<h2>“บมจ.โรงพยาบาลนครธน” หรือ NKT รุกขยายการลงทุนโครงการใหม่ “โรงพยาบาลนครธน 2” บนถนนเอกชัย เผยการก่อสร้างคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ คาดว่าแล้วเสร็จเริ่มเปิดให้บริการแก่ผู้เข้ารับบริการทั่วไปที่ชำระเงินเองก่อน และเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2568 จากนั้นจะขออนุญาตเป็นโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อขยายฐานผู้เข้ารับบริการแก่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม ซึ่งคาดว่าเริ่มให้บริการผู้ประกันตนได้ประมาณปี 2570</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รองศาสตราจารย์ ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการบริษัท บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) หรือ NKT เปิดเผยความคืบหน้าแผนงานขยายการลงทุนว่า ได้วางนโยบายขยายฐานผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์กลุ่มใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการสร้างรายได้และการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับบริษัทฯ จากปัจจุบันที่มีรายได้หลักจากโรงพยาบาลนครธน บนถนนพระราม 2&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด บริษัทฯ อยู่ระหว่างขยายการลงทุนก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลนครธน 2” บนถนนเอกชัย เพื่อขยายฐานผู้เข้ารับบริการกลุ่มใหม่ที่เป็นผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม และผู้เข้ารับบริการทั่วไปตามแผนงานที่ประกาศไว้ คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 900 ล้านบาท โดยปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนที่บริษัทฯ วางไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โรงพยาบาลนครธน 2 เป็นอาคาร 3 ชั้น ขนาด 151 เตียง บนเนื้อที่เกือบ 7 ไร่ มีห้องพักหลากหลาย ทั้งห้องพักรวม ห้องพักเดี่ยว ห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU) และห้องอภิบาลทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤต (NICU) คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ เริ่มเปิดให้บริการในระยะแรกแก่ผู้รับบริการทั่วไปที่ชำระเงินเองและเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2568 จากนั้นในช่วงต้นปี 2569 จะยื่นขออนุญาตเป็นโรงพยาบาลประกันสังคม คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 1 ปี และเริ่มเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนฯ ได้ประมาณปี 2570​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/aG5iFDDqwA1b4L7ZXszd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aG5iFDDqwA1b4L7ZXszd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามองว่าถนนเอกชัยเป็นทำเลที่มีศักยภาพ และปัจจุบันมีโรงพยาบาลเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถรองรับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคมและผู้เข้ารับบริการทั่วไป โดยพื้นที่กรุงเทพมหานครเขต 7 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 5 เขต ได้แก่ จอมทอง, ทุ่งครุ, บางขุนเทียน, บางบอน และราษฎร์บูรณะ เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีผู้ประกันตนฯ จำนวนมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดย ณ เดือนกันยายน 2567 มีสถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนประกันสังคมรวม 15,408 แห่ง มีผู้ประกันตนทั้งสิ้น 464,642 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีสถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนประกันสังคม 14,960 แห่ง และผู้ประกันตนทั้งสิ้น 361,301 คน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกันตนในอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 5.44 ต่อปี โดยโรงพยาบาลนครธน 2 จะยึดมั่นในคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์และความเอาใจใส่ในการดูแลผู้เข้ารับบริการ ภายใต้วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลว่า “มุ่งมั่นให้การดูแลรักษาตามมาตรฐานสากลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์” รองศาสตราจารย์ ญาณเดช กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เดินหน้าการลงทุนพัฒนาโครงการ “นครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์” ขนาด 85 เตียง ใกล้กับโรงพยาบาลนครธน บนถนนพระราม 2 โดยวางคอนเซปต์ให้เป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม เพื่อให้บริการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพของผู้สูงอายุ ตอบสนองความต้องการพักอาศัยพร้อมบริการทางการแพทย์แก่ผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทยจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/tFr3gARwwMvcCjjsDdwY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tFr3gARwwMvcCjjsDdwY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,429"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยโครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ สามารถรองรับการเข้าพักแบบไปเช้า-เย็นกลับ พักอาศัยระยะสั้นและระยะยาว โดยมีทั้งห้องพักรวม ห้องพักเดี่ยว ห้องพัก VIP และห้องพัก Superior ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 557 ล้านบาท และคาดว่าเริ่มเปิดบริการได้ประมาณปี 2569&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ได้วางแผนเพิ่มจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธนอีก 110 เตียง จากปัจจุบัน 150 เตียง เป็น 260 เตียง โดยจะปรับปรุงอาคารเพื่อเพิ่มห้องพิเศษ (VIP) และห้องพักสำหรับการดูแลแบบประคับประคอง เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับผู้ป่วย และตอบสนองผู้เข้ารับบริการที่ต้องการห้องพักที่มีพื้นที่ใช้สอยและสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 414 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มปรับปรุงอาคารประมาณไตรมาส 1/2568 และทยอยเปิดบริการตั้งแต่ปี 2568-2570 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/vimut-hospital-maxillofacial-contouring-center-sep-2024" alt="รพ. วิมุตเปิด 'ศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า' เจาะฐานคนรุ่นใหม่ หวังเพิ่มสัดส่วนกลุ่มต่างชาติ 35-40%">รพ. วิมุตเปิด 'ศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า' เจาะฐานคนรุ่นใหม่ หวังเพิ่มสัดส่วนกลุ่มต่างชาติ 35-40%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

