<h2>คลับเฮ้าส์ (Clubhouse) โซเชียล มีเดีย ที่มียอดผู้ใช้งานกว่า 2 ล้านคนในไทย กลายเป็นช่องทางใหม่ในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ เป็นเครื่องมือปั้น Personal Branding อินฟูลเอนเซอร์ รวมไปถึงปิดดีลธุรกิจ จับตาเทรนด์ใหม่ของโซเชียล มีเดียทางเสียงที่จะเติบโตต่อไปอนาคต</h2>
ณัฐศิษฎ วาจาสิทธิศิลป์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท เวลธ์ ไดนามิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด นักกลยุทธ์การตลาด และผู้เขียนหนังสือ Clubhouse Influencers คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ใช้ Clubhouse ในประเทศไทย จะมีจำนวนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งถือเป็นโซเชียล มีเดียใหม่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญจากการที่ Elon Musk ซีอีโอ ของ Tesla เปิดห้องคุยใน Clubhouse เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ยอดการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Clubhouse เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ มี 4 เหตุผลสำคัญ (4E) ที่ทำให้ผู้คนติดแอปพลิเคชัน Clubhouse

1.ความใกล้ชิด (Engagement) Clubhouse ทำให้คนธรรมดาทั่วไป สามารถพูดคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จ มหาเศรษฐี เช่น Elon Musk หรือ ธนินท์ เจียรวนนท์ ได้ง่ายและเป็นกันเอง เหมือนคุยกันในสวนหลังบ้าน ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
2.ความเป็นมนุษย์ (Empathy) การพูดคุยใน Clubhouse แสดงถึงความเป็นตัวตนของบุคคลนั้นได้มากกว่าการพูดคุยในที่สาธารณะอื่นๆ เพราะเป็นการสนทนาระหว่างบุคคล
3.ฟังได้ตลอดเวลา (Every Moment)
4.ได้ความรู้แบบเจาะลึก (Education) ที่เกิดจากการพูดคุย ซักถามแบบเป็นกันเอง

ณัฐศิษฎ กล่าวว่า Clubhouse เป็นโซเชียล มีเดีย ที่สามารถสร้างอินฟลูเอนเซอร์ ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยกตัวอย่างตัวเองที่เป็นนักการตลาด สนใจเรื่องดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ทำธุรกิจด้านนี้มา 12 ปี ไม่ได้เป็นที่รู้จักในสังคมวงกว้างมากนัก แต่กลายเป็นบุคคลที่มีผู้ติดตามใน Clubhouse ถึง 10,000 คน ได้ในระยะเวลา 8 วัน หัวใจสำคัญเกิดจากจุดเด่นที่แตกต่างของ Clubhouse ที่สามารถสร้าง Personal Branding ได้ เพียงแค่การใช้เสียง สนทนา และตั้งคำถาม

รวมไปถึงอัลกอริทึมของ Clubhouse สามารถเพิ่มจำนวนผู้ติดตามแบบทวีคูณ โดย 1 บัญชีผู้ใช้งาน สามารถสร้าง Clubhouse ได้หลายห้องพร้อมกัน รวมทั้งการสนทนาใน Clubhouse ยังเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ในหลายรูปแบบ จนถึงขึ้นมีการเจรจาทางธุรกิจเกิดขึ้นจำนวนมาก

“จริงๆ ใน คลับเฮ้าส์ มีกฎห้ามไม่ให้มีการขายของ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการสนทนาช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้สินค้า มีเจ้าของธุรกิจ นักการตลาดบางรายเข้ามาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ นำไปสู่การซื้อสินค้าตามมา ตลอดจนเป็นช่องทางสำคัญที่นักการตลาดจะได้รู้ Insight ของผู้บริโภคด้วย” ณัฐศิษฎกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-42831" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/S__3949049.jpg" alt="" width="333" height="500" />

