<h2>แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่ธุรกิจดูแลทรัพย์สินของเศรษฐียังคงเร่งเครื่องต่อเนื่อง ล่าสุด KBank Private Banking ได้เสริมทัพด้วยการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ ‘อดิศร เสริมชัยวงศ์’ ขึ้นเป็นประธานกรรมการบริหารธุรกิจ ของกลุ่มฯ ซึ่งเข้ามาปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือตลาดลงทุนที่ผันผวน รวมถึงออกแบบบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้านอกเหนือจาก ‘เรื่องเงิน’</h2> ขยายฐานลูกค้าเดิม ชิง Share-wallet เพิ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อดิศร เสริมชัยวงศ์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย&nbsp;เล่าให้ฟังว่า ปีนี้ KBank Private Banking จะเห็นการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง แต่จะปรับและต่อยอดจากจุดแข็งที่มีอยู่เดิมคือ ในกลุ่มลูกค้า Wealth ของไทยเราเข้าถึงได้กว่า 90% ของทั้งตลาดแล้ว แต่อาจมีทรัพย์สินอยู่กับเราไม่มากเท่ากับแหล่งอื่นๆ ดังนั้นเพื่อสร้าง Share-wallet เพิ่มจึงจะใช้กลยุทธ์หลักคือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1) การกลับมา Re-engage กับลูกค้า เพื่อปรับมุมมองและความสัมพันธ์จากเดิมที่เน้นรายผลิตภัณฑ์ จะให้เน้นการเป็นที่ปรึกษามากขึ้น ไม่ใช่แค่ด้านการลงทุน แต่เป็นที่ปรึกษาในทุกเรื่อง เช่น เรื่องการบริหารภาษี การจัดการที่ดิน วางแผนเพื่อส่งต่อมรดกและธุรกิจ ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(2) ปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ผ่านกลยุทธ์ Core &amp; Satellite ซึ่งจะเป็นการกระจายการลงทุนให้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนหลายคนยังเจ็บตัวจากการเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น KBank Private Banking จะเข้าไปแนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุน ผ่านกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงที่จะช่วยให้บริหารสภาพคล่องและเงินทุนตามเป้าหมายของลูกค้าได้ง่ายขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ที่จะขยายส่วนงาน Non-Investment เช่น ที่ปรึกษาด้านภาษี การส่งต่อภายในครอบครัว ฯลฯให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน KBank Private Banking ยังคงมีกลุ่มลูกค้าที่ Conservative ค่อนข้างมาก (เน้นทรัพย์สินที่เป็นเงินฝากในสัดส่วนสูง) รวมถึงต้องการวางแผนส่งต่อมรดกไปสู่รุ่นถัดไป ดังนั้นการขยายให้คำปรึกษาด้านต่างๆ จะช่วยให้ลูกค้าวางแผนการเงินได้ครบทุกมิติ<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/hMrv6wtPTzxvaQLjNSU5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hMrv6wtPTzxvaQLjNSU5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> เศรษฐีแห่ขายที่ดิน ‘ลดเสี่ยง’ ภาษีเกินมูลค่าปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ที่เริ่มใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอย่างเต็มรูปแบบ และเห็นแนวโน้มที่ลูกค้าจะขายที่ดินมากขึ้น เช่น พื้นที่แถบชะอำจะเห็นประกาศขายค่อนข้างมาก บางส่วนยังตั้งราคาขายต่ำกว่าราคาประเมินของทางราชการ หรืออาจเพราะประเมินว่าการบริหารจัดการที่ดินอาจมีต้นทุนสูง (เช่น ภาษี, การเพาะปลูก ฯลฯ) จึงหันมาขายออกเพื่อเป็นสภาพคล้องและบริหารผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินแทน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงเดือน ม.ค. 2567 ที่ผ่านมาทางทีม KBank Private Banking จัดทำรายงานเพื่อให้ลูกค้าเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ดิน เช่น หากปล่อยที่ดินรกร้างไว้ 25 ปีหลังจากนี้ ภาษีฯ ที่ต้องจ่ายอาจสูงกว่ามูลค่าที่ดินในปัจจุบัน หรือหากปรับเป็นพื้นที่เกษตรอาจมีต้นทุนด้านอื่นๆ เพิ่ม ดังนั้นจึงต้องวางแผนอย่างรอบด้าน ขณะที่หากปรับมาใช้สินเชื่อเพื่อเงินลงทุน (Land Loan) อาจเป็นทางเลือกสำหรับการสร้างผลตอบแทนจากที่ดินที่มีอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันฐานลูกค้าของ KBank Private Banking มีที่ดินกว่า 20,000 แปลง (10% ขอสินเชื่อ Land Loan) และมียอดสินเชื่อคงค้าง Land Loan ที่ราว 13,000 ล้านบาท โดยมีที่ดินที่อยู่ระหว่างการพูดคุยกับลูกค้ามูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท และคาดว่ากลางปี 2568 จะมียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 18,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านการลงทุนแม้ลูกค้าบางส่วนยัง Conservative แต่เชื่อว่าการขยายบริการ Non-Investment จะช่วยให้เปิดทางเลือกให้ลูกค้าได้มากขึ้น เช่น การทำธรรมนูญครอบครัว ที่เราจะแนะนำสำนักงานกฎหมายให้เพื่อการจัดตั้งกฎระเบียบต่าง จึงไม่ได้มีรายได้ทางตรง แต่จะเปิดทางให้เราสามารถให้คำแนะนำกับลูกค้าได้ในภาพรวม เช่น ผ่านทรัพย์สินที่ดิน พอร์ตการลงทุน หรือ การลงทุนต่างประเทศ<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/fwicxbp2rSmss7hT7tzu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fwicxbp2rSmss7hT7tzu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ ปี 67 จังหวะปรับพอร์ตลงทุน หาโอกาสผ่านหุ้นนอกตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อดิศร เล่าต่อว่า ช่วงที่ผ่านมีผู้บาดเจ็บจากตลาดการลงทุนมามาก แม้ปีนี้จะมีความท้าทายต่างๆ เช่น ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงที่กำลังเริ่มต้น การเลือกตั้งสหรัฐที่จะส่งผลต่อ Global trend ไปจนถึงความไม่แน่นอนต่างๆ แต่ปี 2567 นี้เห็นทิศทางตลาดปรับตัวดีขึ้น ยิ่งเป็นจังหวะเหมาะในการปรับพอร์ตลงทุนให้พร้อมรับความท้าทายในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การจัดพอร์ตลงทุนยังขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่รองรับได้ในแต่ละบุคคล แต่ยังต้องเน้นกลยุทธ์ Core &amp; Satellite ที่กระจายความเสี่ยงในภาพรวม โดยส่วนตัวมองว่าส่วน Core ควรมีสัดส่วนที่ 70% เพื่อรับมือความไม่แน่นอนต่างๆ และ Satellite อีกราว 20-30% เพื่อลงทุนในส่วนที่สนใจ และมองว่าหลังจากนี้ในช่วงไตรมาส 4/67 หุ้นในเอเชียจะได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมีเม็ดเงินบาทส่วนไหลออกจากสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันยังมองว่า การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอย่าง Private Equity (PE) มีความน่าสนใจและเหมาะกับการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนในระยะยาว โดยในไตรมาส 4 นี้จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน KBank Private Banking มีฐานลูกค้าราว 12,000 ราย และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของ KBank Private Banking มีอยู่ราว 900,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝาก 500,000 ล้านบาท และส่วนการลงทุน 400,000 ล้านบาท Photo by <a href="https://unsplash.com/@barilo?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Vitalijs Barilo</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/aerial-view-of-city-buildings-during-daytime-ZIYd9Lq1eNs?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-flood-2024-sep-2024" alt="วิจัยกรุงศรี ชี้ช่วงปลายปี 67 เสี่ยงน้ำท่วมสูงขึ้น แต่ไม่หนักเท่าปี 54 คาดเสียหาย 46,500 ล้าน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kr-home-loan-banking-thailand-sep-2024" alt="ศูนย์วิจัยฯ ประเมินสินเชื่อบ้านโตต่ำสุดในรอบ 23 ปี ผลเศรษฐกิจฟื้นไม่ทั่ว-หนี้เสียสูง"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/travel/bangkok-ranks-4th-among-top-5-destinations-for-chinese-national-day" alt="กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/cardx-first-half-2024-total-loans-103000-million-baht-expected-all-year-spending-credit-cards-grow-5-8-percent" alt="CardX เผย ครึ่งแรกปี 67 ยอดสินเชื่อรวม 103,000 ล้านบาท คาดทั้งปียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโต 5-8%">CardX เผย ครึ่งแรกปี 67 ยอดสินเชื่อรวม 103,000 ล้านบาท คาดทั้งปียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโต 5-8%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

อ่านแผนงาน KBank Private Banking ภายใต้ผู้นำทัพคนใหม่ ‘อดิศร เสริมชัยวงศ์’

