ส่องความมั่งคั่งเหล่าคนดังระดับโลกบนทำเนียบมหาเศรษฐี Forbes ประจำปี 2025

ความฝันของ ‘SNOOP Dogg’  ตำนานฮิปฮอปจาก California ในวัย 52 ปี

<h2>จบลงไปแล้วกับ The Eras Tour ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งใหญ่ของนักร้องสาวอัจฉริยะ Taylor Swift ที่นอกจากจะตราตรึงในความทรงจำของแฟนคลับทั่วโลก เธอยังฝากร่องรอยอิทธิพลอันแรงกล้าของตนไว้ในระบบเศรษฐกิจนานาประเทศที่ได้ไปเยี่ยมเยือน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตั้งแต่เริ่มต้นเวทีแรกเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2023 ในสหรัฐอเมริกา กระทั่งจบลงบนเวทีสุดท้ายเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมาในแคนาดา นับเป็นระยะเวลา 632 วันที่ Taylor Swift ออกเดินทางทัวร์คอนเสิร์ตใน The Eras Tour ทั้งสิ้น 149 โชว์ ใน 51 เมือง จาก 5 ทวีปทั่วโลก หากนับเฉพาะเวลาที่เธอใช้บนเวที รวมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 484 ชั่วโมง หรือเทียบเท่ากับ 20 วัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักข่าว New York Times เผยตัวเลขรายได้รวมที่บริษัทของนักร้องสาวสร้างจากทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้อยู่ที่ 2,077,618,725 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กลายเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ที่สุดตลอดกาลในปัจจุบัน โดยตัวเลขนี้ยังไม่รวมยอดขายสินค้าต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Swift ไม่เพียงสร้างประวัติศาสตร์จากการแสดงสดเท่านั้น ภาพยนตร์บันทึกการแสดง Taylor Swift: The Eras Tour ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อเดือนตุลาคม 2023 ก็กวาดรายได้รวมจากทั่วโลก 261 ล้านเหรียญ และ Forbes ก็ประเมินว่าเธอเป็นนักดนตรีคนแรกที่ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีพันล้านจากเพลงและการแสดงเป็นหลัก ในขณะที่นิตยสาร Time ก็ยกย่องให้เธอเป็น Person of the Year 2023 สะท้อนความสามารถและอิทธิพลของเธอ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/iQr8nmkq9NDsNeR3YUpk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="iQr8nmkq9NDsNeR3YUpk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> Swiftonomics เมื่อทัวร์คอนเสิร์ตสะเทือนเศรษฐกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักร้องสาววัย 35 คนนี้ยังสร้างแรงกระเพื่อมอย่างยิ่งใหญ่ต่อเศรษฐกิจของเมืองและประเทศต่างๆ ที่เป็นจุดหมายของการแสดง ซึ่งมีคำเรียกว่า Swiftnonomics โดยการไปเยือนของเธอถือเป็นการดึงดูดเหล่า Swifties (แฟนคลับของ Taylor Swift) ที่ต้องการไปชมคอนเสิร์ตเข้าสู่พื้นที่ ก่อให้เกิดการใช้จ่ายของผู้บริโภค บรรดาร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวต่างได้รับอานิสงส์จากเธอ ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาจากโควิด-19 มาหลายปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลำพังเพียงสหรัฐฯ ผลสำรวจของ Question Pro ประเมินว่า Swifties ใช้จ่ายเงินราว 5 พันล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม สมาคมท่องเที่ยวสหรัฐฯ ประเมินว่าตัวเลขอาจทะลุ 1 หมื่นล้านเหรียญหากคำนวณการใช้จ่ายทางอ้อมและแฟนๆ ที่มีส่วนร่วมแม้ไม่ได้ซื้อตั๋วชมคอนเสิร์ต อีกทั้งพฤติกรรมของแฟนๆ ที่มาชมคอนเสิร์ตนั้น ยังมีการท่องเที่ยวและเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ในเมือง สร้างกระแสรายได้แก่ธุรกิจในท้องที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คอนเสิร์ตและกิจกรรมเหล่านี้ช่วยคืนชีพให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในท้องที่รวมถึงตัวเมืองที่ยังคงดิ้นรนจากผลกระทบของโควิด-19” California Center for Jobs &amp; The Economy รายงาน และประเมินว่าคอนเสิร์ตทั้งหมด 6 คืนในลอสแอนเจลิสทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 3,300 ตำแหน่ง ส่วนเมืองพิตตส์เบิร์กซึ่งเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ต 2 คืนรายงานว่า ณ สุดสัปดาห์ที่มีการแสดง ยอดจองโรงแรมพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 สงบลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่งยุโรปที่มีการแสดง The Eras Tour รวม 51 โชว์ใน 18 เมืองก็ได้รับอานิงส์ไม่น้อยเช่นกัน ราคาโรงแรมตามเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้น ณ ช่วงเวลาที่ Swift ไปเยี่ยมเยือน สำหรับ 3 อันดับเมืองในยุโรปที่มีราคาโรงแรมเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ อันดับ 1 วอร์ซอพุ่งขึ้นถึง 154% ตามด้วยอันดับ 2 สตอกโฮล์มที่ 119% และอันดับ 3 ลิเวอร์พูล 115%​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/GPk8hBfxd6xkZ9PKSf7U.