<h2>ท่ามกลางตลาดลงทุนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จากปัจจัยรอบโลกที่คาดเดาได้ยาก และความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลก นักลงทุนบางส่วนอาจจะอยากพักจากการลงทุนสักระยะเวลาหนึ่ง (อาทิ 1-3 ปี) หลายคนอาจเลือกพักเงินที่บัญชีออมทรัพย์ซึ่งมีสภาพคล่องสูง แต่ยังมีอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการได้ดอกเบี้ย และลุ้นรางวัล ได้โดยไม่เสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากและเงินรางวัล คือ สลากกออมทรัพย์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ว่าแต่ปี 2568 นี้มีสลากออมทรัพย์ไหนที่ยังเปิดขาย และหากมีเงินราว 1 ล้านบาท จะซื้อสลากฯ ตัวไหนดี Forbes Thailand รวบรวมและเปรียบเทียบมาให้แล้วในบทความนี้มีเงิน 1 ล้านบาท ซื้อสลากฯ ไหนได้ผลตอบแทนแบบขั้นต่ำสูงที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes Thailand รวมรวมสลากออมทรัพย์ที่ยังเปิดขายอยู่ในต้นเดือน ก.พ. 2568 จาก 3 ธนาคารหลัก ได้แก่ ธนาคารออมสิน*, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เบื้องต้นสำหรับวงเงิน 1 ล้านบาท หากถือไว้จนครบกำหนด สลากออมทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมอัตราดอกเบี้ย และรางวัลขั้นต่ำ) คือ&nbsp;&nbsp; &nbsp; อันดับ 1 สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดนาคราช อายุ 3 ปี ราคา 1,000 บาทต่อหน่วย ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนรวม 1.84% ต่อปี โดยจะมาจากอัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ ที่ราว 1% ต่อปี (ครบกำหนดรับ 30 บาทต่อหน่วย) และที่เหลือมาจากเงินรางวัลรวม 5,760 บาท (เดือนละ 160 บาท มาจากเลขท้าย 2 ตัว, เลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1 และเลขท้าย 4 ตัว) ทั้งนี้ ยังสามารถลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 2 ล้านบาท ได้ถึง 36 งวด&nbsp; &nbsp; อันดับ 2 สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดวิมานเมฆ Plus ปี 2567 อายุ 2 ปี ราคา 1 ล้านบาทต่อหน่วย มีอัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ ที่ 1.70% ต่อปี ทั้งนี้ หากซื้อสลากฯ ในวงเงิน 10 ล้านบาท จะมีอัตราผลตอบแทนรวมที่ 1.82% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากการถูกรางวัลอีกเดือนละ 1,000 บาท นอกจากนี้ สามารถลุ้นรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 3 ล้านบาท ได้ 24 งวด (หากซื้อในวงเงิน 10 ล้านบาท จะถูกรางวัลขั้นต่ำ 1,000 บาท/เดือน คิดอัตราผลตอบแทนรวมที่ 1.82% ต่อปี)&nbsp; &nbsp; อันดับ 3 สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 2 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย มีอัตราผลตอบแทนรวม 1.46% ต่อปี มาจากอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี และรางวัลเลขท้าย 4 ตัวรวม 19,200 บาท (เดือนละ 800 บาท) ส่วนรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 30 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 4 สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 1 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย อัตราผลตอบแทนรวม 1.45% ต่อปี มาจากอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี และ และรางวัลเลขท้าย 3 ตัวและเลขท้าย 4 ตัว รวม 12,000 บาท (เดือนละ 1,000 บาท) สามารถลุ้นรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 10 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 5 สลามออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดหยกจักรพรรดิ์ อายุ 2 ปี ราคา 10,000 บาทต่อหน่วย อัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ อยู่ที่ 1.40% ต่อปี ส่วนรางวัลที่ 1 อยู่ที่ 10 ล้านบาท&nbsp;&nbsp; (หากซื้อในวงเงิน 10 ล้านบาท จะได้รับรางวัลขั้นต่ำ 1,000 บาท/เดือน คิดอัตราผลตอบแทนรวม 1.52% ต่อปี)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่า แม้ทั้งสลากออมทรัพย์ของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. จะมีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่น้อยกว่าของสลากออมทรัพย์ทั้ง 2 แบบของธอส. แต่ก็มีจุดเด่นที่อาจชดเชยได้ด้วยเงินรางวัลก้อนใหญ่ อย่างรางวัลที่ 1 อยู่ที่ 10-30 ล้านบาทสูงกว่าของสลากออมทรัพย์ของ ธอส. ที่อยู่ราว 1-3 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/CrjY1AG38AcVDepkXmxi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CrjY1AG38AcVDepkXmxi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,899"></figure></div>​ มีเงิน 100,000 บาท สลากฯ ไหนคุ้มที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงบซื้อสลากออมทรัพย์ 100,000 บาท ForbesThailand พบว่า สลากออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนขั้นต่ำสูงสุด ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลากออมทรัพย์ชุดนาคราช ของ ธอส. อายุ 3 ปี ราคา 1,000 บาทต่อหน่วย หากจะได้รับรางวัล 60 บาทต่อเดือน (ปีละ 720 บาท) มาจากเลขท้าย 2 ตัว และเลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1 ส่งผลให้มีอัตราผลตอบแทนรวมขั้นต่ำที่ 1.72% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลามออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดหยกจักรพรรดิ์ อายุ 2 ปี ราคา 10,000 บาทต่อหน่วย อัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ อยู่ที่ 1.40% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 1 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย จะได้รับรางวัล 80 บาทต่อเดือน (ปีละ 960 บาท) จากเลขท้าย 3 ตัว ทำให้มีอัตราผลตอบแทนรวมแบบการันตีที่ 1.21% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 2 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย มีอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ การซื้อสลากออมทรัพย์มีผลตอบแทนขั้นต่ำที่ได้รับอย่างชัดจน ที่สำคัญคือไม่เสียภาษีดอกเบี้ยและรางวัล นอกจากนี้หากแต้มบุญใครสูงกว่าก็อาจจะซื้อสลากออมทรัพย์ได้คุ้มค่าที่สุดเช่นกัน หมายเหตุ*สลากออมสินพิเศษทั้ง 1 และ 2 ปี มีสลากฯ รูปแบบดิจิทัลที่จะเงื่อนไขพื้นฐานเหมือนกัน จะมีบางเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น อายุผู้ที่ซื้อได้, วันออกรางวัล และขั้นต่ำในการซื้อ ฯลฯที่มา: Forbes Thailand รวบรวม ณ 5 ก.พ. 68 ภาพ: ธัญวดี นิรุตติศาสตร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/marketing/or-new-ceo-peekthong-thongyai-first-vision-presentation" alt="ฟื้นความมั่นใจ นลท. หลังหุ้นราคาร่วงตั้งแต่ IPO ภารกิจ ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ ซีอีโอคนใหม่ OR"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kkp-research-thailand-economy-feb-2025" alt="KKP แจงเหตุเศรษฐกิจไทยปี 2025 เสี่ยงโตต่ำศักยภาพที่ 3% แม้มีแจกเงิน-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว">KKP แจงเหตุเศรษฐกิจไทยปี 2025 เสี่ยงโตต่ำศักยภาพที่ 3% แม้มีแจกเงิน-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

