<h2>ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการปี 2567 โชว์กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11,682 ล้านบาท เติบโตมากถึง 20.4% ผลจากกำไรจากการรับประกันภัยที่มีเสถียรภาพ ควบคู่กำไรจากการลงทุนเติบโต โดยมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 7,336 ล้านบาท และมีอัตรากำไรของธุรกิจใหม่อยู่ที่ 60.8% ทั้งนี้มูลค่าพื้นฐานของกิจการเติบโตอีก 12.6% ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 180,773 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.8 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติให้จ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.5 บาทต่อหุ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 11,682 ล้านบาท หรือเติบโต 20.4% จากปีก่อนหน้า โดยกำไรจากการรับประกันภัยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2566 แม้ว่าภาพรวมสินไหมค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ เน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นความคุ้มครอง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างความยั่งยืนของกำไรจากการรับประกันภัยขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีกำไรจากการลงทุนเติบโตขึ้นถึง 119.7% เป็นผลจากสภาวะตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น และการปรับพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ ให้สอดคล้องกลยุทธ์และมาตรฐานรายงานทางการเงินใหม่ที่เริ่มบังคับใช้ในปี 2568 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 สินทรัพย์ลงทุนของบริษัทฯ มากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด เป็นสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) ในปี 2567 อยู่ที่ 7,336 ล้านบาท โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) มีอัตรา 60.8% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงถึง 87,854 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานของกิจการ (Embedded Value) เพิ่มขึ้น 12.6% จากปีก่อน เป็น 180,773 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ 619.4% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140%&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/cEdxov2hLnEWnBkc5jS9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cEdxov2hLnEWnBkc5jS9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,514"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเพื่ออนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากผลกำไรในปี 2567 ในอัตรา 0.5 บาทต่อหุ้น ซึ่งเงินปันผลจะจ่ายหลังได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น และสำนักงาน คปภ. เรียบร้อยแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายไชยกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาการบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ (Seamless Experience) และมอบบริการที่มากกว่าให้กับลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยพัฒนานวัตกรรมต่างๆ อาทิ การพัฒนาแอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต ที่ลูกค้าสามารถเลือกรับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) และการสลักหลังกรมธรรม์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Endorsement) ทำให้ลูกค้าเข้าถึงกรมธรรม์ของตนเองได้สะดวกมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การให้บริการชำระเบี้ยประกันภัยผ่านการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติออนไลน์ หรือผ่าน QR Code บนแอปพลิเคชัน รวมถึงการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ Next Best Offer ลูกค้าสามารถพิจารณาตัวเลือกการประกันภัยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความคุ้มครองได้ และฟีเจอร์ My Wellness การประเมินสุขภาพเบื้องต้นผ่านการสแกนใบหน้า หรือ Vital Scan&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Live Bright ผู้ช่วยสุดสมาร์ทที่ช่วยค้นหาสิ่งที่คุณอยากทำ” โดยใช้ Generative AI มาพัฒนาข้อมูลสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต กระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ รวมถึงการวางแผนชีวิตในแบบเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถวางแผนชีวิตของตนเองและคนที่รักได้ตรงตามความคาดหวังและความต้องการ ภาพ: บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ocean-life-plan-2025-feb-2025" alt="ไทยสมุทรประกันชีวิต ตั้งเป้าปี 68 เบี้ยปีแรกโต 10% รุกขยายตลาด Gen Y สายเปย์">ไทยสมุทรประกันชีวิต ตั้งเป้าปี 68 เบี้ยปีแรกโต 10% รุกขยายตลาด Gen Y สายเปย์</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยประกันชีวิต เผยปี 2567 มีกำไร 11,682 ล้านบาท เติบโต 20.4% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

<h2>บมจ. ไทยสมุทรประกันชีวิต ตั้งเป้าหมายปี 68 เบี้ยปีแรกโต 10% เร่งขยายพอร์ต Gen Y รุกกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ยกระดับแคมเปญ Love Mindset สู่ Love Solution ผ่านพลังแห่งรักใน 3 ด้าน ได้แก่ Love Your Health, Love Your Wealth และ Love The World พร้อมกางแผน 5 ปีมั่นใจแข็งแกร่งขึ้นทุกด้านและเติบโตอย่างยั่งยืน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทยสมุทรประกันชีวิต หรือ Ocean Life กล่าวว่า ปี 2568 นี้ยังมีความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่มีผลต่อการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิต อัตราดอกเบี้ยฯ ที่ส่งผลต่อผลตอบแทนในโปรดักส์ที่การันตีผลตอบแทน รวมถึงความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ ที่ทำให้บริษัทฯ จะต้องระมัดระวังและคัดสรรอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp; ในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันชีวิตปีแรกเติบโต 10% สูงกว่าอุตสาหกรรมประกันชีวิตไทยที่คาดว่าจะเติบโตราว 2-3% โดยแผนงานหลักยังมุ่งเน้นการสร้างตัวแทนฯ ที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งจะตอบโจทย์การขยายฐานลูกค้าในกลุ่มหัวเมือง โดยเน้นการสร้างแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจลูกค้า ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ บริการด้านดิจิทัล และพัฒนาตัวแทนที่มีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ยังยกระดับแคมเปญ Love Mindset สู่ Love Solution ผ่านพลังแห่งรักใน 3 ด้าน ได้แก่ Love Your Health, Love Your Wealth และ Love The World ซึ่งเชื่อว่าจะเพิ่มศักยภาพผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและเสนอโซลูชนที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปี 68 ยังใช้แคมเปญพลังความรักมาเข้าให้ถึงลูกค้ามากขึ้น โดยเราจะคิดให้ลึกขึ้นทุกปี ถึงเหตุผลที่คนเลือกซื้อประกันได้ตรงความต้องการของเขา”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/CH4um4Ckxb1VZrCmt4m2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CH4um4Ckxb1VZrCmt4m2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์หลักของปี 2568 นี้คือการรุกขยายพอร์ตในกลุ่ม Gen Y มากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลที่บริษัทค้นคว้ามาพบว่า Gen Y สายเปย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายและในด้านจำนวนประชากรถือว่ามีสัดส่วนที่สูง ซึ่งปัจจุบันพอร์ตหลักของบริษัทยังคงเป็นลูกค้ากลุ่ม Gen X มากที่สุด แต่เริ่มมี Gen Y มากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับมาเข้าถึงลูกค้ากลุ่มในเมืองมากขึ้น โดยการรุกในกลุ่ม Gen Y จะใช้ 3 กลยุทธ์หลัก คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. แบรนด์ที่โดนใจ ตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างแบรนก์ให้ตรงใจ และตอบโจทย์Gen Y มากยิ่งขึ้น ด้วยแคมเปญใหม่ การนำเสนอรูปแบบใหม่ ที่จะเปิดตัวภายในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. แบบประกันและบริการที่คุ้มค่า เพราะ Gen Y ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในทุกการใช้จ่าย ดังนั้นบริษัทจึงออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ หรือประกันโรคร้ายแรง ที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมและคุ้มค่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ที่ปรึกษาประกันชีวิตที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ ผ่านการพัฒนาตัวแทนประกันชีวิตสู่การเป็นที่ปรึกษาประกันชีวิต โดยบริษัทยังเน้นสร้างคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยทีมเพื่อรองรับดูแลลูกค้าที่เป็น Gen Y มากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้ง 3 กลยุทธ์นี้ยังสอดคล้องกับการเพิ่มสัดส่วนคนทำงาน Gen Y ที่มากขึ้น โดยมีการปรับบรรยากาศในการทำงานให้ดึงดูดคนรุ่นใหม่ และอยากทำงานอยู่กับบริษัทฯ ในระยะยาว ซึ่่งสิ่งที่คาดไม่ถึงคือแม้จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานในบริษัทมากขึ้น ซึ่งมักได้ยินว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการทำงานที่ไหนนานๆ แต่บริษัทยังคงมี Turn over ต่ำ ปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมด 1,500 คน จากเดิมที่ 2,500 คน โดยส่วนใหญ่กว่า 70% เป็นกลุ่ม Gen X และ Y&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านการลงทุนยังเชื่อว่าปี 2568 จะทำได้ดีเหมือนปี 2567 ที่มีผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 4.72% โดยยังลงทุนอย่างรอบคอบ ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้คริปโตเคอเรนซี่แม้จะมีการพูดคุยกันบางส่วน แต่ด้วยเกณฑ์ในปัจจุบันธุรกิจประกันชีวิตยังไม่สามารถลงทุนได้ และไทยสมุทรประกันชีวิตไม่ใช่บริษัทที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกลุ่มนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้ยังไม่มีแผนลงทุนเพิ่มเติม เพราะปัจจุบันสำนักงานออฟฟิศให้เช่าที่มีอยู่ในตลาดยังสูงกว่าความต้องการที่มีอยู่ ขณะที่การลงทุนบ้านเพื่อผู้สูงอายุมองว่าน่าสนใจมาก มีการเตรียมที่ดินไว้แล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเริ่มโครงการ ส่วนพอร์ตสินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้ธุรกิจอสังหาฯ ปัจจุบันมีอยู่ราว 10,000 ล้านบาท ยังคงให้สินเชื่ออย่างระมัดระวัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนแผน 5 ปีนับจากนี้ นุสราเล่าว่า “ความเร็วของการปรับตัวต้องไวยิ่งขึ้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” และอยากเห็นไทยสมุทรฯ รุกเข้าไปในฐานลูกค้ากลุ่มหัวเมืองมากขึ้น และจะเน้นการสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน การสร้างความยั่งยืนมากกว่าการเติบโตของเบี้ยประกันภัยเพียงอย่างเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หัวใจสำคัญของแผนงาน 5 ปี คือการเปิดกว้างให้ทีมงานกล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ ยังคงเน้นการทำงานเป็นทีม แต่จะเปลี่ยนจาก Leader Centric มาสู่คนทำงานให้ได้คิดและกล้าลองได้เหมือนเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนงานด้านสาขาจะมีการปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้บริการไปสู่บทบาท Service to sell การสร้างคน การประสานงานกับพื้นที่ รวมถึงเพื่อรองรับการพัฒนาดิจิทัลที่เกิดขึ้น เดิมมีจำนวนสาขา 250 แห่ง ปัจจุบันลดเหลือ 111 สาขา และภายในปี 2568 ตั้งเป้าจะลดเหลือ 100 สาขา แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2567 ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ พบว่า มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมที่ 14,123 ล้านบาท และอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่ 85% โดยมีผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 4.72% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,110 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีสินทรัพย์ 106,769 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิต 79,249 ล้านบาท และอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) 395.17% ซึ่งสูงกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดที่ร้อยละ 140% ภาพ:&nbsp;บมจ. ไทยสมุทรประกันชีวิต เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/tlaa-thailand-life-insurance-feb-2025" alt="ส.ประกันชีวิตไทย คาดปี 68 ธุรกิจประกันชีวิตยังโต 2-3% ผลดีเทรนด์ประกันสุขภาพ-โรคร้ายโตต่อ">ส.ประกันชีวิตไทย คาดปี 68 ธุรกิจประกันชีวิตยังโต 2-3% ผลดีเทรนด์ประกันสุขภาพ-โรคร้ายโตต่อ</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยสมุทรประกันชีวิต ตั้งเป้าปี 68 เบี้ยปีแรกโต 10% รุกขยายตลาด Gen Y สายเปย์

<h2>ธุรกิจประกันสุขภาพกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง หลังจากเมื่อปลายปี 2564 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ประกาศใช้ New Health Standard เป็น มาตรฐานใหม่ของการประกันภัยสุขภาพ ซึ่งข้อดีที่มักพูดถึงกันคือ หวังว่าจะช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถจ่ายเบี้ยปีต่ออายุได้โดยไม่ถูกเพิ่มเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม (เช่น ไม่รับต่ออายุเมื่อเคลมสูง, เพิ่มเบี้ยเกินจริง ฯลฯ)</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ช่วงมี.ค. 2568 นี้ คปภ. จะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ใหม่กับประกันสุขภาพที่เรียกว่า Copayment คือให้ผู้เอาประกันมี ‘ส่วนร่วมจ่าย’ หากเข้าเงื่อนไขใหม่ที่กำหนด ซึ่งที่จริงแล้วคำว่า Copayment ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะหากเราซื้อประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไขว่า ผู้เอาประกันต้อง ‘ร่วมจ่าย’ เมื่อต้องการเคลม แน่นอนว่าแบบประกันทำนองนี้ ในหลักการผู้เอาประกันควรได้รับเบี้ยประกันที่ถูกกว่ากรมธรรม์แบบเคลมเหมาจ่าย หรือกรมธรรม์แบบที่เคลมการรักษาได้ทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่คำถามหลักที่สังคมสงสัยคือ Copayment ที่จะประกาศใช้ มี.ค. 68 นี้ ‘เงื่อนไข-หลักเกณฑ์’ มีความชัดเจน โปร่งใส และเข้าใจได้ง่ายในมุมมองประชาชนหรือไม่ ไปจนถึงข้อสงสัยว่าเงื่อนไขใหม่นี้กำลังจะเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจประกันภัยมากกว่าประชาชนหรือไม่ อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาเหล่าตัวแทนประกันภัย ต่างออกมาบอกว่าเล่าในโซเชียลมีเดียว่า มีหลายบริษัทมีการใส่เงื่อนไข Copayment นี้เข้าไปในกรมธรรม์ New Health Standard อยู่แล้ว แต่เงื่อนไขก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทประกันภัยที่จะ ‘เลือก’ ใช้อย่างไร ถือว่าประชาชนยังสับสนกับข้อมูลต่างๆ ที่ออกมา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/MARUqx1qHyPsuBpbHKJp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MARUqx1qHyPsuBpbHKJp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,1015" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งหมดนี้จึงทำให้ล่าสุด นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.)&nbsp;ออกมาชี้แจงเงื่อนไข Copayment ว่า สาเหตุที่สัญญาประกันภัยสุขภาพต้องกำหนดหลักเกณฑ์การให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) มาจากเบี้ยประกันภัยสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยประมาณ 3-5% ต่อปี เพราะ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการรับประกันภัยที่สูงขึ้น ฯลฯ&nbsp;จากปัญหาเหล่านี้ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการประกันภัยสุขภาพได้ยากขึ้น ทั้งคนที่มีกรมธรรม์อยู่แล้วอาจต้องออกจากระบบ เพราะอาจแบกรับภาระค่าเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ทางคปภ. จึงอธิบายเงื่อนไขใหม่หรือแนวทาง Copayment ที่มี 2 รูปแบบ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) แบบมีส่วนร่วมจ่าย Copayment ตั้งแต่เริ่มต้นทำประกันภัยสุขภาพ สำหรับผู้เอาประกันภัยที่สมัครใจ โดยจะได้รับส่วนลด ค่าเบี้ยประกันภัยทันที แต่ต้องร่วมจ่ายทุกครั้งตามสัดส่วนที่ระบุในสัญญา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) แบบกำหนดให้มีส่วนร่วมจ่าย Copayment ในเงื่อนไขการต่ออายุกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย (Renewal) สำหรับผู้เอาประกันภัยร่วมจ่ายเฉพาะในปีต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยปีถัดไปถ้าหากผู้เอาประกันภัยเข้าหลักเกณฑ์ใน 2 กรณี ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรณีที่ 1 ผู้เอาประกันภัยร่วมจ่ายไม่เกิน 30% ของค่ารักษาที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป เมื่อเกิด 3 ข้อนี้พร้อมกันเท่านั้น คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1) มีการเคลมเป็นผู้ป่วยในด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ให้ต้องรักษาตัวแบบผู้ป่วยใน