<h2>ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวแคมเปญ ‘ที่ดินแลกคอนโดใจกลาง CBD’ เปิดทางเจ้าของที่ดินหลากทำเล นำที่ดินเปล่าทำเลศักยภาพทั่วประเทศ แลกเปลี่ยนเป็นคอนโดโซน CBD พร้อมอยู่ที่สามารถสร้างรายได้ทันที ชู 3 ข้อดี ลดการเสียโอกาสที่ดินทิ้งร้าง-ลดภาระภาษีเมื่อเทียบกับภาษีที่อยู่อาศัย-และเปิดโอกาสสร้างรายได้ในทันที เล็งกลุ่มทำเลที่พัฒนาต่อยอดทางธุรกิจได้ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดทั่วประเทศ จ่อเปลี่ยนที่ดินใหม่สู่โครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฤษณ์ เตชะสัมมา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI&nbsp;ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้เปิดโอกาสการสร้างความร่วมมือกับเจ้าของที่ดิน (Landlord) ทั่วประเทศ ในการเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและแบ่งปันผลตอบแทนร่วมกัน​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/uzTB3oLQeRLgxestCegV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uzTB3oLQeRLgxestCegV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโมเดลใหม่ในการสร้างความร่วมมือกับ Landlord ภายใต้แคมเปญ ‘ที่ดินแลกคอนโดใจกลาง CBD’ เปิดทางเจ้าของที่ดินทำเลศักยภาพทั่วประเทศ นำที่ดินมาแลกเป็นคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ นำร่องแบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) โครงการระดับลักชัวรีในทำเลย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) 5 ทำเล ได้แก่ พร้อมพงษ์, ทองหล่อ, พญาไท, ราชเทวี และจุฬา-สามย่าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Pain Point ใหญ่ของ Landlord หลายรายคือ มีที่ดิน แต่ยังไม่สามารถทำให้เกิดรายได้ แถมยังก่อให้เกิดรายจ่ายจากภาษีที่ดินอย่างต่อเนื่อง เพราะตัว Landlord หากลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาจจะต้องเจอความเสี่ยง และใช้เงินลงทุนสูง การร่วมทุนเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับ Landlord ที่ยังคงต้องการเป็นเจ้าของที่ดินและเจ้าของธุรกิจ และในวันนี้เรามีข้อเสนอที่เป็นทางเลือกใหม่ให้กับคนที่ต้องการเปลี่ยนที่ดินเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ทันที โดยไม่ต้องรอการพัฒนา” กฤษณ์กล่าว​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/Cb7A7KG2aUSoevXQntbF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Cb7A7KG2aUSoevXQntbF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แคมเปญนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์กับ Landlord 3 ข้อ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ลดการเสียโอกาสจากการปล่อยที่ดินทิ้งร้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ลดภาระทางภาษี เนื่องจากภาษีสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่อยู่อาศัย รวมถึงคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน มีอัตราการจัดเก็บอยู่ที่ 0.02-0.10% ต่อปี ขึ้นกับมูลค่าของที่อยู่อาศัยนั้นๆ ขณะที่ภาษีที่ดินรกร้าง ที่ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์มีอัตราภาษีถึง 0.3-0.7% ต่อปี และเพิ่มอีก 0.3% ทุก 3 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. เพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมได้ เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมในย่าน CBD ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เช่าอย่างมาก โดยมีอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่าที่คุ้มค่า อย่างเช่น โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ มีอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า สูงถึง 5-7%&nbsp;และปัจจุบันมีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ในห้องพักภายใต้ Origin Investment Property Program (Origin IP Program) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 85%​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/6Nv7xXzW4s1Ei2UZ3v3M.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6Nv7xXzW4s1Ei2UZ3v3M.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฤษณ์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จึงมีความสนใจที่ดินที่สามารถพัฒนาได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดมิเนียมและบ้าน หรือโครงการที่สร้างรายได้ประจำอย่างโรงแรมและคลังสินค้า ขึ้นอยู่กับทำเล ขนาดของที่ดิน และความเหมาะสมอื่นๆ ทั้งนี้หากเป็นที่ดินที่อยู่ใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวก บริษัทจะรับพิจารณาเป็นพิเศษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเจ้าของที่ดิน จะได้รับจำนวนห้องพักคอนโดมิเนียมที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับราคาที่ดินที่ตกลงกัน โดยสามารถเลือกห้องพักจากโครงการเดียวกัน หรือเลือกโครงการต่างทำเลกันได้ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/reic-resale-home-secondhand-sep-2024" alt="ไตรมาส 2/67 ประกาศขายบ้านมือสองในไทยพุ่ง 7.1 แสนล้านบาท ‘กรุงเทพฯ-ปริมณฑล' แห่ขายมากที่สุด">ไตรมาส 2/67 ประกาศขายบ้านมือสองในไทยพุ่ง 7.1 แสนล้านบาท ‘กรุงเทพฯ-ปริมณฑล' แห่ขายมากที่สุด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ที่ดินแลกคอนโดใจกลาง CBD’ แคมเปญใหม่จากออริจิ้น แก้ Pain Point ให้ Landlord

<h2>‘ภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์’ ชูแนวคิดธุรกิจสายมู ใช้ศาสตร์ฮวงจุ้ย ปั้นโครงการพูนทรัพย์ รังสิต มูลค่า 1,200 ล้านบาท พร้อมต่อยอดธุรกิจสู่ออนไลน์ ชี้ธุรกิจหันพึ่งศาสตร์ฮวงจุ้ย สร้างความเชื่อมั่น</h2>
หลังจากเรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ‘ภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์’ เลือกเส้นทางเป็นนักลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แทนที่จะทำงานบริษัททั่วไป เนื่องจากต้องการหารายได้ที่เป็น Passive Income ประกอบกับคู่ชีวิต ‘สมปอง มังคละวิรัช’ หรือ ซินแสสมปอง มีที่ดินหลายแปลง โดยเฉพาะแปลงใหญ่ 40 ไร่ ของโครงการพูนทรัพย์ รังสิต มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

<img class="alignnone size-full wp-image-65306" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/ภรณ์ทิพย์-อัคควิบูลย์-2.jpg" alt="" width="350" height="525" />

ภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์ กรรมการบริหาร บริษัท พูนทรัพย์ รังสิต จำกัด กล่าวว่า ซินแสสมปอง ซึ่งเป็นทั้งคู่ชีวิต และเจ้าของที่ดิน เห็นตรงกันที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะทั้งสองคนมีพื้นฐานทั้งด้านสถาปัตยกรรม และซินแสสมปอง นอกจากมีความรู้เรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ย ยังเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ ระบบน้ำ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เช่นเดียวกัน ดังนั้นการพัฒนาที่ดินผืนนี้จึงใช้ความรู้ทั้งศาสตร์ฮวงจุ้ยและประสบการณ์มาพัฒนาโครงการร่วมกัน เน้นการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป เน้นลงทุนด้วยตัวเอง และนำรายได้จากการเช่ามาเป็นทุนหมุนเวียน

“ซินแสได้ดูพื้นที่นี้ตั้งแต่แรก ธุรกิจที่จะมาเช่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ ปั้มน้ำมัน และธุรกิจที่เกื้อหนุนกัน ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจส่วนใหญ่ที่มาเช่าจะอยู่ในกลุ่มรถยนต์ โชว์รูม และปั๊มน้ำมันเป็นหลัก และเป็นผู้เช่าระยะยาว ปัจจุบันเหลือพื้นที่เช่าเพียง 4 ไร่เท่านั้น” ภรณ์ทิพย์กล่าว
<h3>ผสมผสานศาสตร์ฮวงจุ้ยพัฒนาธุรกิจ</h3>
ภรณ์ทิพย์ เล่าว่า การพัฒนาพื้นที่พูนทรัพย์ รังสิต ใช้ทั้งศาสตร์ฮวงจุ้ยและหลักทางวิศวกรรมเข้ามาพัฒนาพื้นที่ โดยลงทุนสร้างถนนขนาดใหญ่ 10–12 เมตร รองรับรถบรรทุกกิจการขนาดใหญ่ มีระบบไฟฟ้า และระบบน้ำ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยเป็นการเปิดพลังให้กับพื้นที่ โดยสร้างถนนส่วนกลางของโครงการที่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่โซนด้านหลัง ที่เชื่อมต่อกับโครงการหมู่บ้านของบริษัท อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่สามารถร่วมกันพัฒนาธุรกิจต่อไป และบริษัทยังให้คำปรึกษาด้านฮวงจุ้ยด้วย

“แม้สถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น จะทำให้ผู้เช่าชะลอการเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ไป และมีการเปลี่ยนผู้เช่าบ้าง แต่รายได้จากค่าเช่ายังคงเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดี และมีความเสี่ยงต่ำในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และกฎหมายภาษีที่ดินที่จะมีการเก็บภาษีเพิ่ม การนำที่ดินมาพัฒนา จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี”

สำหรับการพัฒนาที่ดินเพื่อปล่อยเช่าโครงการพูนทรัพย์ รังสิตมีการแข่งขันน้อย เพราะเน้นให้เช่าระยะยาวและเน้นที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่เป็นหลัก ในอนาคต บริษัทยังคงมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันยังมีที่ดินอีกหลายแปลงทั้งที่อยู่ในเมือง ติดกับรถไฟฟ้า และยังมีแผนจะพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดเล็ก รวมทั้งมีพื้นที่ในต่างจังหวัด เช่น จังหวัดสระบุรี และนครราชสีมา ที่มีแผนนำมาพัฒนาต่อไป
<h3>ต่อยอดศาสตร์ฮวงจุ้ยสู่ออนไลน์</h3>
ภรณ์ทิพย์ กล่าวว่า จากการทำธุรกิจให้เช่าพื้นที่ และให้คำปรึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยไปด้วย มีความต้องการจากภาคธุรกิจที่ต้องการให้เข้าไปดูฮวงจุ้ยให้เพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถเข้าไปแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ บางรายทำให้ธุรกิจเติบโต เป็นที่มาของการขยายบริการผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีผู้เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ ธุรกิจคลินิกทำฟัน และคลินิกความสวยความงาม เป็นต้น รวมไปถึงการดูฮวงจุ้ยให้กับดารา นักแสดง เป็นต้น

