<h2>หลังเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยไปเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ล่าสุด Shake Shack ร้านเบอร์เกอร์สไตล์ไฟน์แคชชวลสุดไอคอนิกจากนิวยอร์ก ก็พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวสาขาใหม่ซึ่งเป็นสาขาที่สามอย่างเป็นทางการ ที่เมกาบางนา ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.00 น.</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการออกแบบของสาขานี้ Shake Shack บอกว่าเพื่อเป็นการโอบรับความผ่อนคลายแต่เปี่ยมพลังสนุกสนานของย่านบางนา Shake Shack สาขาเมกาบางนาจึงได้หยิบยืมเอาแรงบันดาลใจในการตกแต่งภายในมาจากสภาพแวดล้อมอันร่มรื่นโดยรอบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมแนวคิดในการเชื่อมโยงระหว่างไลฟ์สไตล์ของคนเมืองกับธรรมชาติ เพื่อให้แขกผู้มาเยือนทุกท่านสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเป็นธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างกลมกลืน แต่ยังคงไว้ซึ่งความน่าตื่นตาตื่นใจในเวลาเดียวกัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/Z63FsHYFsiGA4jY92dzX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Z63FsHYFsiGA4jY92dzX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,296"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อให้สมกับความตั้งใจที่จะให้แช็คสาขานี้เป็นเสมือนที่พักอันผ่อนคลาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสนุกสนาน และเป็นการเชื้อเชิญให้แขกผู้มาเยือนทุกท่านได้เข้ามาร่วมซึมซับความงามของสภาพแวดล้อมในที่แห่งนี้ได้อย่างสบายใจ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/63zTxr6qo6DYQPg6yyMQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="63zTxr6qo6DYQPg6yyMQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,540"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงานออกแบบของศิลปะตกแต่งภายในแช็คที่สามนี้ ได้ฝีมือการสร้างสรรค์ของศิลปินสาวชาวกรุงเทพมากฝีมือ อย่าง “จิรายุ คูอมรพัฒนะ” ผู้เป็นที่รู้จักกันดีจากงานดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยรูปทรงชัดเจน สีสันสดใส เปี่ยมพลังบวก และคาแรกเตอร์ของตัวการ์ตูน “กลม-กลม” ที่ดูอวบกลมน่ารัก มาร่วมออกแบบให้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/oSwhpaJaKeSNGiwc4p8L.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="oSwhpaJaKeSNGiwc4p8L.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,540"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่วมมือทางศิลปะในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Shake Shack ที่ตั้งใจจะร่วมสร้างสรรค์และสนับสนุนรูปแบบการใช้ชีวิตอันเฉพาะตัวของคอมมิวนิตี้ย่านบางนาอันเป็นเอกลักษณ์ และตอกย้ำถึงการสร้างบรรยากาศที่สดใสและเป็นมิตรให้กับแขกผู้มาเยือนทุกท่าน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/1LjoLv6uM2Q1nbg1ngRB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1LjoLv6uM2Q1nbg1ngRB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="720,540"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่น่าสนใจคือ Shake Shack สาขาเมกาบางนา ยังมีห้องไพรเวท “ชรูม รูม” ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มๆ และต้องการเอนจอยไปกับอาหารอร่อยๆ ของเราพร้อมกับได้พูดคุยกันอย่างสบายๆ ในบรรยากาสที่เป็นกันเองและเป็นส่วนตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Shake