และ&nbsp; &nbsp; (2) มีการเคลมตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป&nbsp; &nbsp; (3) มีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมกันตั้งแต่ 200%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรณีที่ 2 ผู้เอาประกันภัยร่วมจ่ายไม่เกิน 30% ของค่ารักษาที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป เมื่อเกิด 3 ข้อนี้พร้อมกันเท่านั้น คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1) มีการเคลมเป็นผู้ป่วยในด้วยโรคทั่วไปที่ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่&nbsp; &nbsp; (2) มีการเคลมตั้งแต่ 3 ครั้ง ขึ้นไป&nbsp; &nbsp; (3) มีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมกัน ตั้งแต่ 400%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถ้าเข้าหลักเกณฑ์ทั้งกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 ข้างต้น จะต้องร่วมจ่าย Copayment แต่รวมกันแล้วจะไม่เกิน 50% ของค่ารักษาในปีถัดไป อย่างไรก็ตามการพิจารณาหลักเกณฑ์ Copayment ในเงื่อนไขการต่ออายุฯ จะมีการพิจารณาเป็นรายปี หากปีใดไม่เข้าตามเงื่อนไขข้างต้นแม้เพียงข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ต้องเข้า Copayment ซึ่งผู้ทำประกันภัยไม่ต้องร่วมจ่ายในค่ารักษาพยาบาลที่อยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/JwRuRDxAhDDWHrXCgTmg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="JwRuRDxAhDDWHrXCgTmg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"><figcaption><div>นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ.</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายชูฉัตรยังคงเน้นย้ำว่า การกำหนดแนวทาง Copayment เป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยชะลอค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพไม่ให้เพิ่มขึ้นไวเกินไปเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามการซื้อประกันภัยสุขภาพขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเงื่อนไขกรมธรรม์ ราคา หรือระยะเวลาคุ้มครอง ฯลฯ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและความจำเป็นของแต่ละบุคคล ควรศึกษาและเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยจากหลาย ๆ แห่ง เพื่อให้ได้กรมธรรม์ที่ดีที่สุด สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของตนเอง หลีกเลี่ยงการรับข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน หรือข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ คงต้องติดตามว่า คปภ. และภาคเอกชนจะมีข้อสรุปเรื่อง Copayment อย่างไร จากปัจจุบันที่เงื่อนไขและกรมธรรม์ประกันสุขภาพมีความซับซ้อนและเข้าใจยากอยู่แล้ว รวมถึงเงื่อนไขใหม่นี้จะส่งผลต่อความกังวลของประชาชนและผู้เอาประกันในวงกว้างอย่างไร ภาพ : ForbesThailand,<a href="https://www.freepik.com/free-photo/medical-physician-doctor-man_5218083.htm#fromView=search&amp;page=2&amp;position=48&amp;uuid=d51cd284-0fad-444c-a20b-3e53a76c58b3&amp;query=medical+treatment" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;jcomp on Freepik</a>,&nbsp;คปภ., สมาคมประกันชีวิตไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/btg-invest-eggriculture-singapore-jan-2025" alt="‘เบทาโกร’ รุกตลาดอาหารสิงคโปร์ เข้าซื้อกิจการ Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ มูลค่า 1,900 ล้านบาท ปักธงเป็น Regional Player"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/bangkok-ranks-4th-among-top-5-destinations-for-chinese-national-day" alt="กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/tgia-thailand-insurance-f-dec-2024" alt="ส.ประกันวินาศภัย เร่งคุยข้อสรุปประกันสุขภาพ CoPayment ที่ผู้ซื้อต้อง ‘ร่วมจ่าย’ เมื่อจะเคลมตามเงื่อนไข คาดเริ่มใช้ มี.ค. 68">ส.ประกันวินาศภัย เร่งคุยข้อสรุปประกันสุขภาพ CoPayment ที่ผู้ซื้อต้อง ‘ร่วมจ่าย’ เมื่อจะเคลมตามเงื่อนไข คาดเริ่มใช้ มี.ค. 68</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทำความเข้าใจเงื่อนไขประกันสุขภาพ CoPayment ที่ผู้ซื้อต้อง ‘ร่วมจ่าย’ เริ่ม มี.ค. 68 นี้! 