“แก่นของฮวงจุ้ย คือการสร้างสมดุลให้กับพลังงานที่ดี เมื่อเราสามารถจัดสมดุลดังกล่าวได้ จะเกิดพลังที่ทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่สมบูรณ์พูนสุข เมื่อเกิดความสมดุลจะทำให้การตัดสินใจทำอะไรเกิดความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจตามมา ตามหลักของฮวงจุ้ย ไม่มีที่ไหนที่ไม่ดี ต้องหาให้ได้ว่าที่ดินดังกล่าวเหมาะกับการดำเนินชีวิตแบบไหน หรือทำธุรกิจอะไร เมื่อเข้าใจแล้ว นำมาจัดพลังภายในให้สมดุล ก็จะรุ่งเรือง”

ภรณ์ทิพย์ มองว่า ธุรกิจให้เช่าพื้นที่เป็นธุรกิจน้ำซึมบ่อทราย การพัฒนาพื้นที่ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป พัฒนาสร้างภาพลักษณ์ให้โครงการ โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย และเน้นการสะสมทรัพย์สินเป็นหลัก ลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่กู้ยืม ซึ่งเป็นแนวทางที่จะส่งต่อให้ทายาท ให้สามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตได้ด้วยตัวเอง

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3-%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4.html">แม็คโคร ขยับแนวรุกธุรกิจรับการท่องเที่ยวฟื้นตัว</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

‘ภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์’ ยึดศาสตร์ฮวงจุ้ย ดำเนินธุรกิจ

<h2>คอนโดเก็บอัฐิ ทางออกสูงเสียดฟ้าและสูงล้ำด้วยเทคโนโลยีสู้ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่สุสานของญี่ปุ่น</h2>
การตายในญี่ปุ่นนั้นมีราคาแสนแพง การซื้อหลุมศพภายในหรือใกล้กับเมืองที่ผู้คนหนาแน่นของญี่ปุ่นอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 3 ล้านเยน (ราว 27,000 เหรียญสหรัฐฯ) ไปจนถึง 8 ล้านเยน เหตุผลก็เพราะ 1 ใน 5 ของชาวญี่ปุ่นอายุมากกว่า 70 ปีแล้วในขณะนี้ ทำให้ความต้องการสถานที่พักผ่อนสุดท้ายเพิ่มขึ้นตามมา ความจริงที่ว่านี้จึงนำไปสู่ความเฟื่องฟูของคอนโดมิเนียมระฟ้าสุดไฮเทคสำหรับผู้วายชนม์ ซึ่งให้ทั้งความสะดวกสบายและภาระค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เบื้องหลัง

ปัญหาหนึ่งนั้นคือระยะทางที่ไกลและค่าใช้จ่ายในการไปเยือนสุสาน “สุสานของครอบครัวอยู่ในจังหวัด Shiga” Akira Suenaga วัย 48 ปี ผู้อาศัยอยู่ห่างจาก Tokyo ราว 300 กิโลเมตร กล่าว “ต้องใช้เงิน 84,000 เยนสำหรับพวกเรา 3 คนในการไปเยี่ยมหลุมฝังศพ นั่นยังไม่รวมค่าโรงแรมด้วยซ้ำถ้าเราค้างคืน ดังนั้น เรากำลังคิดถึงเรื่องการย้ายสุสานมาโตเกียว”

<img class="alignnone wp-image-21635 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/คอนโดเก็บอัฐิ-ไฮเทคแห่งโตเกียว-03.jpg" alt="คอนโดเก็บอัฐิ ไฮเทคแห่งโตเกียว" width="800" height="533" />

Akira คือหนึ่งในชาวญี่ปุ่นอีกหลายคนที่กำลังนึกถึงคอนโดเก็บอัฐิไฮเทคของ Tokyo ซึ่งราคาอยู่ที่ราวๆ 1 ใน 3 ของสถานที่ฝังศพตามธรรมเนียมดั้งเดิม และสามารถสร้างขึ้นได้ในใจกลางเมือง โดยทั่วไปแล้ว ครอบครัวชาวญี่ปุ่นเดินทางไปเยี่ยมสุสานของผู้เป็นที่รักอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและไม่สะดวกนัก หากสุสานตั้งอยู่ห่างไกล แต่คอนโดเก็บอัฐิในเมืองนั้น ทำให้การเดินทางเยือนสุสานเป็นเพียงแค่การขึ้นรถไฟใต้ดินไป และทำได้แม้กระทั่งระหว่างทางกลับบ้านจากที่ทำงาน

คอนโดเก็บอัฐิระฟ้าเริ่มปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในเขตเมืองใหญ่ของแดนอาทิตย์อุทัยเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว และเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น นักพัฒนาบริการนี้ได้หันไปพึ่งพาวิธีไฮเทคเพื่อให้คอนโดเก็บ

อัฐิใหม่บรรจุโกศได้มากขึ้นโดยใช้พื้นที่น้อยลง ในปี 2017 บริษัทญี่ปุ่นชื่อ Takuto ประกาศแผนสร้างคอนโดเก็บอัฐิใหม่ใกล้ Tokyo Bay ที่จะสามารถเก็บโกศได้ถึง 100,000 ใบ

Takuto ขนานนามอาคารแห่งใหม่นี้ว่า “สุสานไอที” เหล่าผู้สูญเสียจะสามารถไปเยี่ยมเยียนญาติๆ ได้แบบเสมือนจริงผ่านสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ และเปล่งเสียงสวดมนต์ให้พวกเขาด้วยการกดปุ่มคอนโดเก็บอัฐิ Kuramae Ryoen ซึ่งเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเขต Asakusa ของ Tokyo ในปี 2017 อยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินเพียง 5 นาทีเท่านั้น โกศถูกเก็บไว้ในศาลขนาดเล็ก ที่บรรจุโกศไว้ได้ถึง 8 ใบ

แขนกลหุ่นยนต์จะดึงเอาโกศของเหล่าผู้เป็นที่รักออกมา แล้วส่งไปยังบูธส่วนตัวที่ครอบครัวสามารถไหว้อัฐิบรรพบุรุษได้ที่นั่นภายในอาคาร 6 ชั้นประกอบด้วยศาลจำนวนมาก ห้องนั่งรอ และพื้นที่เหมือนคูหาเล็กๆ สำหรับการไหว้อัฐิแบบส่วนตัว

<figure><img class="wp-image-21636 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/คอนโดเก็บอัฐิ-ไฮเทคแห่งโตเกียว-04.jpg" alt="คอนโดเก็บอัฐิ ไฮเทคแห่งโตเกียว" width="350" height="525" /><figcaption> พระ Tassho Okamura</figcaption></figure>

Kuramae Ryoen ซึ่งบริหารจัดการโดยวัดพุทธอายุ 550 ปี มีบริการ 2 แบบคือ แบบพื้นฐานมีราคา 850,000 เยน (ไม่รวมค่าธรรมเนียมในการดูแลรายปี 12,000 เยน) ซึ่งมีบูธไหว้ผู้วายชนม์แบบส่วนตัวสำหรับครอบครัว และแบบดีลักซ์ราคา 980,000 เยน ที่ประกอบด้วยบูธไม้สีเข้มหรูหรากว่าพร้อมด้วยพื้นที่รับรอ ผู้ต้องการสรรหาคอนโดเก็บอัฐิให้ตรงใจสามารถหันไปพึ่งเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะคือ Ii Ouhaka (สุสานอันทรงเกียรติดีงาม) ซึ่งไม่เพียงมีรายชื่อตัวเลือกสุสานมากมายแบ่งตามพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเปิดให้ผู้เยี่ยมเยียนโพสต์ความเห็น พร้อมด้วยอวตารผู้สูงวัยน่ารักๆ ได้อีกด้วย (คล้ายๆ กับ Yelp สำหรับโลกของผู้ล่วงลับไปแล้ว)

บางที คอนโดเก็บอัฐิ อันน่าประทับใจที่สุดใน Tokyo อยู่ภายในวัดซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 2014 วัด Byakurenge-do (หอดอกบัวขาว) ใช้เวลาเดิน 5 นาทีจากสถานีรถไฟ Shinjuku หนึ่งในสถานีขนส่งมวลชนที่จอแจที่สุดในโลก วัดแห่งนี้ออกแบบโดย Kiyoshi Sey Takeyama สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น ที่สร้างขึ้นให้คล้ายคลึงกับดอกบัว สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม โดยภายนอกเป็นอาคารคอนกรีตสีขาวสูงตระหง่าน 6 ชั้น

คอนโดเก็บอัฐิ ออกแบบมาเพื่อรองรับดวงวิญญาณถึง 7,000 ดวง ทางวัดยังมีห้องแสดงดนตรีและศูนย์นั่งสมาธิด้วย “เรามีผู้คนมากมายที่ย้ายสุสานครอบครัวมายังอาคารของเรา” Tassho Okamura พระประจำวัด Byakurenge-do กล่าว “มันง่ายมากที่พวกเขาจะมาที่นี่ เพื่อจะมาเยี่ยมอัฐิของผู้ที่จากไป พนักงานบริษัทบางคนก็แวะมาได้ระหว่างทางกลับบ้าน”

<figure><img class="wp-image-21637 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/คอนโดเก็บอัฐิ-ไฮเทคแห่งโตเกียว-05.jpg" alt="คอนโดเก็บอัฐิ ไฮเทคแห่งโตเกียว" width="300" height="450" /><figcaption> แขกกำลังนั่งสมำธิ</figcaption></figure>

บริเวณทางเข้าของ Byakurenge-doผู้มาเยือนจะพบกับธารน้ำไหลเย็นฝีมือมนุษย์ สื่อถึงพรมแดนระหว่างสองโลกเมื่อถึงช่วงฤดูกาล กอดอกบัวจะบานสะพรั่งท่ามกลางสายน้ำ ส่วนภายในนั้น น้ำตกขนาด 16 เมตรไหลรินลงมาจากกำแพง การจัดวางหน้าต่างทรงกลมและทรงสี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนสลับกันไปมาช่วยให้แสงธรรมชาติสาดส่องเข้ามาภายใน ครอบครัวยังสามารถเลือกธีมของบูธได้หลากหลายแบบเพื่อสื่อสารกับผู้ล่วงลับอันเป็นที่รัก เช่น ธีมสีม่วงแอเมทิสต์หรือทางช้างเผือก