Shack ยังมาพร้อมบริการใหม่อย่างการสั่งอาหารทางโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ “โมบายล์ ออเดอร์” เพื่อรับกลับบ้านและ “โมบายล์ ออเดอร์ ทู เทเบิ้ล” เพื่อสั่งไปรับประทานที่โต๊ะ ควบคู่ไปกันกับเครื่องรับออเดอร์แบบคีออสที่สะดวกสบาย ซึ่ง Shake Shack ได้นำมาใช้เพื่อลดขั้นตอนในการต่อคิวรับออเดอร์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิดตัวสาขาใหม่ ณ เมกาบางนา เป็นแห่งที่สาม Shake Shack จึงถือโอกาสเผยโฉมเมนูน้องใหม่ล่าสุดที่จะให้บริการในทุกๆ สาขาทั่วกรุงเทพฯ นั่นก็คือว่าที่เชคที่จะเป็นเมนูสุดโปรดของแฟนๆ อย่าง “Thai Milk Tea Shake (มิลค์เชค รสชาไทย)” ที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อ Shake Shack ประเทศไทย และแฟนชาไทยโดยเฉพาะ โดยมีให้เลือกทั้งไซส์เล็กและไซส์ปกติ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/KgfK5tzLRvyatKiUWyVV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KgfK5tzLRvyatKiUWyVV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4" origin-size="720,405"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในแง่ของเมนูใหม่ๆ นั้น นอกเหนือไปจากเมนูซิกเนเจอร์เดิม City Shake (เมนูพิเศษสำหรับประเทศไทย) อย่าง Pandan Sticky Rice Shake (มิลค์เชคข้าวเหนียวเจลลีใบเตย) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้าวเหนียวแก้วใบเตย และ Shack Attack™ ช็อกโกแลตคอนกรีตรสชาติเข้มเข้มแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สาขาเมกาบางนาจะยังมีไอเท็มสุดพิเศษที่จะสะท้อนถึงธรรมชาติอันร่มรื่นในย่านที่พักอาศัยสุดผ่อนคลายของบางนาและความมีชีวิตชีวาของผู้คนอีกหนึ่งเมนู นั่นก็คือ Bangna-na Concrete (บางนา-น่า คอนกรีต) ที่นำเอาไอศกรีมโฟรเซ่น คัสตาร์ดวานิลลามาปั่นรวมกับคาราเมลรสเค็มและฟัดจ์ซอส คุกกี้ไดเจสทีฟกรุบกรอบ และกล้วยหอมสดๆ ให้ออกมาเป็นไอศกรีมโฟรเซ่น รสชาติสดชื่น และละมุนละไมแบบไทยที่ไม่มีใครเหมือน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/fwLdvPPBiSUmTqkC5twd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fwLdvPPBiSUmTqkC5twd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="5" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และนอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มคราฟต์ไซเดอร์จากฝีมือผู้ผลิตไทยอย่าง Outlaw Brewery ซึ่งเป็นโรงกลั่นขนาดเล็กในจังหวัดเลยด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของ Shake Shack ในการ “ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ดี” (Stand For Something Good) รายได้ 5% จากยอดขายไอศกรีม “Bangna-na Concrete (บางนา-น่าคอนกรีต)” จะถูกบริจาคให้กับมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลเด็กด้อยโอกาสด้วยบรรยากาศเหมือนเป็นครอบครัวจนกว่าเด็กๆ จะเติบโตจนพึ่งพาตนเองได้และกลับมาช่วยดูแลสมาชิกในมูลนิธิต่อไป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/travel/pop-mart-hirono-bangkok-art-exhibition-and-event" alt="POP MART Thailand ทุ่มงบเกือบ 9 หลัก ตั้งเป้าดันนิทรรศการ Hirono เป็นเดสติเนชั่นระดับโลก">POP MART Thailand ทุ่มงบเกือบ 9 หลัก ตั้งเป้าดันนิทรรศการ Hirono เป็นเดสติเนชั่นระดับโลก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Shake Shack สาขาใหม่ ‘เมกาบางนา’ เปิดแน่ 6 ก.ค. นี้ พร้อมเปิดตัว ‘Thai Milk Tea Shake’ ทั่วทุกสาขา