มีเงิน 1,000,000 บาท ปี 2568 ซื้อสลากออมทรัพย์ที่ไหนดี

<h2>สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ยังคงสร้างผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าภายในสัปดาห์นี้จะออกหนังสือเวียนให้แบงก์เร่งช่วยเหลือลูกหนี้ที่เจอผลกระทบจากน้ำท่วม ทั้งสินเชื่อหมุนเวียน บัตรเครดิต ฯลฯ ด้านสมาคมธนาคารไทยย้ำบางแบงก์มีมาตรการช่วยเหลืออยู่แล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้ ธปท. เตรียมออกหนังสือเวียนให้ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (แบงก์รัฐ) เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมให้สามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วที่สุด เบื้องต้นแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- พิจารณาช่วยเหลือผ่านการปล่อยสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือให้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มบัตรเครดิต อาจให้พิจารณาปรับการชำระขั้นต่ำ (minpay) ต่ำกว่า 8% ในกลุ่มลูกค้าที่เจอผลกระทบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อส่วนบุคคล (Ploan) และสินเชื่อดิจิทัล ให้ผ่อนปรนผ่านการให้วงเงินฉุกเฉินชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รายละเอียดของหนังสือเวียนต้องรอภายในสัปดาห์นี้ ส่วนผลกระทบในภาพรวมยังไม่สามารถประเมินได้ ยังต้องรอข้อมูลสถานการณ์ที่ชัดเจนเพื่อประเมินความเสียหายในด้านต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ กอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน การประกอบอาชีพ และการดำรงชีพประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง สมาคมฯ จึงเร่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่น้ำท่วม ทั้งการลดภาระในการผ่อนชำระหนี้สิน และการสนับสนุนทางการเงินเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เบื้องต้น ทางสมาคมฯ ประสานกับธนาคารสมาชิกในการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเร่งด่วน ซึ่งบางธนาคารได้มีมาตรการรองรับอยู่แล้ว ขณะที่ธนาคารอื่นๆ พร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเหมาะสม โดยมีเงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาลูกค้าแต่ละรายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่แต่ละธนาคารกำหนด ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมสามารถติดต่อธนาคารได้ทันที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ด้านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) หรือธนาคารรัฐหลายแห่ง ออกมาตรการเร่งด่วนช่วยลูกหนี้แล้ว ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธนาคารออมสิน ได้แก่ มาตรการพักชำระหนี้ส่วนเงินต้นและลดดอกเบี้ย 0.50% นาน 3 เดือน รวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้แก่ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ขยายเวลาผ่อนไม่เกิน 20 ปี และสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้แก่ มาตรการลดเงินงวด 50% และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 2% นาน 6 เดือน, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ, มาตรการประนอมหนี้ และ มาตรการสินไหมเร่งด่วน สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ ยื่นขอเข้ามาตรการได้ถึง 30 ธ.ค. 67&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เช่น มาตรการพักชำระหนี้ พักชำระหนี้เงินต้น (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละราย), มาตรการสินเชื่อเติมทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะสั้น และระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เช่น มาตรการพักชำระหนี้เงินต้น ชำระเฉพาะอัตรากำไร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เช่น มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียม และมาตรการพักชำระค่างวด ระยะเวลา 3 งวด โดยขอเข้าร่วมโครงการได้ถึง 30 ก.ย. 67 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/property/pet-family-residences-gross-rental-yield" alt="คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้มาแรง! โดยเฉพาะโซน “รามคำแหง-ลาดพร้าว-พัฒนาการ” Gross Rental Yield ปี 67 พุ่ง 4.6-6%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/thai-millionaires-are-interested-in-investing-in-japanese-real-estate" alt="ผลสำรวจเผย เศรษฐีไทย 4.5 หมื่นคน สนใจลงทุนอสังหาฯ ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ลงทุนในราคา 4-5 ล้าน และ 10-25 ล้านบาท"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/colin-huang-owner-temu-lost-14-billion-dollars-after-pdd-shares-fell-30" alt="Colin Huang เจ้าของบริษัทแม่ Temu เงินหายวับ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังหุ้น PDD ร่วงเกือบ 30%">Colin Huang เจ้าของบริษัทแม่ Temu เงินหายวับ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังหุ้น PDD ร่วงเกือบ 30%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แบงก์ชาติ - ส.ธนาคารไทย- แบงก์รัฐ เร่งออกมาตรการด่วนช่วยลูกหนี้ลดผลกระทบน้ำท่วม