<figure><img class="wp-image-21638 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/คอนโดเก็บอัฐิ-ไฮเทคแห่งโตเกียว-06.jpg" alt="คอนโดเก็บอัฐิ ไฮเทคแห่งโตเกียว" width="300" height="450" /><figcaption> เลือกบูธเพื่อไหว้ผู้จำกไป</figcaption></figure>

เมื่อครอบครัวมาถึงบูธของตัวเอง แสงไฟจะค่อยๆ สว่างขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเบื้องหลังอันงดงาม อัฐิของผู้เป็นที่รักของพวกเขาถูกนำเข้ามาบนสายพานนำส่ง แล้วหยุดลงตรงแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปขณะที่หน้าต่างเปิดออกสู่แท่นไหว้สักการะ หลุมหินร้อนติดไฟขึ้นเพื่อให้ครอบครัววางผงธูปหอมลงไป เมื่อควันธูปล่องลอยขึ้นสู่อากาศ รูปของผู้ล่วงลับจะปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอ

Okamura กล่าวว่า การแข่งขันดุเดือดมากในทุกวันนี้ แต่ก็หวังว่า Byakurenge-do จะยังคงมีความสำคัญต่อไป “เราอยากให้ที่นี่เป็นทั้งสถานที่สำหรับผู้ยังมีลมหายใจและผู้จากไปได้พบกับความสงบสุข”

เรื่อง: Jake Adelstein เรียบเรียง: ชูแอตต์

<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/3344a01a-930d-4d0c-88c3-b1c63c876c58">คลิกอ่านเรื่องราวฉบับเต็มของ "เปิดอาณาจักรธุรกิจ Viking" ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-15289 lazy-loaded" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg 744w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST--228x300.jpg 228w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg" data-lazy-srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg 744w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST--228x300.jpg 228w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

"คอนโดเก็บอัฐิ" ไฮเทคแห่งโตเกียว

ภาษีที่ดินแผลงฤทธิ์ 'แลนด์ลอร์ด' ใจอ่อนตัดขายที่ดินราคาต่ำ

ซีพีเอ็นย้ำโครงการ "เซ็นทรัล วิลเลจ" ไม่มีการรุกที่ ทอท. ยืนยันไม่เลื่อนวันเปิดตัว

REIC เผยราคาที่ดินไตรมาส 2-3 ปี 2561 โตพุ่งกว่า 30% จากปีก่อน หลังโครงการรถไฟฟ้าก่อสร้าง

การลงทุนเพื่อความมั่งคั่งส่วนบุคคล

<div>
<h2 class="ace-copy-paste-skip-this-tag">วี พร็อพเพอร์ตี้ น้องใหม่ตลาดอสังหาฯ พัฒนาคอนโดมิเนียมแห่งที่ 4 ‘เวอร์เทียร์’ ใกล้บีทีเอสพระโขนง ขยับหนีทำเลที่ดินแพงย่านทองหล่อ-พร้อมพงษ์ วางวิสัยทัศน์เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ เจาะกลุ่มนักลงทุนย่านสุขุมวิท ระดมทุนในตลาด mai ปี 2562</h2>
</div>
พรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดพรีเซลคอนโดมิเนียม เวอร์เทียร์ ทำเลริมถนนสุขุมวิท ระยะ 50 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพระโขนง มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ในวันที่ 3-4 พ.ย.นี้

โดยโครงการเวอร์เทียร์ เป็นคอนโดฯ บนที่ดิน 1 ไร่ อาคารสูง 31 ชั้น และที่จอดรถชั้นใต้ดิน 6 ชั้น จำนวนห้องชุด 227 ยูนิต ห้องชุดแบบ 1-3 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอย 28-86 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาทต่อยูนิต หรือเฉลี่ยทั้งโครงการ 2 แสนกว่าบาทต่อตร.ม.

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fd40046903e0b5b9b14c7e9600c35d33.jpg" alt="" width="638" height="500" /><figcaption> โครงการเวอร์เทียร์ คอนโดฯ high rise ย่านพระโขนง</figcaption></figure>

“ที่ผ่านมาบริษัทเลือกดูที่ดินย่านทองหล่อ-พร้อมพงษ์ แต่ตอนนี้ที่ดินย่านทองหล่อจนถึงพร้อมพงษ์มีราคาสูงมากถึง 2 ล้านบาทต่อตร.ว. ทำให้การพัฒนาโครงการต้องขายในราคา 3 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งมองว่าแพงเกินไป แต่แปลงนี้บริษัทได้มาในราคาต่ำกว่า ทำให้พัฒนาโครงการในราคา 2 แสนกว่าบาทต่อตร.ม.ได้ และเชื่อว่าย่านพระโขนงมีความพร้อม จากการที่มีคอมมูนิตี้ มอลล์ใหม่ๆ เข้ามา เช่น Summer Hills”

พรชัยให้ความเห็นว่า ที่ดินและโครงการที่ราคาสูงขึ้นในย่านทองหล่อ-พร้อมพงษ์ดังกล่าว ทำให้นักลงทุนปล่อยเช่าได้รับผลตอบแทนการเช่า (rental yield) ต่ำลงอยู่ที่ราว 4% เพราะราคาค่าเช่ายังอยู่ที่ราว 1,000 บาท/ตร.ม./เดือน 

ขณะที่ย่านเอกมัย-พระโขนง เนื่องจากราคาห้องชุดยังไม่สูง จึงยังได้รับผลตอบแทนการเช่าที่ 6-7% อยู่ แม้ว่าราคาค่าเช่าจะต่ำกว่าย่านทองหล่อ-พร้อมพงษ์ที่ประมาณ 800 บาท/ตร.ม./เดือน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c6928b2d5f37d8d50839fb57089b9fd6.jpg" alt="" width="638" height="336" /><figcaption> ภาพตัวอย่างโครงการเวอร์เทียร์</figcaption></figure>

ซีอีโอวี พร็อพเพอร์ตี้กล่าวต่อว่า บริษัทวางกลยุทธ์พัฒนาคอนโดฯ กลุ่มราคาประมาณ 1 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป และเน้นกลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่า โดยที่ผ่านมามีผู้ซื้อที่เป็นนักลงทุนประมาณ 60% ของโครงการ

ดังนั้นในระยะ 5 ปีจากนี้ บริษัทจะยังเน้นการลงทุนบริเวณสุขุมวิทตั้งแต่สถานีพร้อมพงษ์ถึงอ่อนนุชเป็นหลัก เพราะเป็นย่านที่มีตลาดผู้เช่าโดยเฉพาะผู้เช่าชาวญี่ปุ่น และเชื่อว่ายังคงมองหาที่ดินที่เหมาะสมได้

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/91d5b943d5b49d63b1ebcbb237a83d46.jpg" alt="" width="638" height="503" /><figcaption> พรชัย เลิศอนันต์โชค ซีอีโอ วี พร็อพเพอร์ตี้</figcaption></figure>

สำหรับแผนพัฒนาโครงการ ปี 2561 บริษัทมีการเปิดตัวรวม 2 โครงการมูลค่ารวม 3,880 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดฯ ไอคอน สุขุมวิท 77 มูลค่า 1,380 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 80% และคอนโดฯ เวอร์เทียร์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้มียอดขายรวม 1,800 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ 2,300 ล้านบาท จากโครงการ วีธารา สุขุมวิท 36 ที่กำลังอยู่ระหว่างโอนกรรมสิทธิ์

ส่วนปี 2562 บริษัทมีที่ดินพร้อมขึ้นโครงการ 3 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ ย่านสุขุมวิท 2 โครงการ และโครงการแนวราบเป็นบ้านเดี่ยว 4 ชั้นระดับไฮเอนด์ย่านอ่อนนุช 20 ยูนิต ราคา 25-35 ล้านบาทต่อหลัง นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโรงแรมระดับ 4 ดาวเป็นรายได้ค่าเช่าอีกทางหนึ่ง

วี พร็อพเพอร์ตี้ยังอยู่ระหว่างเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปีหน้า โดยมี บล.เออีซี (AECS) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เนื่องจากต้องการระดมเม็ดเงินราว 2,000 ล้านบาทเป็นทุนในการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการ

&nbsp;

Forbes Facts
<ul class="listtype-bullet listindent1 list-bullet1">
 	<li>วี พร็อพเพอร์ตี้เป็นบริษัทที่ผันตัวจากการค้าอัญมณีโดยก่อตั้งเมื่อปี 2552 อย่างไรก็ตาม พรชัยกล่าวว่าปัจจุบันตนได้เลิกทำกิจการอัญมณีแล้วเนื่องจากเห็นโอกาสกำไรที่มากกว่าในธุรกิจพัฒนาจัดสรร</li>
 	<li>โครงการที่ผ่านมาของวี พร็อพเพอร์ตี้ ได้แก่ เอช สุขุมวิท 43, วีธารา สุขุมวิท 36, ไอคอน สุขุมวิท 77 และเวอร์เทียร์เป็นโครงการล่าสุด</li>
</ul>

วี พร็อพเพอร์ตี้เจาะนักลงทุนย่านสุขุมวิท ชี้ที่ดินทองหล่อ-พร้อมพงษ์ต้นทุนสูง ผลตอบแทนการเช่าต่ำลง