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="GPk8hBfxd6xkZ9PKSf7U.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับฝั่งเอเชีย น่าเสียดายที่ Swift กำหนดจุดหมายปลายทางเพียง 2 ประเทศเท่านั้น คือ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งแฟนๆ ชาวไทยคงได้ข่าวที่ Swift เลือกจัดคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์เมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เผยว่า เขาเจรจาให้เธอทำการแสดงที่ประเทศนี้เพียงแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงในโลกออนไลน์ กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คอนเสิร์ตของเธอนำผลประโยชน์มาสู่เศรษฐกิจของสิงคโปร์มหาศาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงเวลาตั้งแต่ก่อนเริ่มจนจบคอนเสิร์ตของ Swift ที่สิงคโปร์ Trip.com เผยว่ามียอดจองเครื่องบินเข้าประเทศเพิ่มขึ้น 186% และยอดจองที่พักเพิ่มขึ้นถึง 462% จากช่วงเวลาปกติ อีกทั้งนักเศรษฐศาสตร์ยังคาดการณ์กันว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้ช่วยเพิ่มจีดีพีประจำไตรมาสแรกของสิงคโปร์ราว 222 - 296 ล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของ Swiftonomics เท่านั้น ซึ่งแม้นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าผลกระทบนี้จะดำรงอยู่แค่ชั่วคราว ก็ต้องยอมรับว่า The Eras Tour ช่วยชุบชีวิตธุรกิจในหลายพื้นที่ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ จริง แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม แหล่งที่มา:​<a href="https://edition.cnn.com/2024/12/08/business/taylor-swift-eras-tour-economy/index.html" alt="The end of an era: How Taylor Swift boosted the US economy">The end of an era: How Taylor Swift boosted the US economy</a>​ ​<a href="https://www.euronews.com/business/2024/06/06/swiftonomics-how-taylor-swifts-tours-boost-the-economy" alt="Swiftonomics: How Taylor Swift's tours boost the economy">Swiftonomics: How Taylor Swift's tours boost the economy</a><a href="https://www.bbc.com/news/articles/czd88lxe8p2o" alt="Swift tour to boost UK spending by £1bn - report">Swift tour to boost UK spending by £1bn - report</a>​ ​<a href="https://www.theguardian.com/music/2024/dec/09/taylor-swifts-eras-tour-smashes-touring-revenue-record-with-more-than-2bn-in-ticket-sales" alt="Taylor Swift’s Eras tour smashes touring revenue record with more than $2bn in ticket sales">Taylor Swift’s Eras tour smashes touring revenue record with more than $2bn in ticket sales</a>​ ​<a href="https://www.forbes.com/sites/conormurray/2024/12/06/these-cities-reported-the-biggest-economic-boosts-from-taylor-swifts-eras-tour-as-tour-wraps-up-in-vancouver/" alt="These Cities Reported The Biggest Economic Boosts From Taylor Swift’s Eras Tour—As Tour Wraps Up In Vancouver">These Cities Reported The Biggest Economic Boosts From Taylor Swift’s Eras Tour-As Tour Wraps Up In Vancouver</a>​ ​<a href="https://theconversation.com/swiftonomics-what-we-can-learn-from-singapore-multiplying-millions-from-taylor-swifts-eras-tour-228289" alt="Swiftonomics: what we can learn from Singapore multiplying millions from Taylor Swift’s Eras tour">Swiftonomics: what we can learn from Singapore multiplying millions from Taylor Swift’s Eras tour</a>​ ​<a href="https://www.businessinsider.com/taylor-swift-eras-tour-facts-earnings-profit-2024-12" alt="Taylor Swift spent 484 hours — the equivalent of over 20 straight days — singing onstage during the Eras Tour">Taylor Swift spent 484 hours - the equivalent of over 20 straight days - singing onstage during the Eras Tour</a>​ ภาพ: AFP และ @taylorswift13 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/marketing-brilliance-of-taylor-swift" alt="เจาะลึกการตลาดฉบับ Taylor Swift">เจาะลึกการตลาดฉบับ Taylor Swift</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สิ้นสุด The Eras Tour ทัวร์คอนเสิร์ตรายได้สูงสุดตลอดกาล “Swiftonomics” คืนชีพเศรษฐกิจท่องเที่ยว