เทรนด์ใหม่โซเชียล มีเดียทางเสียง

ณัฐศิษฎ กล่าวด้วยว่า Clubhouse เป็นตัวอย่างหนึ่งของโซเชียล มีเดียที่อยู่บนพื้นฐานของการเสียง ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งในต่างประเทศ Amazon ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนา Alexa อุปกรณ์รับฟังคำสั่งทางเสียง เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน หรือ Google Home ของค่าย Google ในอนาคตโซเชียล มีเดียที่ใช้เสียงเป็นพื้นฐาน จะได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะใช้งานง่าย และทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น เหมือนกับ “จาร์วิส” ในภาพยนตร์เรื่องไอรอน แมน

“ทักษะการฟัง ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ ช่วยให้เกิดจินตนาการ คนถึงชอบฟังมากกว่าการอ่าน และสามารถใช้เวลากับการฟังเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าการดู รับชมผ่านจอมือถือ คลับเฮ้าส์ จึงเป็นอนาคตของโซเชียล มีเดียในยุคถัดไป” ณัฐศิษฎกล่าว

สำหรับเรื่องราวยอดนิยมใน Clubhouse ของไทย มีทั้งเรื่องการเมือง แนวคิดการทำธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด เทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงเคล็ดลับด้านการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น คริปโต เป็นต้น

<img class="alignnone size-full wp-image-42832" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/S__3949050.jpg" alt="" width="333" height="500" />

ช่องทางใหม่คนทำคอนเทนต์

ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สต็อคทูมอร์โรว์ จำกัด ผู้พิมพ์หนังสือ Clubhouse Influencers กล่าวว่า ในฐานะเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ ผ่านการทำธุรกิจจัดสัมมนา เว็บไซต์ และการผลิตหนังสือ

Clubhouse ถือเป็นช่องทางใหม่ที่ทำให้คนเข้าถึงข้อมูล ความรู้ได้ง่าย ซึ่งจะเข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจของบริษัทได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา จากสถานการณ์โควิด ได้ปรับทิศทางธุรกิจเข้าสู่ออนไลน์มากขึ้น เชื่อว่า Clubhouse เป็นเครื่องมือที่ดีในการดึงคนเข้ามาร่วมหาความรู้ใหม่ๆ

“ความนิยมที่เกิดขึ้นใน คลับเฮ้าส์ แสดงให้เห็นว่าคนมีความต้องการหาความรู้ใหม่ๆ เพื่ออัพสกิล ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล เพราะองค์ความรู้ต่างๆ  ที่เคยรู้ หรือร่ำเรียนมาในอดีต ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน รูปแบบของอาชีพก็แตกต่างจากอดีต” ปิยพันธ์กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชัน 2Read ซึ่งจะพัฒนาเป็นโซลูชันในการอัพสกิลทุกรูปแบบ รวบรวมมาไว้ในแอปฯ เดียว ซึ่งจะเป็นให้บริการภายใน 1-2 เดือนนี้ สำหรับหนังสือ Clubhouse Influencers จะรวบรวมนักเขียนซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังใน Clubhouse มาไขความลับทุกเรื่องใน Clubhouse อาทิ ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์ เจ้าของเพจ โซอี้ Digital Shortcut ฐากร วรภฤศโศภน นักลงทุน US Stock Options ตุลยวัต ธรรมเมธาพร – Money6Pack และ สมฤกษ์ ชัยศิริมหามรกต Cypto Investor เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/poolspa-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b9%8c%e0%b8%9b%e0%b8%b5-64-%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b9%e0%b9%88.html">POOL&amp;SPA เปิดกลยุทธ์ปี 64 มุ่งสู่ บริการสระว่ายน้ำครบวงจร</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ส่องโอกาสธุรกิจใน "คลับเฮ้าส์"

ถอดบทเรียน SOdA PrintinG ผู้บุกเบิก TikTok Marketing

"เรดดี้ แพลนเน็ต" เปิดแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์เต็มรูปแบบ ติดอาวุธ SME ไทยเติบโต