NKT เผย รพ.นครธน 2 คืบหน้าตามแผน คาดเปิดดำเนินการปี 68 พร้อมเตรียมขยายให้บริการสิทธิ์ประกันสังคม

รพ.นครธน ยกระดับรักษาโรคยากซับซ้อน ชูทีมแพทย์เฉพาะทาง 6 ด้าน

<h2>โรงพยาบาลนครธนเปิดแผนรื้อใหญ่ลงทุนศูนย์โรคเฉพาะทางจับเทรนด์ตลาด เชื่อปี 2560 เติบโต 12% สวนกระแสปัจจัยลบตลาดลูกค้าตะวันออกกลางลด-เศรษฐกิจซบเซา มองโอกาสบุกเปิดบูธงานอีเวนท์ดึงคนไข้เมียนมาเพิ่ม</h2>
นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน เปิดเผยว่า ปีนี้นครธนได้ลงทุนปรับปรุงและพัฒนาโรงพยาบาลมูลค่าการลงทุน 150 ล้านบาท เพื่อยกระดับแผนกของโรงพยาบาลให้เป็นศูนย์โรคเฉพาะทาง มีการปรับปรุงพื้นที่ จัดซื้อเครื่องมือใหม่ และเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์

<figure><img style="width: 340px; height: 545px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/aed100cd8bc6d2274efe78491bd23d4e.png" alt="" width="340" height="545" /><figcaption> นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน</figcaption></figure>

นำร่องเปิดบริการ 2 ศูนย์แรกคือ ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ มีเครื่องมือใหม่คือ FibroScan สำหรับตรวจอวัยวะตับ และ ศูนย์กระดูกและข้อ ที่รองรับแนวโน้มสังคมผู้สูงอายุและผู้บาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

รวมถึงยังลงทุนจัดซื้อ เครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ที่มีความทันสมัย ผลการตรวจชัดเจน ลดเวลาการตรวจลงได้ 20 นาที และสามารถทำการตรวจ MRI ในบางกรณีโดยไม่ต้องฉีดสีให้กับคนไข้ได้ ซึ่งเครื่อง MRI เครื่องใหม่นี้จะทำให้การวินิจฉัยโรคของนครธนแม่นยำยิ่งขึ้น

และในปีนี้อยู่ระหว่างวางแผนปรับปรุงเพิ่มอีก 2 ศูนย์ คือ ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และ ศูนย์ระบบประสาทและสมอง ซึ่งยังไม่สรุปงบการลงทุน

โดย นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า โรงพยาบาลนครธนต้องการจะปรับจากโรงพยาบาลรูปแบบเดิมที่เน้นการตรวจโรคทั่วไป เป็นโรงพยาบาลรวมศูนย์โรคเฉพาะทาง สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาได้เบ็ดเสร็จภายในแห่งเดียว เพื่อเป็นผู้นำโรงพยาบาลเอกชนของย่านพระราม 2