<h2>ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ในครอบครัวอัสสกุล รับไม้สานต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 'โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้' ขยับพลิกโฉมขุมสมบัติที่ดินก่อสร้างโครงการทั่วไทย หวังสร้างการเติบโตสู่รายได้ 1 พันล้านภายในปี 2564</h2>
ภายในพื้นที่ท่าเรือโอเชี่ยน มารีน่า ยอท์ช คลับ เมืองพัทยา เต็มไปด้วยผู้คนจากหลายสัญชาติเดินกระทบไหล่ เนื่องจากเป็นวันเริ่มลงทะเบียนวันแรกของงานแข่งขันเรือยอชต์ Top of the Gulf Regatta 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่นี่ติดต่อกันเป็นปีที่ 14 แล้ว “เป็นงานระดับนานาชาติเลย บางคนแล่นเรือมาจากประเทศจีนเพื่อมาแข่งงานนี้โดยเฉพาะ” ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กล่าว

ท่าเรือยอชต์และโรงแรมขนาด 50 ห้องแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2538 และเป็นหนึ่งในธุรกิจตั้งต้นของ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด หนึ่งในธุรกิจของครอบครัวอัสสกุลตระกูลผู้ก่อตั้งธุรกิจหลากหลายประเภทใต้ร่มเงาเครือโอเชี่ยน กรุ๊ป เช่น บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

ปัจจุบัน ณพงศ์ วัย 39 ปี คือทายาทรุ่นที่ 3 ที่เข้ามารับไม้ต่องานของโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ ในฐานะรักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจ Residential Business แม้ชื่อตำแหน่งจะดูแลเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย แต่เขาก็รับทราบการทำงานทุกธุรกิจภายใต้บริษัท

ณพงศ์เปิดเผยว่า ปี 2560 ที่ผ่านมาโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ทำรายได้ประมาณ 600 ล้านบาท ขณะที่ข้อมูลจากกรมธุรกิจการค้ารายงานว่าโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้มีรายได้ 578 ล้านบาทในปี 2559 ณพงศ์ออกตัวว่าการเติบโตของบริษัทอาจดูไม่สูงนักเพราะรายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากพอร์ตกลุ่มอสังหาฯ เพื่อเช่าเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 70% “ค่าเช่าจะเติบโตได้ราว 3-5% ต่อปีเป็นปกติ เมื่อเราไม่ได้ขยายพื้นที่เช่าการเติบโตก็จะได้ประมาณนี้เท่านั้น”

นั่นทำให้ทายาทโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้วางเป้าหมายใหม่เพื่อให้บริษัทเติบโตได้เร็วขึ้นโดยจะสร้างให้พอร์ตกลุ่มอสังหาฯ เพื่อเช่ากับอสังหาฯ เพื่อขายทำรายได้สมดุลกันที่อัตราส่วน 50:50 ภายใน 3 ปีข้างหน้า

“ค่าเช่าเหล่านี้เราจะเก็บไว้เป็นเงินก้นถุงเป็นเหมือน cash cow ของเรา แต่เนื่องจากอสังหาฯ เพื่อเช่านั้นลงทุนสูงและใช้เวลาคืนทุนนาน บางครั้งเกิน 10 ปีกว่าจะคืนทุนทำให้เราอยากพัฒนาที่อยู่อาศัยขายเพิ่มเพื่อทำรายได้คืนทุนเร็วขึ้นภายใน 2-3 ปี” ณพงศ์กล่าว

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ มีพอร์ตโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขายของบริษัท อาทิ  คอนโดมิเนียม โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ พัทยา และคอนโดฯ โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ-ขอนแก่น เป็นต้น โดยณพงศ์วางแผนว่าปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวเพิ่ม 1 โครงการที่ จ.ภูเก็ต ในชื่อ โอเชี่ยน ทาวน์-ภูเก็ต

ซึ่งจากแผนงานดังกล่าว การปลุกปั้นพอร์ตที่อยู่อาศัยเพื่อขายจะเริ่มเห็นเป็นรายได้เข้าบริษัทเต็มเม็ดเต็มหน่วยในปี 2564 ณพงศ์เรียบเรียงแผนรายได้และสรุปว่า บริษัทคาดหวังจะทำรายได้แตะ 1 พันล้านบาทได้ ภายใน 3 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม เขายังคงยึดถือปรัชญาการทำงานในแนวทางเดียวกับครอบครัว นั่นคือลงทุนเฉพาะในโครงการที่บริหารความเสี่ยงได้ “เราคงไม่กระโดดเข้ามาบุกตลาดหนักๆ เราเลือกทำโครงการที่มั่นใจว่าจะขายได้ ถ้ามีความเสี่ยงสูง การเก็บที่ดินเปล่าไว้ยังมีประโยชน์มากกว่า” ณพงศ์กล่าว

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/872d254937665605ded6e5db496ad43d.jpg" alt="" />
<h3>ขุมสมบัติ 1 หมื่นไร่</h3>
สำหรับกลยุทธ์ของโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้อาจจะแตกต่างจากค่ายอสังหาฯ อื่นๆ อยู่เล็กน้อย เพราะครอบครัวอัสสกุลนั้นเป็น “แลนด์ลอร์ด” มีที่ดินราว 1 หมื่นไร่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นที่ดินในต่างจังหวัด มีการถือครองที่ดินทั้งผ่านบริษัทต่างๆ ของครอบครัวและถือในนามส่วนตัว

“กลยุทธ์คือเราจะดูที่ดินที่มีในเครือเป็นหลัก เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับยอดขายโครงการ อย่างน้อยเงินที่จมก็ยังอยู่ในเครือเดียวกัน” ณพงศ์กล่าว “แต่ถึงจะเป็นบริษัทในเครือเราก็ต้องซื้อขายที่ดินในราคาตลาด ไม่ได้กดราคา เพราะเราจะเอาเปรียบผู้ถือหุ้นของบริษัทอื่นไม่ได้”

ดังนั้นข้อได้เปรียบเรื่องที่ดินของโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้จึงไม่ใช่เรื่องราคา แต่เป็นความยืดหยุ่นในการแบ่งแปลงที่ดิน สามารถทยอยขอแบ่งแปลงซื้อเพียง 1-2 ไร่หรือหลักสิบไร่ได้ ณพงศ์ยังได้เปิดเผยที่ดินแปลงสำคัญที่โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้เล็งเห็นศักยภาพ เช่น ที่ดินบริเวณริมถนนมิตรภาพ จ.ขอนแก่น ที่บริษัทพัฒนาคอนโดฯ แล้ว 2 ไร่ แต่ยังเหลือที่ดินในบริเวณนั้นอีกจำนวนมากที่พัฒนาเพิ่มได้

กระทั่งพื้นที่ที่พัฒนามานานอย่างโอเชี่ยนมารีน่า ยอท์ช คลับ และคอนโดฯ พอร์โต ฟิโน่ ริมถนนสุขุมวิท ก็เพิ่งใช้ที่ดินไป 4 ไร่จากทั้งหมด 120 ไร่ นอกจากนี้บริษัทยังมีที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งฝั่งถนนพระราม 3 ติดกับโรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ ขนาด 16 ไร่

ณพงศ์แจกแจงแผนงานว่า กลุ่มธุรกิจออฟฟิศบิลดิ้ง โอเชี่ยน ทาวเวอร์ 1 และ 2 มีอัตราการเช่า 99-100% สม่ำเสมอ แต่คาดว่าจะไม่มีการพัฒนาอาคารสำนักงานใหม่อย่างน้อยในระยะ 3 ปีจากนี้

ด้านโรงแรมเมอเวนพิค อัสสรา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน บริษัทได้ลงทุนรีโนเวทไป 180 ล้านบาท เริ่มปิดบริการบางส่วนเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 และจะกลับมาเปิดบริการเต็มรูปแบบเดือนตุลาคม 2561
ด้านท่าจอดเรือยอชต์ แต่เดิมที่โอเชี่ยนมารีน่า ยอท์ช คลับ สามารถจอดเรือได้ 380 ลำ แต่ได้ลงทุนมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่ให้จอดเพิ่มได้อีก 60 ลำ รวมเป็น 440 ลำ ซึ่งถือว่าเต็มพื้นที่และเต็มตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบอนุญาตก่อสร้าง
ณพงศ์มองว่าธุรกิจท่าจอดเรือยอชต์ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยลูกค้าของโอเชี่ยนมารีน่าฯ 60% เป็นคนไทย อีก 40% เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งมักจะเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย (expat) หรือคนวัยเกษียณกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่มาก

&nbsp;
<h3>วิศวกรผันตัวสู่นักบริหาร</h3>
ตลอดการสัมภาษณ์ ณพงศ์มีท่าทางสบายๆ เป็นกันเอง อัธยาศัยดีและยินดีเล่าทุกประเด็น เขายังเป็นคนขับรถกอล์ฟนำทีมงาน Forbes Thailand ชมรอบๆ ท่าจอดเรือยอชต์ด้วยตนเองโดยไม่ถือตัว พร้อมอวดรูปลูกชายวัย 2 ขวบและรูปพรีเวดดิ้งของเขากับภรรยาระหว่างรับประทานมื้ออาหารเที่ยง

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาคุมโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้เลย คิดจะไปทำงานที่อื่นยาวๆ ด้วยซ้ำ” ณพงศ์เริ่มเล่าประวัติที่เหตุบังเอิญทำให้เขามีโอกาสเข้ามาทำงานกับครอบครัว

ทายาทหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีและโทจาก Carnegie Mellon Universtiy เมือง Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา ในสาขาวิศวกรรมโยธา หลังเรียนจบเขากลับประเทศไทยและเริ่มทำงานกับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ อยู่ 2 ปี ผ่านประสบการณ์กับโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หลังการทำงานที่แรกเริ่มอิ่มตัว เขาจึงยื่นใบสมัครเพื่อขอย้ายไปทำงานในบริษัทที่ปรึกษางานวิศวกรรมที่ บริษัท เออี เอเชีย จำกัด