<h2>นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2567 พบกับบุคคลบนปก นุสรา บัญญัติปิยพจน์ หญิงแกร่งแห่ง Ocean Life The Healthiverse Empire</h2> &nbsp; &nbsp; ‘นุสรา บัญญัติปิยพจน์’ หญิงแกร่งแห่ง Ocean Life The Healthiverse Empire - เธอมองว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา Ocean Life ไทยสมุทรฯ ได้ยึดแนวทางสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้จะไม่โตแบบก้าวกระโดดแต่ก็เป็นการเติบโตอย่างมั่นคงด้วยฐานะการเงินที่เข้มแข็ง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/NhDB1hL7P1Pb7yK7uiJw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NhDB1hL7P1Pb7yK7uiJw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="1000,1407" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ The Trend พบกับ พรรณอวิกา ลิมปะพันธุ์ นำทัพ DGT เจาะกำแพงตลาดจีน - จีนแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เฉพาะพื้นที่ แต่ยังเป็นตลาดใหญ่ที่ทั่วโลกต่างจับตา เพราะมีกำลังซื้อมหาศาล พรรณอวิกา ซึ่งถือเป็น ‘เจ้าแม่เอเจนซี่ตลาดจีน’ ก็พุ่งเป้านำทัพเจาะตลาดดิจิทัลแห่งนี้ด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Fabulous 40’s พบกับ ประพล ฐานะโชติพันธ์ TMAN สกัดยาชิงธงแบรนด์โลก - ก้าวต่อไปของนวัตกรรมสุขภาพสัญชาติไทยที่สามารถพัฒนายาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางแบรนด์ไอยรา และ Propoliz ให้เดินหน้าท้าชนเจ้าตลาดเดิมและมุ่งมั่นแจ้งเกิดอินเตอร์แบรนด์ในอนาคต​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/KiGu1Thcqv28ZfTfojkk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KiGu1Thcqv28ZfTfojkk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="1000,1411" style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ The Investigation พบกับ บริหารยูนิคอร์นอย่างไรให้เจ๊ง - บิลค้างจ่ายๆ สัญญาชุ่ยๆ และการเข้าพบ Jensen Huang ที่จบด้วยความพินาศ คือตอปิโดที่ Emad Mostaque ผู้ก่อตั้ง Stability ใช้จมสตาร์ทอัพพันล้านของตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Dine with the Boss พบกับ สิทธิกร ดิเรกสุนทร นำดิจิทัลเร่งสปีด บสย. เท่าตัว - ในฐานะผู้บริหารรุ่นใหม่และมีพื้นฐานด้านไอที สิทธิกร ตั้งเป้าหมายปรับสปีดการทำงานภายในองค์กรให้เร็วขึ้น พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อป้องกันแก้ไขและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/HhoQWMocjE7HoFc4y7iM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HhoQWMocjE7HoFc4y7iM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="1000,1416" style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Small Giants พบกับ อนันต์กร อมรวาที เปิดตลาดบ้านหรูพันล้าน - เจ้าของธุรกิจก่อสร้างที่มองเห็นช่องว่างจากธุรกิจรับสร้างบ้านหรู โดยปัจจุบันเป็นบริษัทอันดับ 1 ในประเทศที่มีพื้นที่ก่อสร้างมากที่สุดตลอด 25 ปีที่ผ่านมาและยังมียอดขายรวมเกือบ 1 หมื่นล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ The Next Tycoon พบกับ ณัฐพล ดุษฎีโหนด เสิรฟ์ FM สู่สากล - การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ส่งผลให้ต่างประเทศไม่นำเข้าเนื้อไก่สดจากไทยเป็นเวลานานเกือบ 10 ปี ถือเป็นจุดเปลี่ยนให้สนิท ดุษฎีโหนด ดึงลูกชายกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัวในการแปรรูปเนื้อไก่ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จนกลาบมาเป็น Top 10 ของตลาดในปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฉบับนี้ยังพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจของ The List : Thailand 50 Richest 2024 มหาเศรษฐีไทยทรัพย์สินลดลง ร่วมอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจรวมถึงเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2567 และอ่านในรูปแบบ e-magazine

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events