“แต่เดิมเราก่อตั้งโรงพยาบาลด้วยขนาด 500 เตียง แต่จำนวนเตียงลงทะเบียนปัจจุบันมี 150 เตียง เนื่องจากพบว่าการแพทย์ที่พัฒนาทำให้ผู้ป่วยมีระยะเวลานอนโรงพยาบาลน้อยลง สามารถผ่าตัดแบบวันเดียวกลับโดยไม่ต้องพักฟื้นได้ แต่ต้องการความแม่นยำและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพิ่มขึ้น จึงต้องเพิ่มศูนย์ตรวจเฉพาะโรคและพื้นที่สำหรับผู้ป่วยนอก (OPD) ทดแทนตามแนวโน้มของตลาด” นพ.วิโรจน์กล่าว

<figure><img style="width: 680px; height: 501px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b1e6cc218cda2004e99f680873944dc4.png" alt="" width="680" height="501" /><figcaption> ศูนย์กระดูกและข้อ หนึ่งในศูนย์โรคเฉพาะทางหลังปรับปรุงใหม่ของรพ.นครธน</figcaption></figure>

ซึ่งจะทำให้นครธนมีค่าใช้จ่ายต่อคนที่สูงขึ้นจากศักยภาพตรวจวินิจฉัยโรคอันซับซ้อน และด้วยชุมชนในพื้นที่ถนนพระราม 2 เจริญเติบโตขึ้นมาก ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเข้ารักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นพ.วิโรจน์จึงคาดว่าปี 2560 รายได้ของรพ.นครธนจะเติบโตได้ 12% เป็น 1,500 ล้านบาท จากรายได้ปี 2559 ที่ 1,300 ล้านบาท สวนทางกับภาพรวมธุรกิจโรงพยาบาลไทย ที่ได้รับผลกระทบจากลูกค้าชาวตะวันออกกลางที่ลดจำนวนลงและสภาพเศรษฐกิจไทยที่ยังซบเซา

&nbsp;
<h2>โอกาสดึงลูกค้าเมียนมา</h2>
นพ.วิโรจน์กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มลูกค้าชาวต่างชาติซึ่งนิยมเข้ามารักษาโรคในไทย (Medical Tourism) ปัจจุบันนครธนมีสัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติประมาณ 5% ส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่เข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ในไทย (expat) ย่านนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ชาวจีน เมียนมา ซึ่งนครธนได้จัดหาล่ามทั้งสองภาษาไว้รองรับแล้ว

และเชื่อว่าจะสามารถผลักดันสัดส่วนนี้ให้เพิ่มเป็น 10% ภายใน 5 ปี ตามการเติบโตของแหล่งอุตสาหกรรม และจะเริ่มกระตุ้นตลาดเน้นชาวเมียนมาเป็นหลัก โดยเตรียมเข้าร่วมออกบูธในงาน Health Fair ที่เมือง Yangon

<figure><img style="width: 680px; height: 375px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/82695b50ba32afe5a6453c3143a2a19e.png" alt="" width="680" height="375" /><figcaption> โรงพยาบาลนครธน</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>แผนเฟสสองเปิดหน่วย Home Health Care</h2>
นอกจากนี้ หลังจากการปรับตัวเป็นศูนย์โรคเฉพาะทางในเฟสแรกแล้ว นพ.วิโรจน์มองว่ารพ.นครธนอาจปรับในเฟสสอง นำที่ดินด้านหลังโรงพยาบาลปรับพื้นที่ใหม่เป็น Home Health Care หรือ ศูนย์การดูแลสุขภาพผู้ป่วยที่บ้าน เพื่อรองรับคนไข้ที่มีความต้องการการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ช่วยจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ความสะดวกของคนไข้ และความสะอาดของที่พักฟื้น

“ตอนนี้เรามีทีมที่ช่วยเหลือส่วนนี้อยู่แล้วในการให้คำแนะนำผู้ดูแลคนไข้ก่อนที่เขาจะกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่อนาคตจะเป็นเชิงธุรกิจมากขึ้น ซึ่งแปลว่าเราต้องมีทีมบุคลากรเพิ่มชุดใหญ่ เช่น พยาบาล เจ้าหน้าที่ รถพยาบาล เพื่อไปดูแลคนไข้ได้ถึงบ้าน” นพ.วิโรจน์กล่าวปิดท้าย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events