เป็นความบังเอิญที่ขณะนั้น เออี เอเชียเป็นที่ปรึกษาให้โครงการก่อสร้างโรงแรมอัสสราฯ หัวหิน และเมื่อ นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ คุณป้าของณพงศ์ (ปัจจุบันเธอเป็นประธานกรรมการบริหารของโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทยสมุทรประกันชีวิต) ทราบว่าหลานชายมาสมัครงานกับเออี เอเชีย จึงออกปากชักชวนให้ณพงศ์เข้ามาช่วยงานที่โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้แทน

“วันแรกที่เข้ามา ผมขอมาในฐานะพนักงานคนหนึ่ง ทำงานปกติ ได้เงินเดือนปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป” ณพงศ์เริ่มทำงานที่โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ตั้งแต่ปี 2549 ไต่เต้าจากเป็นวิศวกรคุมงาน ลงไซต์ก่อสร้างตรวจงานเองทั้งหมด ทำให้มีความใกล้ชิดกับพนักงาน

“แม้ผมจะกลายเป็นผู้บริหารแล้วแต่ผมเปิดประตูตลอด ที่โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้เราถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน มีความซื่อสัตย์ยุติธรรมเป็นพื้นฐานการทำงานร่วมกัน” ณพงศ์กล่าวปิดท้าย

&nbsp;

ภาพ: จันทร์กลาง กันทอง

ทายาทรุ่น 3 แห่ง 'อัสสกุล' พลิกแลนด์แบงก์โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้

<h2>ฮ่องกงแลนด์รุกตลาดไทยเพิ่ม จับมือพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคพัฒนาโครงการคฤหาสน์หลังละ 20-100 ล้าน แตกไลน์พัฒนาอสังหาฯ ครบทุกกลุ่มสินค้า ด้านโครงการร่วมทุนกับเครือเซ็นทรัลบนที่ดินสถานทูตอังกฤต แย้มแผนพัฒนาเป็นออฟฟิศบิลดิ้ง-รีเทล</h2>
Robert Wong ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮ่องกง แลนด์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน 2 โครงการ รวมมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท

โดยสาเหตุที่เข้าสู่ตลาดโครงการแนวราบ เนื่องจากนโยบายของบริษัทต้องการลงทุนเฉพาะในโครงการระดับไฮเอนด์ และมองว่าตลาดไทย ผู้ซื้อระดับนี้มักจะต้องการบ้านเดี่ยวที่มีที่ดินเป็นหลัก รวมทั้งที่ดินของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคมีศักยภาพเหมาะสมที่จะพัฒนาโครงการแนวราบมากกว่าสินค้าอื่น

ทั้งนี้ ฮ่องกง แลนด์มีประสบการณ์การพัฒนาโครงการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแล้วหลายประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และกัมพูชา นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในประเทศจีน รวมถึงที่ประเทศไทย ฮ่องกง แลนด์มีการลงทุนครั้งแรกตั้งแต่เกือบ 20 ปีก่อน

“เรามีประสบการณ์ระดับสากลทั้งการวางผังโครงการ ดีไซน์บ้าน แต่เราก็ต้องการผู้เชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่นเพื่อแนะนำเราในการลงทุน การร่วมทุนกับเพอร์เฟคเป็นการตัดสินใจจากพื้นฐานที่เรามีปรัชญาการทำธุรกิจเดียวกัน คือการสร้างโครงการที่มีคุณภาพ” Wong กล่าว

<img style="width: 680px; height: 500px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/33157f25e5c0ae0613f4479e5cf74e6e.jpg" alt="" />

ด้าน ชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค แถลงร่วมกันถึงการร่วมทุนนี้ว่า เพอร์เฟคลงทุนกับฮ่องกง แลนด์ ในนาม บริษัท เอชเคแอล เพอร์เฟค จำกัด โดยเพอร์เฟคถือหุ้น 51% และฮ่องกง แลนด์ถือหุ้น 49%

เบื้องต้น โครงการแรกที่จะเปิดตัวช่วงต้นปี 2562 คือ เลค รีสอร์ท แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการกว่า 4 พันล้านบาท ที่ดินขนาด 130 ไร่ จำนวน 179 ยูนิต บ้านเดี่ยวราคาหลังละ 20-45 ล้านบาท ออกแบบบ้านทรงยุโรปแบบ English Craftsman ริมทะเลสาบขนาดใหญ่ 40 ไร่

ส่วนโครงการที่สองจะพัฒนาย่านกรุงเทพฯ ตะวันออก มูลค่าโครงการกว่า 5 พันล้านบาท ที่ดินขนาดมากกว่า 200 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวราคา 25-60 ล้านบาท โดยโครงการนี้จะมียูนิตพิเศษเป็นคฤหาสน์บนที่ดิน 1 ไร่ ระดับราคา 100 ล้านบาทต่อหลังด้วย

<figure><img style="width: 680px; height: 350px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/590dbbefc109ec6ab75b569c6dff64e5.jpg" alt="" width="680" height="350" /><figcaption> ภาพตัวอย่างโครงการเลค รีสอร์ท แจ้งวัฒนะ</figcaption></figure>

ชายนิดกล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมลงทุนกับฮ่องกง แลนด์จะเป็นความร่วมมือระยะยาว คาดว่าจะมีการลงทุนโครงการบ้านหรูเพิ่มอีก 2 โครงการนอกจากที่ได้แถลงไปเบื้องต้น รวมเป็น 4 โครงการ มูลค่ารวม 2 หมื่นล้าน ภายในปี 2565 เพื่อขึ้นแท่นเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในตลาดบ้านเดี่ยวระดับบน

นอกจากนี้เพอร์เฟคยังจะมีโครงการบ้านเดี่ยวที่พัฒนาภายใต้บริษัทร่วมทุนแห่งใหม่เพิ่มเติมอีก โดยเป็นการร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่นรายใหม่ คาดเปิดเผยรายละเอียดได้ช่วงกลางปีนี้

&nbsp;

ที่ดินแปลงสถานทูตอังกฤษแย้มพัฒนาเป็นออฟฟิศ-รีเทล

Wong ยังเปิดเผยถึงโครงการร่วมทุนอื่นๆ ของบริษัทด้วย โดยฮ่องกง แลนด์ ร่วมกับ เครือเซ็นทรัล ชนะประมูลที่ดินสถานทูตอังกฤษเดิม ที่ดินขนาด 25 ไร่ใจกลางเมืองหลังศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซีริมถนนวิทยุ เฉพาะมูลค่าที่ดินอยู่ที่ 420 ล้านปอนด์ (ราว 1.86 หมื่นล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 1 ก.พ.61)

Wong กล่าวว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ แต่เบื้องต้นจะเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้งหมด คาดว่าจะเป็นออฟฟิศบิลดิ้งเป็นหลัก และเสริมด้วยพื้นที่รีเทลเพื่อสนับสนุนออฟฟิศบิลดิ้ง เพราะเครือเซ็นทรัลมีศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซีและโรงแรมพาร์ค ไฮแอท แบงค็อกอยู่แล้ว รวมถึงออฟฟิศบิลดิ้งนั้นถือเป็นอสังหาฯ ดาวรุ่งของกรุงเทพฯ จึงตัดสินใจลงทุน  เชื่อว่าจะสามารถแถลงเปิดเผยแบบโครงการทั้งหมดและมูลค่าโครงการได้ในปีหน้า “แน่นอนว่าทั้งหมดจะเป็นโครงการไฮเอนด์เท่านั้น” Wong กล่าวเสริม

ซีอีโอฮ่องกง แลนด์ยังฉายภาพถึงการลงทุนในไทยด้วยว่า บริษัทตั้งใจลงทุนระยะยาวเนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของตลาดไทย โดยเริ่มเข้ามาศึกษาตลาดตั้งแต่ปี 2539 และเริ่มลงทุนโครงการแรกกับตระกูลศรีวิกรม์เมื่อปี 2544 ในศูนย์การค้าเกษร พลาซ่า

หลังจากนั้น บริษัทกลับมาลงทุนเพิ่มในไทยอีกครั้งกับ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด เมื่อปี 2560 ในโครงการคอนโดฯ ดิ เอส สุขุมวิท 36 มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ตามด้วยการร่วมทุนกับเครือเซ็นทรัลดังกล่าวเมื่อต้นปีนี้ และเดินหน้าลงทุนต่อกับพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคเป็นพันธมิตรรายที่สี่

ทำให้ปัจจุบันฮ่องกง แลนด์มีแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมทุกประเภท ทั้งโครงการเชิงพาณิชย์คือ ศูนย์การค้าและออฟฟิศ และอสังหาฯ เพื่อขายคือคอนโดฯ และบ้านแนวราบ

Wong ปิดท้ายว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าบริษัทลงทุนในไทยไปแล้วเป็นมูลค่าเท่าใด แต่ไม่ต่ำกว่าหลักพันล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังคงมองหาโอกาสร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม มุ่งเน้นลงทุนเฉพาะในกรุงเทพฯ มากกว่าที่จะเร่งขยายตัวไปยังจังหวัดอื่นๆ

ที่ดินสถานทูตอังกฤษเตรียมพัฒนาออฟฟิศ-รีเทลหรู ‘ฮ่องกง แลนด์’ สยายปีกเพิ่มร่วมทุน ‘เพอร์เฟค’ สร้างบ้านไฮเอนด์

<h2>ศุภาลัยคว้าชัยชนะประมูล ที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่บนถนนสาทร มูลค่าที่ดินกว่า 4.6 พันล้านบาท หรือเฉลี่ย 1.45 ล้านบาทต่อตร.ว. ตั้งใจปั้นแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุงมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท เป็นอาคารมิกซ์ยูสสำนักงานให้เช่า-คอนโดฯ</h2>
ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ชนะการประมูลซื้อ ที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา มูลค่าที่ดินกว่า 4.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็นตารางวาละ 1.45 ล้านบาท โดยที่ดินตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) บนถนนสาทรและสามารถเข้าออกฝั่งถนนสวนพลูได้ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินี 900 เมตร