<h2>ธอส. เผยช่วง 4 เดือนแรกปี 67 ปล่อยสินเชื่อใหม่ช่วยคนไทยให้มีบ้านในวงเงิน 47,784 ล้านบาท แต่หนี้เสียเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.63% ของยอดสินเชื่อรวม จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ราว 3.87% แต่ยังตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผย ไตรมาส 1/67 การขยับจาก ’หนี้เสี่ยงจะเสีย’ ไปสู่การเป็น ‘หนี้เสีย’ พบในสถาบันการเงินของรัฐมากกว่า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ที่มีพันธกิจทำให้คนไทยมีบ้าน ส่งผลให้ผลการดำเดินงานใน 4 เดือนแรก ปี 2567 มีการปล่อยสินเชื่อใหม่จำนวน 37,282 บัญชี คิดเป็นวงเงิน 47,784 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางถึง 24,476 ราย สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ช่วง 4 เดือนแรกมีการปล่อยสินเชื่อใหม่คิดเป็น 20% ของเป้าหมายในปี 2567 ที่ตั้งไว้ 242,544 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเชื่อว่าได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ และเชื่อว่าปีนี้จะปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และยังมีสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติม (เช่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเท่ากับ 2.98%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม พบว่า 4 เดือนแรก ปี 2567 ธอส. มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 5.63% ของยอดสินเชื่อรวม (เพิ่มขึ้นจาก สิ้นปี 2566 ที่อยู่ระดับ 3.87%) โดยมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 153,182 ล้านบาท (สัดส่วน 158.55%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน ธอส. ยังมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ปี 2567 เพื่อช่วยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) และลูกค้าสถานะ NPL ให้ยังคงรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป เช่น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ปรับลดค่างวดในแต่ละช่วงเวลา ฯลฯ โดยปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการแล้ว จำนวน 25,798 บัญชี คิดเป็นวงเงินต้นคงเหลือ 29,966 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธอส. มีสินเชื่อคงค้างรวม 1,716,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.14% เมื่อเทียบ ณ สิ้นปี 2566 สินทรัพย์รวม 1,808,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.26% เงินฝากรวม 1,557,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08%​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การที่ ธอส. มี NPL เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลที่ สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 นี้ ภาพรวมลูกหนี้สินเชื่อบ้านที่ขยับจาก Stage 2 (กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง) ไปเป็น NPL ส่วนใหญ่จะพบในสถาบันการเงินของรัฐ (SFIs) ที่พยายามเข้าช่วยเหลือลูกหนี้ให้มากที่สุด ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าจะมีการติดตามให้ลูกหนี้เข้าสู่มาตรการได้มากแค่ไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มองว่าสินเชื่อบ้านเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกันจะสามารถติดตามกับลูกหนี้ได้ง่ายกว่า ขณะเดียวกัน SFIs อย่างธนาคารของรัฐขนาดใหญ่ที่มีสาขาจำนวนมาก คาดว่าจะช่วยให้ลูกหนี้เข้าถึงและช่วยให้ลูกหนี้แก้ปัญหาได้เร็วที่สุด&nbsp; &nbsp;&nbsp; <a href="https://www.freepik.com/free-photo/large-suspension-bridge-chao-phraya-river-twilight-with-city-background_28215565.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=6&amp;uuid=a9901bee-493e-49ab-a485-cfeb2a6bc2da">Image by Wiroj Sidhisoradej on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/credit-bureau-thailand-debt-household-q-1-2024" alt="คนไทยมีหนี้มากแค่ไหน? ไตรมาส 1/67 หนี้เสียกลุ่มไหนเพิ่มขึ้นสูงสุด"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-bank-npl-q-1-2024" alt="ธปท. รับกังวลหนี้เสียรายย่อยเพิ่ม - SME เข้าไม่ถึงสินเชื่อ จับตาหนี้ครัวเรือน Q1/67 ต่ำ 91% เหตุ GDP สูงกว่าคาด">ธปท. รับกังวลหนี้เสียรายย่อยเพิ่ม - SME เข้าไม่ถึงสินเชื่อ จับตาหนี้ครัวเรือน Q1/67 ต่ำ 91% เหตุ GDP สูงกว่าคาด</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ธอส. เปิดงบ 4 เดือนแรกปี 67 พบหนี้เสียพุ่ง 5.63% แบงก์ชาติเผยกลุ่มแบงก์รัฐ ‘หนี้เสียบ้าน’ ยังเพิ่ม