<h2>ลำพังแค่เป็นอาหารต่างชาติก็เข้าถึงคนไทยไม่ได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นแบรนด์ต่างชาติด้วย ก็ยิ่งทำให้การเข้าถึงคนไทยยากขึ้นไปอีก นั่นจึงทำให้ Burger King เบอร์เกอร์สัญชาติอเมริกัน ต้องพยายามออกเมนู ‘สไตล์ไทยๆ’ มาเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าคนไทยได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ไก่ทอดหาดใหญ่พร้อมหอมเจียว จนถึงล่าสุดอย่าง ‘เบอร์เกอร์หมูกระทะ’</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะเป็นผู้เล่นรายใหญ่อันดับต้นๆ ในตลาดร้านเบอร์เกอร์เมืองไทย แต่ดูเหมือนว่าการครองใจลูกค้าชาวไทยจนสามารถทำให้ลูกค้ามาเข้าร้านได้บ่อยกว่าเดิมจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับ ‘Burger King’ ร้านเบอร์เกอร์สัญชาติอเมริกันที่มีเป้าหมายไกลๆ คือตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ในตลาดนี้ (ปัจจุบันเป็นอันดับ 2) และเพิ่มความถี่การเข้ามาซื้อของลูกค้าชาวไทยให้มากขึ้นอีก จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.4-1.5 ครั้ง/เดือน ในขณะที่ต่างประเทศความถี่สูงถึง 4-5 ครั้ง/เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจริญชัย บำรุงวงศ์ทอง Marketing Director และ ชนินทร์ นาคะรัตนากร Senior Marketing Manager บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการร้าน Burger King ในไทย ให้ข้อมูลว่า ในปี 2567 นี้ Burger King ยังคงตั้งเป้ามุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาดธุรกิจร้านอาหารบริการแบบด่วน (Quick Service Restaurant : QSR) แนวหน้าของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็พยายามอย่างมากเพื่อเจาะลูกค้าคนไทยให้ได้เป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ง่าย เพราะ Burger King มาจากอเมริกา ทั้งรสชาติและแบรนด์ยังไม่เป็นที่คุ้นเคยกับคนไทย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/MiWnKzQMNTmxfdLkpnEa.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MiWnKzQMNTmxfdLkpnEa.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,474"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และนั่นก็ทำให้สัดส่วนลูกค้าคนไทยของ Burger King อยู่ที่ประมาณ 60% ซึ่งประเมินว่าปีนี้ลูกค้าต่างชาติอาจมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากการเปิดประเทศหลังโรคระบาด ชาวต่างชาติเดินทางมาไทยมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อินไซต์ลูกค้าคนไทยของ Burger King พบว่า อาหารที่คนไทยกินกันปกตินั้นไม่ได้มีรสชาติแบบอาหารตะวันตก แต่เป็นรสชาติที่คนไทยคุ้นเคย ทำให้ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว Burger King เริ่มพยายามปรับเข้าหาลูกค้าคนไทยมากขึ้น มีเมนูที่คนไทยคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น โจ๊ก ของหวานอย่างพายขนมครก หรือเมนู ‘ไก่ทอดหาดใหญ่’ ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การวิจัยพัฒนาจนเรียกได้ว่าทำดี ทำถึง ทำให้ไก่ทอดหาดใหญ่ได้รับกระแสตอบรับที่ดี แต่ Burger King ก็ยังพบว่าอันที่จริงแล้วคนไทยชอบกิน ‘หอมเจียว’ ในเมนูนี้ ทำให้ปีนี้เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ต่อยอดมาสู่โปรโมชั่นเพิ่มหอมเจียวเข้าไปจากเดิม 3 เท่า ในราคา 149 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และแน่นอนว่าแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี Burger King บอกว่าช่วยให้ยอดขายเมนูในกลุ่มไก่ทอดนั้นเพิ่มขึ้นถึง 20% และปริมาณเพิ่มขึ้น 30% รวมทั้งยังตรงกับกลยุทธ์ที่อยากทำเมนูราคาเข้าถึงได้ให้ลูกค้าด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความพยายามของ Burger King ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ...&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Burger King ข้อมูลจากการใช้ Social Listening ยังพบอีกว่าเมกะเทรนด์ของคนไทยตอนนี้นั้นมีอยู่ไม่กี่อย่าง คือ หม่าล่า และหมูกระทะ โดย 26% ของคนไทยพูดว่าถ้าถูกหวยจะไปกินหมูกระทะ และอีก 20% พูดว่าหมูกระทะเป็นสิ่งแรกที่จะไปกินกับเพื่อนโดยที่ไม่ได้มีโอกาสพิเศษอะไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรียกได้ว่านอกจากไก่ทอดหาดใหญ่ หม่าล่า ก็จะมีหมูกระทะที่เป็นเมนูในมายด์เซ็ตของคนไทย นั่นจึงทำให้ Burger King เลือกหมูกระทะมาทำเป็นเบอร์เกอร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมองว่าเบอร์เกอร์หมูกระทะยังเป็นการแก้ Pain Point หลายอย่างของหมูกระทะแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็น บางทีหาเพื่อนไปกินหมูกระทะด้วยไม่ได้, ไปกินแล้วหัวเหม็น หรือไปฉีดโบท็อกซ์มาก็ทำให้ไม่สามารถไปเจอความร้อนจากเตาหมูกระทะได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่หมูกระทะในรูปแบบเบอร์เกอร์ทำให้ลูกค้าสามารถกินหมูกระทะคนเดียวได้, กินเวลาไหนก็ได้, ไม่ต้องกลัวโบท็อกซ์ละลาย ซึ่งเมนูสไตล์ไทยรวมถึงเบอร์เกอร์หมูกระทะนี้อยู่ภายใต้แคมเปญ “ลิ้นไทยต้องรสแท้” ของ Burger King&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราไม่ได้อยากไปแข่งกับร้านหมูกระทะ แต่เราอยากเป็นตัวเลือกหนึ่งที่จะตอบโจทย์คนที่อยากกินหมูย่าง และอยากกินน้ำซอสแบบนี้ ซึ่งเราพยายามแก้ Pain Point ให้การไปกินหมูกระทะ ในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับจุดเด่นของเบอร์เกอร์หมูกระทะ อยู่ที่ชิ้นหมูย่างชิ้นโตที่นำไปย่างด้วยเตาไฟอันเป็นซิกเนเจอร์ของ Burger King ที่สามารถเลือกเปลี่ยนเป็นเนื้อวัวแทนได้ มาพร้อมซอสสูตรพิเศษที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ทานเมนูหมูกระทะจากหน้าเตา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/idRAAZb61Xbgdgd6qde3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="idRAAZb61Xbgdgd6qde3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีให้เลือก 2 เมนู ได้แก่ซิงเกิ้ล หมูกระทะ เบอร์เกอร์ ราคา 89 บาท และดับเบิ้ล หมูกระทะ เบอร์เกอร์ ราคา 149 บาท นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษข้าวหมูย่างซอสหมูกระทะ ที่มาในราคา 79 บาท เพื่อเป็นเมนูทางเลือกเพิ่มเติม โดยเมนูดังกล่าวเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2567 จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ร้าน Burger King ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาท่าอากาศยานและสาขาท่องเที่ยว)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สำหรับกลยุทธ์ไทยซีรีส์นั้น นอกจากการเปิดตัวเมนูรสชาติไทยๆ Burger King ยังทำกิจกรรมการตลาดควบคู่ ผ่านสื่อหลากรูปแบบในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เช่น การเปิดตัวเสื้อสงกรานต์ที่นำไก่ทอดหาดใหญ่มาเรียงร้อยในรูปแบบของเสื้อลายดอก, การทำสื่อเต้นท์การ์ดให้กับร้านอาหารท้องถิ่นที่หยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ การเปิดตัวรถกุ๊กกุ๊กไก่ทอดหาดใหญ่ที่ช่วยสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจจากผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายท้องถิ่นได้อย่างกว้างขวาง และการมอบส่วนลดในเมนูไก่ทอดหาดใหญ่สำหรับผู้ที่เดินทางโดยสารสายการบินทั้งในและต่างประเทศในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาอีกด้วย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/ECPF7qDqQuXi73Ct3XZ7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ECPF7qDqQuXi73Ct3XZ7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,540"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการดำเนินกลยุทธ์ภายใต้แคมเปญ ‘ลิ้นไทยต้องรสไทยแท้’ ทำให้ Burger King มีฐานผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 10% จำนวนการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งแคมเปญนี้จะเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่จะมาช่วยต่อยอดขยายฐานผู้บริโภคให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าปิดปี 2567 สามารถขยายฐานผู้บริโภคคนไทย 25% ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/signs-of-a-new-burger-war" alt="สามเบอร์เกอร์ต่างชาติเตรียมบุกไทย ‘Gordon Ramsay – Tony Roma’s – Jaggers’ เค้าลางสงครามเบอร์เกอร์รอบใหม่?">สามเบอร์เกอร์ต่างชาติเตรียมบุกไทย ‘Gordon Ramsay – Tony Roma’s – Jaggers’ เค้าลางสงครามเบอร์เกอร์รอบใหม่?</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