ที่ดินดังกล่าวจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วยสำนักงานให้เช่าและคอนโดมิเนียม มีความตั้งใจที่จะออกแบบสถาปัตยกรรมให้โดดเด่นเพื่อเป็นแลนด์มาร์กใหม่ย่านถนนสาทร สีลม คาดว่าโครงการจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2300426abc399ed4decba04c7fa862a8.png" alt="" width="340" height="439" /><figcaption> ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ประทีปกล่าวว่า ถนนสาทรใต้ถือเป็นถนนสายสำคัญที่เป็นทำเลทองในย่านธุรกิจที่มีศักยภาพการพัฒนาสูง ทำเลสาทรเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่น แวดล้อมด้วยแหล่งงานจำนวนมากและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย อีกทั้งเป็นทำเลที่คุ้นเคยและนิยมของชาวต่างชาติอีกด้วย จึงเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานเกรดเอ

โครงการนี้ได้เริ่มการออกแบบโครงการแล้ว โดยจะวางผังออกแบบอาคารในแนวทางอนุรักษ์พลังงาน ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (Green Design) มีสวนขนาดใหญ่อยู่ในโครงการและเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ของเดิมส่วนหนึ่งไว้ นอกจากนี้พร้อมจะนำนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มาใช้ในการออกแบบที่ไม่มีในโครงการอื่นๆ มาก่อน

ทั้งนี้ ประทีป ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าการประกาศผลการประมูลว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวถือเป็นความท้าทายในการออกแบบ เนื่องจากมีหน้าที่ดินค่อนข้างแคบ 70 เมตร ลึก 160 เมตร เมื่อคำนวณระยะถอยร่นตามกฎหมายแล้วจะทำให้สร้างอาคารสูงได้เพียง 40-50 ชั้น แต่เชื่อว่าศุภาลัยจะสามารถออกแบบให้สวยงามได้จึงเข้าร่วมการยื่นซองประมูลโดยเสนอราคาที่เหมาะสม

สำหรับปี 2561 ศุภาลัยมีที่ดินที่จะเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยแล้วรวมทั้งสิ้น 6 แปลง และยังมีโครงการที่พักอาศัยแนวราบอีกหลายสิบแปลงทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าการชนะประมูลที่ดินในครั้งนี้จะทำให้ศุภาลัยมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายและรายได้อย่างยั่งยืน 15 - 20 % ต่อปี อีกทั้งทำให้ศุภาลัยมีสินค้าระดับไฮเอนด์บนทำเลใจกลางเมืองย่านสาทร-สีลมเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและมีรายได้จากการเช่าอีกทางหนึ่ง บริษัทคาดว่าจะเปิดให้ลูกค้าจองโครงการได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561

ด้านการแข่งขันการประมูลราคาที่ดินสถานทูตออสเตรเลียแปลงนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ซึ่ง หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ รายงานเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ที่ดินแปลงนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลนับ 10 ราย ทั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทย-เทศ รวมถึงสถาบันการเงิน มีบริษัทอสังหาฯ สำคัญที่สนใจยื่นซอง เช่น ศุภาลัย แสนสิริ เครือทีซีซี เป็นต้น

ศุภาลัยคว้า "ที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย" บนถนนสาทร มูลค่ากว่า 4.6 พันล้านบาท

<h2>ทีซีซี กรุ๊ป ในเครือไทยเบฟเวอเรจ ทุ่มทุนสร้างโครงการยักษ์ One Bangkok บนที่ดิน 104 ไร่หัวมุมถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ เทเม็ดเงิน 1.2 แสนล้านบาทพัฒนาโครงการอสังหาฯมิกซ์ยูส ออฟฟิศ-รีเทล-โรงแรม-ที่พักอาศัย เปิดมาสเตอร์แพลนสร้างตึกสูงที่สุดในไทย 90 ชั้น 380 เมตร หวังเป็นแลนด์มาร์กแห่งประเทศ</h2>
เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ทีซีซี และกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพัฒนาที่ดินบริเวณหัวมุมถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ ขนาด 104 ไร่ ซึ่งบริษัทได้รับสิทธิเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส One Bangkok แหล่งรวมพื้นที่ออฟฟิศบิลดิ้ง รีเทล โรงแรม และที่พักอาศัย

<figure><img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8f873b8888fa54a0fc49fea5814247ae.png" alt="" width="680" height="486" /><figcaption> โครงการ One Bangkok มุมมองจากถนนพระราม 4</figcaption></figure>

“บริษัทรู้สึกเป็นเกียรติที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อนุญาตให้ทีซีซี กรุ๊ปเป็นผู้พัฒนาที่ดินผืนสำคัญนี้ เราได้รวมบุคลากรจากทั้งทีซีซีและเฟรเซอร์สฯ จากทั่วโลกมาช่วยกันทำงานบนที่ดินผืนนี้ ซึ่งอยากจะให้เป็นแลนด์มาร์กของไทยและให้เป็นที่รู้จักของโลก” เจริญกล่าว

ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด กล่าวต่อว่า คอนเซปท์การออกแบบ One Bangkok ต้องการให้เป็นแลนด์มาร์กของไทย เป็น City within the city เมืองที่ทุกคนอยากอาศัยอยู่ เป็นย่านธุรกิจชั้นนำดึงดูดบริษัทต่างๆ เข้ามาใช้เป็นสำนักงาน และช่วยยกระดับการวางผังเมืองจากการมีสิ่งแวดล้อมที่ร่มรื่นและสะดวกต่อคนเดินเท้าในโครงการ

โดยโครงการ One Bangkok เกิดจากความร่วมมือของผู้ถือหุ้น 2 บริษัท คือ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 80.1% และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 19.9% จัดตั้งเป็นบริษัท วัน แบ็งคอก โฮลดิ้งส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 3.58 หมื่นล้านบาท

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/95063dcad6e42af2b3822864b0757d5c.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> (จากซ้าย) เจริญ สิริวัฒนภักดี, คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี และปณต สิริวัฒนภักดี</figcaption></figure>

และเตรียมลงทุนในโครงการนี้มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท บนพื้นที่พัฒนารวม 1.83 ล้านตารางเมตร โดยได้รับสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผ่าน บริษัท เกษมทรัพย์วัฒน จำกัด ในเครือทีซีซี เป็นเวลา 30+30 ปี โดยได้รับเวลาวางแผนและก่อสร้างอีก 9 ปี นับจากปี 2557 และบริษัทจะเริ่มการก่อสร้างภายในสิ้นปีนี้

สำหรับการบริหารโครงการหลังจากสร้างเสร็จ บริษัท วัน แบงค็อก โฮลดิ้งส์ จำกัด จะบริหารเอง แต่ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนว่าจะเป็นเชนโรงแรมใดหรือศูนย์การค้าแบรนด์ใดเข้ามาบริหาร อย่างไรก็ตาม ทั้งทีซีซี กรุ๊ปและเฟรเซอร์สต่างมีศักยภาพที่จะบริหารส่วนโรงแรมและรีเทลได้

ด้าน ซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ One Bangkok เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวมีพื้นที่ทั้งหมด 1.83 ล้านตารางเมตร แบ่งพื้นที่พัฒนาหลักๆ ออกเป็น อาคารสำนักงานเกรดเอ 5 อาคาร พื้นที่เช่ารวม 5 แสนตร.ม., โรงแรมระดับ 5 ดาว 5 แห่ง รวมจำนวน 1 พันห้อง, คอนโดมิเนียมระดับ ultra luxury 3 อาคาร สูงประมาณ 20-30 ชั้น และพื้นที่รีเทลอีก 4 แห่ง นอกจากนี้จะมีบริเวณพลาซ่า 1 หมื่นตร.ม. ใช้จัดกิจกรรมหรือคอนเสิร์ตต่างๆ ได้

<figure><img style="width: 680px; height: 449px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bf864744a3af18a9b9c5c18d555e06cd.png" alt="" width="680" height="449" /><figcaption> ซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ One Bangkok</figcaption></figure>

การออกแบบพื้นที่ภายในมีพื้นที่สีเขียว 50 ไร่และยังอยู่ใกล้สวนลุมพินี โดยการออกแบบตึกสูงทั้ง 5 อาคารของโครงการจะทำให้สามารถมองทิวทัศน์ของสวนลุมพินีให้ได้มากที่สุด มีถนนขนาดใหญ่ (boulevard) กว้าง 33 เมตรในพื้นที่ และออกแบบให้ทางเดินสามารถเชื่อมต่อสู่สถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินีได้สะดวก คาดว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จในปี 2568 จะมีคนเข้ามาทำงานและพักอาศัยในพื้นที่ 6 หมื่นคน

<img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4a5c81624eb0e7e5ef0bda451fb6e3a4.png" alt="" />

ซูกล่าวต่อว่า ในปี 2564 พื้นที่บางส่วนใน One Bangkok จะได้รับการพัฒนาและเปิดบริการได้ เช่น พื้นที่รีเทลส่วนใหญ่ โรงแรมและออฟฟิศบิลดิ้งบางส่วน ส่วนคอนโดฯ นั้นยังอยู่ระหว่างศึกษาราคาที่เหมาะสมและจังหวะเวลาเปิดขาย

นอกจากนี้ไฮไลต์ของอาคารใน One Bangkok อาคารหนึ่งเป็นตึกที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดอกพิกุล สูง 90 ชั้น หรือ 380 เมตร ภายในประกอบด้วยออฟฟิศ รีเทล และจุดชมวิว

<figure><img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/910b62c197f450c4eed6b78103832d97.png" alt="" width="680" height="486" /><figcaption> ซ้ายมือสุดของภาพคืออาคารพิกุล ตึกสูง 90 ชั้น</figcaption></figure>