<h2>หนึ่งในการทางเลือกการเก็บออมที่ได้ทั้งผลตอบแทนที่การันตี แถมยังได้ลุ้นรางวัลใหญ่ทุกเดือน หลายคนคงนึกถึงสลากออมทรัพย์ของธนาคารภาครัฐต่างๆ ซึ่งแต่ละสลากออมทรัพย์ให้ผลตอบแทน และมีความน่าสนใจอย่างไร</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด Forbes Thailand เปรียบเทียบ 4 สลากออมทรัพย์ “ออมสิน - ธ.อ.ส.” ที่ราคาต่อหน่วยไม่เกิน 5,000 บาท มาไว้ที่นี่แล้ว ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/rgvKKxAM98Gx351Liq19.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="rgvKKxAM98Gx351Liq19.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="2000,2500"><figcaption><div>ที่มา Forbes Thailand รวบรวม</div></figcaption></figure></div> สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 10 - 111 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; ธนาคารออมสิน ปัจจุบันมีสลากดิจิทัลเปิดขายอยู่ 2 ประเภท ราคาต่อหน่วย 100 บาทเท่ากัน แต่ระยะเวลาไม่เท่ากัน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลากดิจิทัล อายุ 1 ปี เปิดขายในเดือน เม.ย. 67 ที่ผ่านมา โดยมีราคา 100 บาท/หน่วย เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับเงินรวม 100.35 บาทต่อหน่วย ซึ่งรางวัลที่ 1 ในแต่ละงวดอยู่ที่ 10 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเด่นคือ มีรางวัลพิเศษในงวดวันที่ 16 พ.ค. 2567 ที่รางวัลที่ 1 จะอยู่ที่ 111 ล้านบาท&nbsp;&nbsp; &nbsp; - สลากดิจิทัล&nbsp;อายุ&nbsp;2 ปี มีราคา&nbsp;100 บาท/หน่วย เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับเงินรวม 101 บาทต่อหน่วย สามารถลุ้นรางวัลได้ถึง 24 งวด ซึ่งรางวัลที่ 1 ในแต่ละงวดอยู่ที่ 30 ล้านบาท &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ใน 2 ประเภทสลากฯ&nbsp;สามารถซื้อขั้นต่ำที่ 1 หน่วยได้ โดยมีการการันตีรางวัลรายเดือนเหมือนกัน&nbsp;ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ฝาก 100,000 บาท รับรางวัล 40 บาทต่อเดือน (เลขท้าย 3 ตัว)&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; -&nbsp;ฝาก 500,000 บาท รับรางวัล 200 บาทต่อเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-&nbsp;ฝาก 1,000,000 บาท รับรางวัล 600 บาทต่อเดือน&nbsp;&nbsp; &nbsp; -&nbsp;ฝาก 5,000,000 บาท รับรางวัล 3,000 บาทต่อเดือน&nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp; เทียบ 2 สลากออมทรัพย์ ธอส. ผลตอบแทนสูง&nbsp; &nbsp; ด้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. มีสลากออมทรัพย์ 2 ประเภทที่น่าสนใจและราคาต่อหน่วยไม่เกิน 5,000 บาท ได้แก่&nbsp; &nbsp; -&nbsp;สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดนาคราช เปิดขายเมื่อ 17 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา ราคาหน่วยละ 1,000 บาท อายุ 3 ปี (ลุ้นได้ 36 งวด) เมื่อครบกำหนดจะได้รับเงินรวม 1,030 บาทต่อหน่วย&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้&nbsp;มีการการันตีรางวัลรายเดือน ได้แก่ &nbsp; &nbsp; -&nbsp;ฝาก 100,000 บาท รับรางวัล 60 บาทต่อเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ฝาก 1,000,000 บาท รับรางวัล 700 บาทต่อเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ฝาก 10,000,000 บาท รับรางวัล 7,000 บาทต่อเดือน&nbsp; &nbsp; &nbsp; -&nbsp;สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว Plus ที่เริ่มขายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ราคาหน่วยละ 5,000 บาท อายุ 2 ปี (ลุ้นได้ 24 งวด) เมื่อครบกำหนดจะได้รับเงินรวม 5,115 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้&nbsp;มีการการันตีรางวัลรายเดือน ได้แก่&nbsp; &nbsp; - ฝาก 500,000 บาท รับรางวัล 150 บาทต่อเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ฝาก 5,000,000 บาท รับรางวัล 2,200 บาทต่อเดือน Photo by <a href="https://unsplash.com/@micheile?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">micheile henderson</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/green-plant-on-brown-round-coins-lZ_4nPFKcV8?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/sfi-bbl-decrease-interest-rate-0-25-apr-2024" alt="สรุป! ธนาคารที่ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ ลง 0.25% นาน 6 เดือน เริ่มเมื่อไรบ้าง">สรุป! ธนาคารที่ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ ลง 0.25% นาน 6 เดือน เริ่มเมื่อไรบ้าง</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เปรียบเทียบ 4 สลากออมทรัพย์ “ออมสิน - ธ.อ.ส.” ที่ราคาต่อหน่วยไม่เกิน 5,000 บาท