<h2>facebook ประเทศไทย เผยอุปสรรคที่เกิดขึ้นบนเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจในประเทศไทยเสียโอกาสเป็นมูลค่าถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี เผยข้อมูลเชิงลึกจากรายงาน “Zero Friction Future” ระบุถึงอุปสรรคและบทบาทของ Facebook ที่ช่วยให้การซื้อสินค้าราบรื่นขึ้นสำหรับผู้บริโภคในประเทศไทย</h2>
John Wagner Managing Director Facebook ประเทศไทย กล่าวในระหว่างการเผยผลการศึกษาว่า ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจที่จะโฆษณาผลิตภัณฑ์และบริการผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ความท้าทายคือ ธุรกิจเหล่านั้นจะมีการพัฒนาวิธีปฏิบัติเชิงดิจิทัลอย่างไรตอบความต้องการของผู้บริโภคอย่างไร

“ผลการศึกษาได้เปิดเผยว่า ร้อยละ 55 ผู้บริโภคชาวไทยใช้เวลารอการดาวน์โหลดของเว็บไซต์ น้อยกว่า 5 วินาที ก่อนที่พวกเขาจะออกจากเว็บไซต์ ร้อยละ 80 เชื่อว่าประสบการณ์ที่ธุรกิจนำเสนอนั้นมีความสำคัญ เท่ากับผลิตภัณฑ์หรือบริการ และร้อยละ 44 หยุดดำเนินขั้นตอนเพื่อซื้อสินค้ากับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เมื่อพวกเขาเผชิญกับประสบการณ์การสื่อสารที่ไม่มีคุณภาพ”

รายงาน “Zero Friction Future” ของ Facebook ได้เปิดเผยว่า สำหรับประเทศไทยโอกาสที่เสียไปจากอุปสรรคดังกล่าวได้ถูกประเมินว่ามีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านเหรียญฯ โดยธุรกิจไทยควรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้และนำเสนอขอบเขตการสื่อสารแบบหมุนเวียนที่ใกล้ชิดกับประสบการณ์ในชีวิตจริงของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นสำหรับโอกาสที่สูญเสียไป

“ธุรกิจไทยควรสร้างสรรค์ประสบการณ์การติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านหลากหลายช่องทาง (omni-channel) ด้วยการใช้เครื่องมือต่างๆ” John Wagner เผย

John Wagner กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภายในปี 2563 มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกจะซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งถูกจัดการโดยไม่พึ่งพามนุษย์เป็นจำนวน ร้อยละ 85 ทั้งนี้จากข้อมูลปี 2560 จีดีพีของประเทศไทย ประมาณร้อยละ 4 มาจากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลซึ่งสร้างสรรค์จากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลโดยตรง และภายหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจสู่ดิจิทัล มีการคาดการณ์ว่า จีดีพีในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.82 แสนล้านบาท) ภายในปี 2564

ปัจจุบัน แอพพลิเคชั่นต่างๆ ของ Facebook จำนวนการเข้าชมต่อเดือนรวม 2.7 พันล้านครั้ง หรือ 1.5 พันล้านครั้งต่อวัน ซึ่งจำนวนการเข้าชมต่อเดือนแบ่งเป็น Facebook มีผู้เข้าชม 2.3 พันล้านครั้ง WhatsApp มีผู้เข้าชม 1.5 พันล้านครั้ง Messenger มีผู้เข้าชม 1.3 พันล้านครั้ง และ Instagram มีผู้เข้าชม 1 พันล้านครั้ง โดยพีเจอร์อย่าง Stories เองได้รับความนิยมมากขึ้น Instagram Stories มีจำนวนผู้ใช้งาน 500 ล้านครั้งต่อวัน ในขณะที่ facebook Stories มีจำนวนผู้ใช้งาน 300 ครั้งต่อวัน

สำหรับประเทศไทย facebook ยังมีส่วนสำคัญในวงการดิจทัลไทย คนไทยเข้าใช้งาน facebook ราว 52 ล้านคนต่อเดือน และ 98 เปอร์เซ็นต์เป็นการเข้าสู่แอพฯ จากโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่จำนวนการเข้าใช้งาน facebook ต่อวันมีจำนวนผู้เข้า facebook 36 ล้านครั้ง