ทั้งนี้  Forbes Thailand รายงานว่า ปัจจุบันตึกที่สูงที่สุดในไทยคือตึกมหานคร พัฒนาโดยบมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น สูง 77 ชั้น หรือ 314 เมตร โดยคาดว่าอนาคตจะถูกแทนที่ตำแหน่งแชมป์ด้วยตึกแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนเซส ในโครงการไอคอนสยาม ที่สูง 315 เมตร พัฒนาโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างบมจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น, สยามพิวรรธน์ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2561 อย่างไรก็ตามหากอาคารพิกุลใน The One Bangkok สร้างเสร็จจะทำให้ตำแหน่งแชมป์ตึกสูงที่สุดในไทยถูกเปลี่ยนมืออีกครั้ง

<figure><img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f495669e373f28d5f917f2cae10d85ea.png" alt="" width="680" height="486" /><figcaption> การออกแบบโครงการ One Bangkok</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/492fd69d2ba5c5325867749ef7aec430.png" alt="" width="680" height="340" /><figcaption> บริเวณที่ดินแยกถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ ที่ตั้งโครงการ One Bangkok ขนาด 104 ไร่</figcaption></figure>

&nbsp;

เจ้าสัว ‘เจริญ’ ทุ่ม 1.2 แสนล้านพัฒนาโครงการยักษ์  One Bangkok แยกพระราม4-วิทยุ

ต้นปี 2558 ขณะที่ภาวะการณ์ด้านเศรษฐกิจไทยในหลายภาคส่วนที่ชะงักงันทั้งการส่งออกที่หดตัว การบริโภคในประเทศตกต่ำลง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงถึงกว่า 80-90% ของจีดีพี แตกต่างจากวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่สร้างปรากฎการณ์และสถิติใหม่ อาทิ การผุดของโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury บนพื้นที่ใจกลางเมืองหลวง กับราคากว่า 2 แสนบาท ต่อ ตร.ม.ขึ้นไป และกระแสข่าวความสนใจการสร้างอาคารสูง 100 กว่าชั้นจากหลายกลุ่มทุนอสังหาฯ 
 
โครงการคอนโดมิเนียมหรู ระดับ Super Luxury 
 
ปรากฎการณ์เขย่าวงการอสังหาริมทรัพย์ กับการยอดการจองโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury &ldquo;นิมิต หลังสวน&rdquo; ที่เฉลี่ยราคา 3 แสนบาท/ตร.ม. เพียง 2 วันแรกมียอดจองสูงถึง 70% จากงาน &lsquo;ไพรเวท วีวีไอพี พรี-เซลส์&rsquo; (Private VVIP Pre-Sales) เป็นยอดขายจากชาวไทยประมาณ 90% และต่างชาติ 10% เป็นชาวแคนาดาและฮ่องกง สร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมอสังหาฯ ตั้งแต่ต้นปี 2558 โดย &ldquo;นิมิต หลังสวน&rdquo; มีมูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท จำนวน 187 ยูนิต สูง 53 ชั้น มี ราคาขายเริ่มต้น 25 ล้านบาท 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="365" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/C09DB40FBAD4493C9D1624F64AE37A49.jpg" width="549" /> 
"เศรษฐี ไทยมองเห็นโอกาสการอยู่อาศัยและการซื้อเพื่อลงทุน จึงทำให้ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ คอนโดมิเนียมมียอดขายเร็วมาก โดยเห็นผลหลักที่ทำให้ขายดีนั้นมาจากชื่อเสียงของผู้ประกอบการ และราคาขายหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ฮ่องกงนั้นยังมีราคาต่ำ กว่าหลายเท่าตัว" สรพจน์ เตชะไกรศรี CEO บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น แห่ง "นิมิต หลังสวน" กล่าว 
 
ในเวลานี้เราจะเห็นการลงทุนจากหลายค่ายยักษ์ใหญ่อสังหาฯ ในเมืองไทย เตรียมการก่อสร้างคอนโดนิเนียม ระดับ Super Luxury อาทิ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ที่ เปิดจองคอนโดนิเนียม &ldquo;SALADAENG ONE&rdquo; โดยมีมูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท จำนวน 185 ยูนิต สูง 33 ชั้น ราคาขาย 2.8 แสนบาท/ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 13 ล้านบาท, บริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดตัว &ldquo;The Diplomat 39&rdquo; ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ จำนวน 156 ยูนิต สูง 31 บนที่ดินเกือบ 2 ไร่ ต้นซอยสุขุมวิท 39 
 
จากการแข่งขันในการเปิดตัวโครงการใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury กับกลุ่มเป้าหมาย A++ ข้อได้เปรียบของทำเลที่ดีที่สุดในใจกลางกรุงเทพฯ จะสร้างความได้เปรียบได้สูงสุดและไม่ได้หาได้ง่ายๆ ในใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นตลาดใหม่และเป็นที่สนใจกับ ต่อมหาเศรษฐีไทย และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง ที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนในโครงการที่พักอาศัยระดับ Super Luxury ในประเทศไทย 
 
10 อันดับ โครงการอาคารชุดที่มีห้องชุดขาย 
 
AREA ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้เปิดเผยรายงานเมื่อปลายเดือน มีนาคม 2558 ถึงจัดอันดับโครงการอาคารชุดที่มีห้องชุดขายในราคาสูงสุดโดย 10 อันดับแรกต่อหน่วยมีดังต่อไปนี้ 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="281" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/01.jpg" width="547" /> 
อันดับที่ 1 185 Rajadamri ถนนราชดำริ ราคาหน่วยละ 274 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 350,000 บาท 
โดย บมจ. ไรมอน แลนด์ 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="292" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/02.jpg" width="544" /> 
อันดับที่ 2 Magnolias Waterfront Residences Iconsiam ถนนเจริญนคร ราคาหน่วยละ 125 ล้านบาท 
หรือตารางเมตรละ 361,272 บาท โดย บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์คอร์ปอเรชั่น จำกัด 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="358" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/03.jpg" width="543" /> 
อันดับที่ 3&nbsp; Marque Sukhumvit ถนนสุขุมวิท 39&nbsp; ราคาหน่วยละ 120 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 300,000 บาท 
โดย บริษัท เมเจอร์ เรสซิเด้นส์ จำกัด 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="220" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/04.jpg" width="544" /> 
อันดับที่ 4 My Resort@River ถนนจรัญสนิทวงศ์ 72&nbsp; ราคาหน่วยละ 119 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 151,786 บาท โดย บริษัท อิควิตี เรสซิเดนเชียล เจ้าพระยา จำกัด 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="337" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/05.jpg" width="541" /> 
อันดับที่ 5 The Ritz-Carlton Residences, Bangkok ถนนนราธิวาสราชนครินทร์&nbsp; ราคาหน่วยละ 81 ล้านบาท 
หรือตารางเมตรละ 285,000 บาท โดย บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="296" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/06.jpg" width="539" /> 
อันดับที่ 6 Sindhorn Residence ถนนเพลินจิต ราคาหน่วยละ 72 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 210,000 บาท 
โดย บริษัท สยามสินธร จำกัด 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/07.jpg" /> 
อันดับที่ 7 Menam Residences ถนนเจริญกรุง ราคาหน่วยละ 42 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 160,000 บาท 
โดย บริษัท แม่น้ำ เรสซิเดนท์ จำกัด 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/08.jpg" /> 
อันดับที่ 8 M Silom ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ 2 ราคาหน่วยละ 39 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 234,940 
โดย บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="354" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/09.jpg" width="552" /> 
อันดับที่ 9 The River (South Tower) ราคาหน่วยละ 37 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 177,295 บาท ถนนเจริญนคร 13 โดย บมจ. ไรมอน แลนด์ 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="255" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/10.jpg" width="557" /> 
อันดับที่ 10 THE PANO panoramic river view ราคาหน่วยละ 35 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 145,833 บาท โดย 
บริษัท ริเวอร์ไซด์ โฮมส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด 
&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; 
ปรากฎการณ์อาคารสูงเสียดฟ้า 
 
ภายหลังจาก บมจ. แกรนด์ คาแนล แลนด์ หรือ &ldquo;G LAND&rdquo; ได้ประกาศแผนลงทุนสร้างอาคารสูงพิเศษ &ldquo;เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์&rdquo; ย่านรัชดา คิดเป็นมูลค่าโครงการ 2.2 หมื่นล้านบาท จำนวน 125 ชั้น มีความสูง 615 เมตร ซึ่งหากก่อสร้างเสร็จจะเป็นอาคารที่สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน แซงหน้าตึกแฝดเปโตรนาส ประเทศมาเลเซีย ที่สูง 452 เมตร 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202015/The-Grand-Rama-9-resize.jpg" /> 
ทั้ง นี้ยังมีกระแสข่าวถึงกลุ่มทุนรายใหญ่ อีก 3-4 ราย ที่เตรียมพัฒนาโครงการอาคารสูงกว่า 100 ชั้น รวมไปถึงกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่สนใจการสร้างอาคารสูงพิเศษ 100 กว่าชั้น เพราะจะเป็นการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองเลยทีเดียว 
 
&ldquo;คน ในแวดวงออกแบบกล่าวถึง 1 ใน 4 โครงการ ว่าอาจจะเป็นอาคารที่มีความสูง 777 เมตร ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นอาคารที่ทุบสถิติทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน&rdquo; ประภากร วทานยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 กล่าว 
 
ทั้ง นี้การสร้างอาคารสูงเกิน 100 ชั้น ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องอาศัยความรู้และความเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็น หลัก และด้วยทำเลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ทั้งการเดินทาง ข้อกฎหมาย และสภาพแวดล้อม กลุ่มทุนที่มีทำเลที่ดีจึงจะสร้างมูลค่ามหาศาลและเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events