะพันธ์ กล่าวสรุป

<figure><img style="width: 680px; height: 520px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/816457feb53297e1b607f38fc1d249e2.png" alt="" width="680" height="520" /><figcaption> (จากซ้าย): นิค สมาร์ท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด, เกลน ริชาร์ด แนกกลิส ผู้อำนวยการอาวุโส  ผู้บริหารฝ่ายงานเครือข่ายการขาย บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด, ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์, อธิศ รุจิรวัฒน์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด, สมสมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด</figcaption></figure>

&nbsp;

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง พร้อมปรับกลยุทธ์ ชูนวัตกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ ก้าวสู่ยุค Digital Payment

<h2>กรุงศรี กรุ๊ป จับมือ กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่าสุด บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และ บัตรเซ็นทรัล เดอะวัน เฟิร์สช้อยส์  รับคะแนนสะสม The One Card เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร ทุกร้านค้าในเครือบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด</h2>
"กรุงศรี กรุ๊ป เชื่อมั่นในการสร้างธุรกิจของเราให้เติบโตเคียงคู่ไปกับพันธมิตร ในโอกาสที่บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด มอบความไว้วางใจต่อสัญญาให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เป็นพันธมิตรผู้ให้บริการทางการเงินรายหลักของบริษัทฯ เราจึงได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บัตร Co-brand ใหม่ล่าสุด" โนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ โนริอากิ โกโตะ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กรุงศรี กรุ๊ป ในฐานะที่เป็นสมาชิกของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป หรือ MUFG กลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก ยังมีแผนจะใช้เครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งในระดับสากล รวมถึงเครือข่ายที่กว้างขวางของเราในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในประเทศไทย สนับสนุนความร่วมมือทางธุรกิจของเรากับบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นทั้งในประเทศและในระดับโลก

ด้าน ปริญญ์  จิราธิวัฒน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกรุงศรี กรุ๊ป และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า

“กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำด้านการประกอบธุรกิจของประเทศไทย ครอบคลุมทั้งกลุ่มธุรกิจค้าปลีก, กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มธุรกิจค้าส่ง, กลุ่มธุรกิจโรงแรม และกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร  ตลอดระยะเวลา 70 ปี ของการดำเนินธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล มีความมุ่งมั่นในการเลือกสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพ และพัฒนาการบริการที่ประทับใจ เพื่อมอบให้กับลูกค้าของเราตลอดมา"

"โดยการดำเนินการที่สำคัญ คือ การสร้างสรรค์ระบบรอยัลตี้ โปรแกรมอย่าง The 1 Card ที่เกิดขึ้นมากว่า 10 ปี และได้รับการพัฒนาสู่การเป็น Data Center ที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มเซ็นทรัล เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าใจลูกค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น”

“บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน” ยังเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญของทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อร่วมส่งมอบความพิเศษสูงสุดให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลไม่ว่าจะเป็นคะแนน The 1 Card สูงสุด 4 เท่า ส่วนลดและเอกสิทธิ์เฉพาะบัตรอีกมากมาย

พร้อมกันนั้น ยังจะเป็นบัตรเครดิตใบแรกที่สามารถสะสมคะแนน The 1 Card ได้ทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะในเครือกลุ่มเซ็นทรัลเท่านั้น รวมถึงสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ผ่าน “บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน” ที่มีให้เลือกถึง 4 รูปแบบ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว

ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ อธิบายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผลิตภัณฑ์บัตร Co-brand ใหม่ล่าสุด จากความร่วมมือของกรุงศรี และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ว่า “แนวคิดหลักของบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเซ็นทรัล เดอะวัน เฟิร์สช้อยส์ คือ ถอดรหัสทุกไลฟ์สไตล์ กล่าวคือ สมาชิกบัตรจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้จ่ายในชีวิตและหลากหลายกว่าเดิม จากการผสานศักยภาพของทั้งกรุงศรี กรุ๊ป และ กลุ่มเซ็นทรัล รวมถึงพันธมิตรของเรา

โดยตั้งเป้าจะเจาะกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นและเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยสิทธิประโยชน์ สุดพิเศษของทั้งสองผลิตภัณฑ์ ประกอบกับความเชี่ยวชาญอันยาวนานในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของ  กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเราได้อย่างแน่นอน”

<img style="width: 640px; height: 426px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0828c7d27ec5143f9c600571bd5f6ba2.jpg" alt="" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events