<h2>สถานการณ์โควิด กระทบหนัก ธุรกิจอสังหาฯ ยอดการขอจัดสรรใหม่ลดลงมากถึง -46% และยอดโอนคอนโดมิเนียมลดลง -30% จากสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดในปี 63 กลายเป็นดีสุดเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 64</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-49518" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/วิชัย-วิรัตกพันธ์.jpg" alt="" width="350" height="477" />

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการณ์ผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลสำรวจสถานการณ์ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 พบว่าข้อมูลตัวเลขของ ธุรกิจอสังหาฯ ต่างๆ ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะตัวเลขการขออนุญาตจัดสรรใหม่ ไตรมาส 2/2564 ปริมาณขอจัดสรรลดลงติดลบร้อยละ -41.6 และหากเปรียบเทียบแบบรายเดือนตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย.2564 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ลดลงตั้งแต่ติดลบร้อยละ -37 ถึง -46 โดยคาดว่าทุกไตรมาสตัวเลขจะลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากมูลค่าจะพบว่าลดลงไม่มาก ทั้งนี้เป็นเหตุมาจากผู้ประกอบการปรับสินค้าที่พัฒนาใหม่ เป็นโครงการขนาดใหญ่ขึ้นมูลค่าสูงขึ้น เนื่องจากประเมินกำลังซื้อกลุ่มตลาดบนยังมีความเป็นไปได้ ในขณะที่ตลาดระดับกลางและล่าง ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง

เมื่อมองในภาพรวมของปี 2564 เปรียบเทียบกับปี 2563 การขออนุญาตจัดสรรใหม่จะลดลงร้อยละ 22.1 และคาดว่าในปี 2565 จะกลับมาบวกได้ที่ร้อยละ 25.2 เนื่องจากฐานในปี 2564 อยู่ในเกณฑ์ต่ำ และคาดว่าการจัดสรรจะกลับสู่ค่าเฉลี่ยของช่วงปกติได้ราวปี 2568 หรืออีก 4 ปีหลังจากนี้

แต่ทั้งนี้ยังต้องรอประเมินสถานการณ์โควิด-19 ว่าจะคลี่คลายในทางที่ดีหรือไม่ วัคซีนจะมีเพียงพอให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้หรือไม่ เป็นองค์ประกอบหลักในการประเมินด้วย ซึ่งหากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ โอกาสที่ธุรกิจจัดสรรจะกลับสู่ค่าปกติได้อาจยาวไปถึงปี 2570 หรืออีก 6 ปีหลังจากนี้
<h3>ยอดขาย-โอน 3 ไตรมาสแรกหดตัวน่าห่วง</h3>
ไม่เพียงการขออนุญาตจัดสรรใหม่ที่ลดลง แต่ยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ก็ปรับตัวลดลงอย่างมาเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาส 2/2564 ภาวะการโอนกรรมสิทธิลดลงทั้งจำนวนและมูลค่า โดยจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงร้อยละ 22.0 ขณะที่ด้านมูลค่าของยอดโอนกรรมสิทธิ์เองลดลงร้อยละ 8.6 โดยจำนวนหน่วยและมูลค่าที่ลดลงดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ติดลบร้อยละ -31 และ -16.5 ตามลำดับ

สำหรับไตรมาส 3/2564 มีแนวโน้มว่าจะลดลงต่อเนื่อง ทั้งจำนวนและมูลค่า โดยปีต่อปีคาดว่าจะลดลงติดลบที่ -36 และ -24 ตามลำดับ หลังจากนั้นในช่วงไตรมาส 4/2564 คาดว่าธุรกิจอสังหาฯ จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาใกล้กับค่าเฉลี่ย แต่ทั้งนี้ยังคงติดลบต่อเนื่องทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยจำนวนคาดติดลบ -5.7 และมูลค่าติดลบที่ -6.2

ทั้งนี้โดยภาพรวมของตัวเลขตั้งแต่ ไตรมาส 1-3/2564 อาจมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ลดเหลือเพียง 270,151 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ที่เคยมีหน่วยโอนฯ 358,496 หน่วย หรือติดลบที่ร้อยละ -24.6 โดยห่างจากค่าเฉลี่ยติดลบที่ร้อยละ -25.2