&nbsp;

facebook ประเทศไทย เผยรายงานอุปสรรคที่ทำให้การขายบนโลกออนไลน์ไม่ราบรื่น

<h2>วงการดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งบูมต่อเนื่อง ล่าสุด Ready Planet เปิดตัวบริษัทลูก Ready Planet MAX เจาะตลาดองค์กรเเละเอเจนซี่ ชูบริการเป็นพาร์ทเนอร์ครบวงจรเเบบ All-in-One ง่าย เร็ว ประหยัด </h2>
ทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้ เเพลนเน็ต จำกัด (Ready Planet) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในปัจจุบัน มีการเติบโตมากกว่า 20% ต่อปี ทั้งด้านผู้ประกอบการ การขายสินค้าออนไลน์เเละความเคลื่อนไหวขององค์กรใหญ่ที่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยน เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมในการใช้สื่อออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“จากข้อมูลพบว่า 80% ของคนไทยกว่า 70 ล้านคน สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่งผลให้ตลาดอี-คอมเมิร์ซเเละสื่อโฆษณาออนไลน์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีตัวเลขคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 20% ในช่วง 5 ปีจากนี้ไป นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความต้องการด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเพิ่มมากขึ้น”
สำหรับผลประกอบการในปี 2561 ของ Ready Planet ที่ให้บริการแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักจากจำนวนลูกค้า 1.8 หมื่นราย คือ ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเอง อย่างเช่นเว็บไซต์สำเร็จรูป โมบายแอปพลิเคชั่นพร้อมใช้และโฆษณาออนไลน์ มีรายได้ประมาณ 280 ล้านบาท โดยนับว่าเติบโตขึ้นมากกว่าปีก่อนราว 20% ทั้งภาคส่วน SME ที่เติบโตขึ้นเเละมีการบริหารงบโฆษณาดิจิทัลให้ลูกค้ามากกว่า 1 พันล้านบาทต่อปี


<figure><img class="wp-image-4886" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/02-ReadyPlanet-1024x683.jpg" alt="" width="715" height="480" /><figcaption> ทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้ เเพลนเน็ต จำกัด </figcaption></figure>
<h2>เปิดบริษัทลูก เจาะตลาดคอร์ปอเรท-เอเจนซี่</h2>
ที่น่าจับตามองคือ รายได้จากกลุ่มคอร์ปอเรทมีเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีนี้ จึงเป็นที่มาของการเปิดบริษัทใหม่อย่าง เรดดี้ เเพลนเน็ต เเม็กซ์ จำกัด (Ready Planet MAX)  เพื่อรองรับลูกค้าองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เเละพร้อมร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ให้ “มาร์เก็ตติ้ง เอเจนซี่” ที่ต้องการโซลูชั่นเเละเครื่องมือดิจิทัลมาเสริมบริการของตัวเองให้เเข็งเเกร่งขึ้น
สำหรับเทรนด์ "ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง" ในปีนี้จะเป็นการใช้ Marketing Automation และนำ Big Data มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารการตลาด
“จุดเเข็งของเราคือการเป็น All-in-One Marketing-Tech Platform ที่ดูเเลตั้งเเต่วางเเผนกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล วิเคราะห์ธุรกิจ ออกเเบบเเคมเปญเเละประเมินผลลัพธ์ รวมถึงการให้คำปรึกษาเพื่อสร้างเเบรนด์ให้เติบโต โดยเรามีเเพลตฟอร์มของตนเองที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญมายาวนาน คุ้นเคยกับลูกค้าทุกประเภท ซึ่งการมีเเพลตฟอร์มเเบบ Ready to Use ทำให้ได้เปรียบในการวางระบบให้องค์กรได้รวดเร็วภายใน 1 เดือนเเละมีราคาถูกกว่าการจ้างเขียนเเพลตฟอร์มที่ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด” ทรงยศระบุ
ด้าน บุรินทร์ เกล็ดมณี รองกรรมการผู้จัดการ Ready Planet ผู้ที่จะมารับตำเเหน่งดูเเลในภาคส่วนของ Ready Planet MAX กล่าวว่า ด้วยตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างมาก หลายองค์กรจึงต้องรีบปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อไม่ให้ตกยุคเเละเสียฐานลูกค้าไป จึงเป็นโอกาสของ Ready Planet MAX  ที่จะเข้าไปช่วยทั้งด้านการวางเเผนดำเนินการวัดผลเเละขยายผลตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทันที
“เราคิดโซลูชั่นต่างๆมาจากการวิเคราะห์ความต้องการของตลาด เป็นรูปแบบที่มากกว่าเเคมเปญหรือโครงการ เราเรียกว่า Beyond Campaign Solutions  ที่เน้นการดูเเลลูกค้าในระยะยาว ให้บริการภาพรวมการใช้ดิจิทัล เรามีเเพลตฟอร์มการตลาดของตัวเองอยู่เเล้ว สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้ตรงความต้องการได้ทันที การทรานสฟอร์มเมชั่นของธุรกิจขนาดใหญ่จะทำได้ง่าย รวดเร็ว ด้วยงบประมาณที่คุมได้เเละมีความปลอดภัยทางข้อมูลในระดับสูง” 
โดยเร็วๆนี้ จะมีการเปิด open house เพื่อพูดคุยกับองค์กรต่างๆ ที่สนใจในการพัฒนาด้านดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าองค์กรรายใหญ่ที่ให้ความไว้วางใจใช้บริการกว่า 80 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธุรกิจความงาม และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค   
“Ready Planet MAX ตั้งเป้าจะเติบโตให้ได้ 25% ในปีนี้ โดยมองว่าความต้องการของตลาดคอร์ปอเรทในไทยยังไปได้อีกมาก ต้องโฟกัสในประเทศก่อน”