จากไก่ทอดหาดใหญ่สู่ ‘เบอร์เกอร์หมูกระทะ’ ความพยายามเข้าถึงลิ้นคนไทยของ Burger King

สามเบอร์เกอร์ต่างชาติเตรียมบุกไทย ‘Gordon Ramsay – Tony Roma’s – Jaggers’ เค้าลางสงครามเบอร์เกอร์รอบใหม่?

<h2 class="p1">เบอร์เกอร์คิง โชว์ยอดขายปี 2562 แตะ 2 พันล้านบาท โต 15% ปีนี้ลุยเปิดสาขาเพิ่มเป็น 125 สาขา เน้นพื้นที่กรุงเทพฯ-หัวเมืองหลักแหล่งท่องเที่ยว</h2>
ประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารจานด่วน ภายใต้แบรนด์ “เบอร์เกอร์คิง” เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเบอร์เกอร์ของไทยปี 2562 ที่ผ่านมา มีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องมาจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทย โดยปัจจุบันเบอร์เกอร์คิงมีส่วนแบ่งการตลาด 12% มีสาขารวมทั้งสิ้น 116 สาขา มียอดขายปี 2562 ที่ผ่านมา ที่ 2,094 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 15% เทียบกับปีก่อน
สำหรับแผนและกลยุทธ์การทำตลาดในปี 2563 มุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายสาขาร้าน เบอร์เกอร์คิง อย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายขยายสาขาปีละประมาณ 10-15 สาขา เทียบกับปีก่อนหน้าที่ขยายสาขาใหม่ไปแล้ว 11 สาขาซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่บริการมากขึ้น


<figure><img class="size-full wp-image-26495" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/burgerking03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ประพัฒน์ เสียงจันทร์</figcaption></figure>
รวมถึงการขยายสาขาในรูปแบบสแตนด์อโลนตามหัวเมืองหลักในแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งรูปแบบการขยายสาขาของเบอร์เกอร์คิงนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นที่และทำเลที่ตั้งของแต่ละสาขา โดยสาขาร้านเบอร์เกอร์คิงกว่า 40% เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ และสมุย เป็นต้น
โดยล่าสุดได้เปิดสาขาร้านเบอร์เกอร์คิงแห่งใหม่ที่เกาะพีพี ตั้งอยู่บริเวณท่าเรืออ่าวต้นไทร จังหวัดกระบี่ ภายใต้แนวคิด “เบอร์เกอร์หลักร้อย วิวหลักล้าน” สาขาดังกล่าวนับว่าเป็นสาขาที่มีวิวสวยที่สุดของร้านเบอร์เกอร์คิงในประเทศไทย
ภายในร้านถูกตกแต่งตามสไตล์มาตรฐานแสตนดารด์ของเบอร์เกอร์คิงทั่วโลก เน้นโทนสีน้ำตาลที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ บนพื้นที่ 210 ตร.ม. สามารถรองรับลูกค้าได้ 49 ที่นั่ง ปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ แบ่งเป็น กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย 10% และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 90% โดยมีเมนูซิกเนเจอร์อย่างวอปเปอร์ และเมนูเบอร์เกอร์ต่างๆ รวมถึงเมนูเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นอีกมากมาย ส่วนเมนูข้าวเริ่มต้นเพียง 89 บาทเท่านั้น
<img class="alignnone size-full wp-image-26497" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/burgerking02.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ทั้งนี้ ร้านเบอร์เกอร์คิงสาขาดังกล่าวเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 07.00-23.00 น. นอกจากนี้สาขาดังกล่าวยังลดการใช้ถุงพลาสาติกและหันมาใช้ภาชนะแบบย่อยสลาย อาทิ จาน ถ้วยซอส และภาชนะที่ใส่หลอด ตามนโยบานการดำเนินธุรกิจด้วยการใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2561 โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนภาชนะให้เป็นแบบย่อยสลายให้ครบภายในปี  2564
ประพัฒน์ กล่าวต่อว่า บริษัทยังมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ที่มีกำลังซื้อและมีรสนิยมในการบริโภคแฮมเบอร์เกอร์ จากเดิมที่มีฐานลูกค้าในกลุ่มวัยทำงาน อายุระหว่าง 22-45 ปี นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์เบอร์เกอร์คิงผ่านเมนูใหม่ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“เรามั่นใจว่าจากแผนงานในปีนี้จะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ 15-20% และหากขยายสาขาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จะทำให้ ณ สิ้นปี 2563 มีสาขารวมทั้งสิ้น 125 สาขา ทั้งนี้ การเข้ามาของธุรกิจ Aggregation เช่น Grab, Food Panda และรายอื่นๆ จะส่งเสริมให้ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบเดลิเวอรี่ของเราด้วย” ประพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b9%82%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%9a%e0%b8%ad%e0%b8%a5-%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%8b%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b8%a5.html">โกลบอล คอนซูเมอร์ ปรับกลยุทธ์ A&amp;W ปั้นธุรกิจเครือข่ายล้างขาดทุน</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%aa-%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c.html">พิธาน องค์โฆษิต ซื้อกิจการ “มอส เบอร์เกอร์” ในไทย ปูพรมบุก 90 สาขาท้าชิงเจ้าตลาด</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<article id="post-24912" class="post-24912 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-aw tag-glocon tag-2097 tag-10745 tag-872 tag-10742">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article>