ด้านบ้านแนวราบปี 2564 อาจมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเหลือเพียง 184,734 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ที่เคยมีหน่วยโอนฯ 236,158 หน่วย หรือลลร้อยละ -21.8 ซึ่งห่างจากค่าเฉลี่ยติดลบที่ร้อยละ -23.6

คอนโดมิเนียม ปี 2564 อาจมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเหลือ 85,416 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ที่เคยมีหน่วยโอนฯ 122,338 หน่วย หรือลบร้อยละ -30.2 ซึ่งห่างจากค่าเฉลี่ยที่ติดลบร้อยละ -28.3 โดยตลาดอาคารชุดคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 และคาดว่าจะกลับสู่ค่าเฉลี่ยในภาวะปกติได้ในปี 2570

“ตัวเลขที่แย่ที่สุดในปี 2563 กลายเป็น best ของปี 2564 สะท้อนว่าตลาดแย่ลงอย่างต่อเนื่อง และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด เพราะสถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบันยังไม่ดีขึ้น” ดร.วิชัย กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-49524" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/ธุรกิจอสังหาฯ_003.jpg" alt="" width="600" height="420" />
<h3>คาดภาพรวมทั้งปี'64 หดตัวหนัก</h3>
เช่นเดียวกับจำนวนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของธุรกิจอสังหาฯ ทั่วประเทศปี 2564 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2563 ทั้งสินค้าแนวราบ และคอนโดฯ โดยภาพรวมการโอนฯ ปี 2564 มูลค่าการโอนฯ คาดว่าจะลดเหลือเพียง 542,240 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่เคยมีมูลค่าโอนฯ ที่ 804,241 ล้านบาท หรือติดลบร้อยละ -13.4 แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 0.8

โดยบ้านแนวราบปี 2564 อาจมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ ลดเหลือเพียง 542,240 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่เคยมีมูลค่าโอนฯ 616,939 ล้านบาท หรือติดลบร้อยละ -12.1 แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 5.2

คอนโดมิเนียมปี 2564 อาจมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเหลือเพียง 262,001 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่เคยมีมูลค่าโอนฯ 311,437 ล้านบาท หรือลดลงติดลบร้อยละ -15.9 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยติดลบที่ร้อยละ -7.2

ทั้งนี้จะเห็นว่ามูลค่าลดลงแต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ในแง่มูลค่าที่ลงไม่ต่ำมากส่วนหนึ่งมาจากมีการโอนสังหาฯ ที่ราคาสูงขึ้น เป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการไปสู่การขายสินค้า ในกลุ่มที่มีราคาสูงขึ้นเป็นอีกตลาดที่คาดว่าได้รับผลกระทบจาดโควิด-19 แต่ยังมีกำลังซื้อคือฐานตลาดกลาง-บน ในขณะที่ฐานตลาดระดับแมสในกลุ่มกลาง-ล่าง คาดว่าได้รับผลกระทบหนัก ทำให้กำลังซื้อหดหายอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของคนต่างด้าว ในปี 2564 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างด้าว จำนวน 8,258 หน่วย ลดลงจากปี 2562 ติดต่อลบที่ร้อยละ -35.3 และมีสัดส่วนลดลงเหลือร้อยละ 6.8 จากที่เคยมีสัดส่วนในยอดโอนฯ คอนโดฯ ที่ร้อยละ 10

หากดูที่มูลค่า สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ของคนต่างด้าวในปี 2563 มีมูลค่า 37,716 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ติดลบร้อยละ -25.5 และมีสัดส่วน และมีสัดส่วนลดลงเหลือร้อยละ 12.1 จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 16.0

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%87.html">“ประกันภัยไทยวิวัฒน์” กางผลงานครึ่งแรกปี 2564</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a> 

&nbsp;

กระทบหนัก! ธุรกิจอสังหาฯ รับพิษโควิด ขอจัดสรรวูบ -46%

<div>
<h2>ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. (REIC) เปิดผลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย พบปี 2560 ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จใหม่ลดลงส่งผลให้ภาพรวมยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่ำลง ขณะที่ปี 2561 คาดการณ์ตลาดพลิกสู่ขาขึ้น อัตราการดูดซับเพิ่มเป็น 39.8% ต่อปี ยอดโอนกรรมสิทธิ์เติบโต 10.8%</h2>
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2560-2561 พบภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไทยทั้งประเทศเชื่อว่าจะกลับเข้าสู่ช่วงขาขึ้น

&nbsp;
<h2>ปี 2560 ซัพพลายสร้างเสร็จลดลง</h2>
สำหรับตลาดอสังหาฯ ปี 2560 พบอุปทานที่อยู่อาศัยทั้งประเทศรวม 256,600 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% แบ่งเป็นอุปทานในตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล 147,700 หน่วย เพิ่มขึ้น 8% ส่วนอุปทานในตลาดต่างจังหวัดมี 108,900 หน่วย ทรงตัวใกล้เคียงปี 2559 ส่วนอัตราการดูดซับรวมอยู่ที่ 38.9% ต่อปี ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ราว 4.7%