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5.html">กลยุทธ์การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจในยุค Disruption</a></li>
</ul>
<img class="alignnone wp-image-4885" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/business-3370832_960_720.jpg" alt="" width="715" height="476" />
<h2>ชูจุดเด่น Marketing Tech Solution Partner</h2>
ขณะที่ สรชาติ ใจคิด รองกรรมการผู้จัดการ  Ready Planet ระบุว่า ธุรกิจรายใหญ่นั้น มีความต้องการเเตกต่างจากลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งจะเป็นเเผนระยะยาวเเบบครบวงจรมากกว่าการซื้อเเพลตฟอร์มสำเร็จรูปครั้งเดียว โดยโซลูชั่นทางการตลาดที่บริษัทประกาศนำเสนอบริการจะเริ่มต้นด้วย 3 โซลูชั่นหลัก ได้เเก่ 1) Lead gen solution สำหรับการหาลูกค้าที่ตรงกลุ่มและมีศักยภาพ 2) Digital CRM Solution สำหรับการบริหารความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และ 3) E-Commerce solution สำหรับการค้าออนไลน์แบบครบวงจรซึ่งในอนาคตจะมีการออกแบบโซลูชั่นใหม่เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจในด้านอื่นๆเพิ่มเติม
โดยบริการทั้งหมดนี้มีพื้นฐานจากการบริการดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งที่ทางบริษัทมีอยู่เเล้ว อย่าง Digital Presence เช่น เว็บไซต์และโมบายแอปฯ ระบบจัดการฐานลูกค้า บริการโฆษณาออนไลน์ หรือการทำ Content Marketing เพื่อเล่าเรื่องหรือสื่อสารเเบรนด์อย่างสร้างสรรค์ วางกลยุทธ์การสื่อสารผ่าน Influencer เเละการออกเเบบสื่อวิดิโอซึ่งกำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในเรื่อง Digital CRM ระบบจัดการลูกค้าเเละบริหารทีมขาย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยทีมวิศวกรของบริษัทโดยตรง
“เรามองเห็นโอกาสที่จะร่วมมือกับเอเจนซี่ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด แต่ยังขาดเครื่องมือด้านดิจิทัล ให้เป็นพาร์ทเนอร์ที่เสริมสร้างจุดเเข็งเสริมจุดอ่อนให้กันเเละกัน มากกว่าจะมองว่าเป็นคู่เเข่งธุรกิจ”

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/commentaries/%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84.html">ยินดีต้อนรับเข้าสู่ยุค “Data Activation” โอกาสและความท้าทายครั้งใหม่ของเหล่านักการตลาด</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events