"เบอร์เกอร์คิง" โชว์ยอดขายปี 62 แตะ 2 พันล้านบาท ลุยเปิดสาขาเพิ่ม

<h2>แม้ Lynsi Snyder เดินหน้าขยายธุรกิจร้านแฮมเบอร์เกอร์ In-N-Out อย่างไรก็ตาม เธอยังคงไว้ซึ่งส่วนผสมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา Lynsi Snyder ทายาทเครือข่ายร้าน แฮมเบอร์เกอร์ In-N-Out ได้รับของขวัญชิ้นโตฉลองวันเกิดปีที่ 35 นั่นคือ มรดกชิ้นสุดท้ายที่ทำให้เธอมีหุ้นในอาณาจักรร้านอาหารย่าน West Coast แห่งนี้เพิ่มเป็น 97% พร้อมขยับสถานะขึ้นเป็นเศรษฐินีมูลค่าทรัพย์สินแตะหลักพันล้านในที่สุด อันที่จริงแล้ว ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Snyder ได้รับส่วนแบ่งการเป็นเจ้าของร้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นขั้นตอนการลงทุนที่ออกจะช้าอยู่สักหน่อย ตามกระบวนการจัดการทรัพย์สินแบบซับซ้อนของคุณปู่คุณย่าของเธอ ซึ่งก็คือ Harry กับ Esther Snyder ผู้ก่อตั้งบริษัทนั่นเอง</h2>
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1948 Harry กับ Esther เปิดร้านขายแฮมเบอร์เกอร์แบบไดรฟ์ทรูขึ้นเป็นแห่งแรกใน California โดยใช้ชื่อว่า In-N-Out โดยมีลูกชายทั้ง 2 คนคือ Richard กับ Guy ผลัดกันบริหารร้าน แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก โดย Richard ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกในวัย 41 ปีขณะที่ Guy วัย 48 ปี เผลอรับประทานยาเกินขนาด

หลังจากที่ Guy เสียชีวิตลงเมื่อปี 1999 Esther จึงรับหน้าที่ดูแลธุรกิจก่อนที่ Lynsi จะเข้ารับช่วงต่อในปี 2010 นับแต่นั้นเป็นต้นมา Lynsi ได้อาศัยมรดกตกทอดชิ้นนี้ในการบริหารร้าน In-N-Out อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 29% จนในปัจจุบันมีมากกว่า 320 สาขา มีรายได้เข้าร้านโดยประมาณต่อปีเพิ่มขึ้น 57% มาอยู่ที่ 870 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กระนั้นก็ดี In-N-Out กลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยคุณย่าของเธอมากนัก คือไม่มีการเปิดขายแฟรนไชส์รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้อย่างโคมทำความร้อน เตาไมโครเวฟ และตู้แช่แข็งก็ยังคงเป็นสิ่งต้องห้ามในร้านโดยเด็ดขาด

<hr />

<a href="http://goo.gl/4PSEG2">คลิกเพื่ออ่านบทความอื่นๆ จาก Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคมได้ในรูปแบบ e-Magazine </a>

<a href="http://goo.gl/4PSEG2"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b94d33238d01a8ccb0bd6d9a085deb57.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events