อย่างไรก็ตาม ในแง่การโอนกรรมสิทธิ์ปี 2560 มีการโอนที่อยู่อาศัยลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ 315,102 หน่วย ลดลง -4.2% คิดเป็นมูลค่าการโอน 674,116 ล้านบาท ลดลง -3.4% ทั้งนี้ ซัพพลายสร้างเสร็จจดทะเบียนก็ลดลงจากปีก่อนหน้าด้วย โดยมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จใหม่ในปี 2560 ราว 184,771 หน่วย ลดลง -17.3%

&nbsp;
<h2>2561 ซัพพลายอสังหาฯ เพิ่มขึ้น 3.4%</h2>
ด้านปี 2561 วิชัยเปิดเผยว่า ปีนี้ซัพพลายในตลาดจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนทั้งตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและตลาดต่างจังหวัด แต่ตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะทวีความสำคัญขึ้นเมื่อดูจากสัดส่วนจำนวนหน่วยขายในตลาด

โดยปีนี้ศูนย์ข้อมูลฯ คาดการณ์ว่าจะมีซัพพลายในตลาดราว 265,500 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 3.4% แบ่งเป็นตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 154,200 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.4% และตลาดต่างจังหวัด 111,300 หน่วย เพิ่มขึ้น 2.2%

</div>
<div>

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bb07a54ee1ec5c57c09cbff77944de99.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์</figcaption></figure>

จากตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าว ทำให้สัดส่วนซัพพลายที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลอยู่ที่ราว 58.1% ของทั้งประเทศ เพิ่มจากปีก่อนที่คิดเป็นสัดส่วน 57.6% ของทั้งประเทศ

ส่วนตลาดต่างจังหวัดที่ซัพพลายยังเติบโตเกิดจากตลาดแนวราบเป็นหลัก สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมต่างจังหวัดจำนวนซัพพลายยังคงทรงตัวใกล้เคียงปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ อัตราการดูดซับซัพพลายของปีนี้เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยทั้งประเทศ 39.8% ต่อปี ซึ่งวิชัยมองว่าอัตราการดูดซับหากอยู่ในช่วง 35% ขึ้นไปถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ยังไม่มีสัญญาณของภาวะซัพพลายล้นตลาด

&nbsp;
<h2>อสังหาฯ สร้างเสร็จเพิ่มขึ้น ยอดโอนส่งสัญญาณดี</h2>
สำหรับอสังหาฯ สร้างเสร็จจดทะเบียนและการโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้คาดจะกลับมาเป็นบวกหรือเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวทั้งฝั่งดีมานด์และซัพพลาย หลังจากที่ปีก่อนยังอยู่ในภาวะติดลบ

โดยศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าปีนี้จะมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนทั่วประเทศ 204,900 หน่วย เพิ่มขึ้น 10.9% และมีการโอนกรรมสิทธิ์ 3.4 แสนหน่วย เพิ่มขึ้น 7.9% หรือคิดเป็นมูลค่าการโอน 746,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8%

“สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2561 น่าจะเติบโตขึ้น จากการที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นหลายด้าน และรัฐบาลเริ่มกระจายผลการเติบโตของเศรษฐกิจไปถึงประชาชนได้ดี ทั้งซัพพลายและดีมานด์ของปีนี้จะโตอย่างสมดุล อย่างไรก็ตาม การเติบโตจะเน้นหนักที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ส่วนตลาดต่างจังหวัด หากเป็นจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวหรือแหล่งอุตสาหกรรม ตลาดคอนโดฯ มีแนวโน้มที่ดี แต่หากเป็นจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองหลักจะยังเน้นที่ตลาดแนวราบ” วิชัยกล่าวปิดท้าย

&nbsp;

</div>

REIC เคาะผลวิจัยตลาดอสังหาฯ ไทยปี 2561 ฟื้นตัว มูลค่าการโอนเติบโต 10.8%

<h2>ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. เผยสถิติอสังหาฯภาคใต้ปี 2559 ยังดูดซับซัพพลายเดิม โอนกรรมสิทธิ์ลดลง ชะลอเปิดตัวใหม่ ด้านสต๊อกเหลือขายคอนโดฯภูเก็ต-สงขลาลดลงจากปี’58 ธอส.ประเมินผู้ประกอบการรอจังหวะลงทุน แนะพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับพื้นที่</h2>
วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC เปิดเผยข้อมูลจาก การสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ในช่วงปี 2559 พบว่า โดยภาพรวมภาคใต้มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงทั้งในแง่จำนวนยูนิตและมูลค่า ยกเว้นจังหวัดนครศรีธรรมราช ดังนี้
<ul>
 	<li>จังหวัดภูเก็ต มีการโอนกรรมสิทธิ์ 6,333 ยูนิต ลดลง 17.8% คิดเป็นมูลค่า 17,858 ล้านบาท ลดลง 12.1%</li>
 	<li>จังหวัดสงขลา มีการโอนกรรมสิทธิ์ 5,958 ยูนิต ลดลง 8.9% คิดเป็นมูลค่า 9,494 ล้านบาท ลดลง 4.2%</li>
 	<li>จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการโอนกรรมสิทธิ์ 3,768 ยูนิต ลดลง 19.5% คิดเป็นมูลค่า 7,355 ล้านบาท ลดลง 16.4%</li>
 	<li>จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการโอนกรรมสิทธิ์ 3,011 ยูนิต เพิ่มขึ้น 64.9% คิดเป็นมูลค่า 4,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.0%</li>
</ul>
<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7d9183f12ca2e87e8f57e7120299fd9e.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC</figcaption></figure>

ทั้งนี้ วิชัยกล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชมีการเติบโตสูงเกิดจากการเติบโตฐานต่ำ ต่างจากจังหวัดอื่นๆ เช่น ภูเก็ตและสงขลาที่เป็นตลาดใหญ่ของภาคใต้ ในภาพรวมแล้วการโอนอสังหาฯภาคใต้หดตัวลง ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศในปีที่ผ่านมา ทำให้ความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคลดลงแม้จะมีความต้องการบ้านอยู่ก็ตาม

ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ยังไม่สูงมาก พิจารณาจากสถิติการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินของภาคใต้ทั้งหมดปี 2559 มี 1,110 หน่วย ซึ่งลดลง 74% จากปี’58 ขณะที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแนวราบปี’59 มี 28,150 หน่วย ลดลง 9% จากปี’58 อย่างไรก็ตาม การออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแนวสูงปี’59 ปรับขึ้นเป็น 5,343 หน่วย เพิ่มขึ้น 17% แต่ยังต่ำกว่าในช่วงปี’55-56 ที่อสังหาฯภาคใต้เติบโตสูงทำให้มีการขออนุญาตก่อสร้างคอนโดมิเนียมประมาณปีละ 8,000-8,500 หน่วย

&nbsp;
<h2>สต๊อกคอนโดฯภูเก็ต-สงขลาลดลง</h2>
ข้อมูลจาก REIC ยังเสนอสถิติโครงการระหว่างขายและจำนวนหน่วยเหลือขายรวมทั้งที่อยู่ระหว่างสร้างและก่อสร้างเสร็จของภาคใต้ปี 2559 ดังนี้

1.จังหวัดภูเก็ต

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 155 โครงการ รวม 30,365 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 13,246 หน่วย และคอนโดฯ 16,311 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 6,094 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2,984 หน่วย คิดเป็น 22.5% ของจำนวนหน่วยระหว่างขาย และคอนโดฯ 3,110 หน่วย คิดเป็น 19% ทั้งนี้ หน่วยคอนโดฯเหลือขายลดลงจากเมื่อเดือนต.ค. 2558 ที่มี 4,300 หน่วย
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 6.6% ต่อเดือน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/11ba2d75ad6d99785c49eaeb6dbd67dd.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> คอนโดมิเนียม บ้านไม้ขาว จ.ภูเก็ต พัฒนาโดย บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

2.จังหวัดสงขลา
- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 161 โครงการ รวม 14,227 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 9,367 หน่วย และคอนโดฯ 4,860 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 4,046 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 3,217 หน่วย คิดเป็น 34.3% และคอนโดฯ 829 หน่วย คิดเป็น 17% ทั้งนี้ หน่วยคอนโดฯเหลือขายลดลงจากเมื่อเดือนต.ค. 2558 ที่มี 1,100 หน่วย
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 4.5% ต่อเดือน

3.จังหวัดสุราษฎร์ธานี

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 95 โครงการ รวม 7,567 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 5,845 หน่วย และคอนโดฯ 1,722 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 2,308 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,943 หน่วย คิดเป็น 33.2% และคอนโดฯ 365 หน่วย คิดเป็น 21.2%
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 4.9% ต่อเดือน

4.จังหวัดนครศรีธรรมราช

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 39 โครงการ รวม 4,934 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 4,549 หน่วย และคอนโดฯ 385 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 1,325 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,085 หน่วย คิดเป็น 23.9% และคอนโดฯ 240 หน่วย คิดเป็น 62.3%
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 5.0% ต่อเดือน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0fb0225ca37b7802b0b0593b713be583.png" alt="" width="680" height="432" /><figcaption> คอนโดมิเนียม ศุภาลัย วิสต้า ภูเก็ต พัฒนาโดย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ซึ่งวิชัยกล่าวว่า ภาพรวมอสังหาฯภาคใต้ยังขายได้ต่อเนื่อง จากอัตราการดูดซับในระดับเฉลี่ย 5% ต่อเดือน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เพราะปกติแล้วหากอยู่ในสภาพการณ์หดตัว อัตราดูดซับจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% ต่อเดือน ดังนั้นถ้าหากไม่มีซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้น อัตราดูดซับในระดับเฉลี่ย 5% ต่อเดือนจะใช้เวลาในการขายซัพพลายเหลือขายประมาณไม่เกิน 20 เดือน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใหม่จะต้องศึกษาจังหวะที่ดี โดยดูจากเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว มีการลงทุนใหม่ด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ มีแนวโน้มการเติบโตของภาคท่องเที่ยว และราคาผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งราคาพืชผลนั้นเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯของชาวใต้ นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรลงทุนพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ อาทิ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช การพัฒนาคอนโดฯอาจไม่เหมาะสมกับตลาดนี้ซึ่งผู้บริโภคต้องการโครงการแนวราบมากกว่า

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events