<h2>ผ่านไป 1 ปีหลังตบเท้าเข้าทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา จากกระแสตอบรับอันร้อนแรงของทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour บัดนี้ Taylor Swift ยังกลายเป็นนักดนตรีหญิงที่มั่งคั่งที่สุดในโลกอีกด้วย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes ประเมินว่าตอนนี้ นักร้องสาววัย 34 ปี มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 1.6 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 500 ล้านเหรียญเทียบกับเดือนตุลาคมปีก่อน เธอเป็นนักดนตรีคนแรกที่ร่ำรวยจนขึ้นแท่นมหาเศรษฐีพันล้านจากเพลงและการแสดงเป็นหลัก มูลค่าแค็ตตาล็อกเพลงของเธออยู่ที่ราว 600 ล้านเหรียญ การทัวร์คอนเสิร์ตและค่าลิขสิทธิ์ยังสร้างรายได้ให้เธออีก 600 ล้านเหรียญ Swift ยังครอบครองอสังหาริมทรัพย์มูลค่าราว 125 ล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Eras Tour ที่เริ่มต้นในเดือนมีนาคม 2023 และมีกำหนดการสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม 2024 คือปัจจัยหลักที่เพิ่มความมั่งคั่งให้กับ Swift โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา Forbes ประเมินว่าช่วงแรกของทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้สร้างรายได้ให้เธอกว่า 190 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ Pollstar ยังรายงานว่า Eras Tour เป็นคอนเสิร์ตแรกที่กวาดรายได้ทะลุ 1 พันล้านเหรียญ ณ เดือนธันวาคม 2023&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับนักดนตรีหญิงที่มั่งคั่งรองลงมาคือ Rihanna ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 1.4 พันล้านเหรียญ ทว่าความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเธอมาจากหุ้นในธุรกิจความงาม Fenty Beauty และ Savage X Fenty&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถัดมาคือ Madonna ราชินีเพลงป๊อป อีกหนึ่งนักร้องสายทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลกเจ้าของมูลค่าทรัพย์สิน 850 ล้านเหรียญ ณ เดือนพฤษภาคม 2024 โดยเธอสร้างรายได้กว่า 1.6 พันล้านเหรียญจากทัวร์คอนเสิร์ตทั้งหมดที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามด้วย Beyonce ผู้ครอบครองทรัพย์สินมูลค่าราว 760 ล้านเหรียญ ณ เดือนพฤษภาคม 2024 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ด้วยอานิสงส์จากทัวร์คอนเสิร์ต Renaissance World Tour ส่วนนักร้องสาวชาวแคนาเดียนขวัญใจมหาชน Celine Dion มีมูลค่าทรัพย์สิน 550 ล้านเหรียญ ส่วนใหญ่มาจากคอนเสิร์ตประจำในนครลาสเวกัสที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกคนหนึ่งคือ Barbra Streisand นักร้องและนักแสดงสาวมือรางวัลผู้ตีพิมพ์หนังสือที่ระลึกความยาวเกือบพันหน้าเมื่อปีที่ผ่านมา โดยเธอครอบครองทรัพย์สินมูลค่า 460 ล้านเหรียญ นำหน้าซูเปอร์สตาร์เพลงคันทรี Dolly Parton ที่มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 450 ล้านเหรียญไปเล็กน้อย สำหรับ Parton รายได้ส่วนใหญ่ของเธอมาจากหุ้นในสวนสนุก Dollywood ที่เธอถือครองและแค็ตตาล็อกเพลงมูลค่า 150 ล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ Katy Perry ผู้มีมูลค่าทรัพย์สินราว 350 ล้านเหรียญในปัจจุบันความมั่งคั่งของเธอมาจากการขายแค็ตตาล็อกเพลงมูลค่า 225 ล้านเหรียญในปี 2023 และการเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งเธอจะได้รับค่าตอบแทน 25 ล้านเหรียญต่อหนึ่งซีซัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ นอกเหนือจากการเป็นศิลปินดาวเด่นผู้มั่งคั่งแล้ว พวกเธอทั้งหมดที่กล่าวมานี้ยังก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีด้วยตัวของพวกเธอเอง และหลายคนก็ปรากฏชื่อบนทำเนียบมหาเศรษฐีนีผู้สร้างฐานะด้วยตัวเองแห่งสหรัฐอเมริกาของ Forbes ย้ำความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อความสำเร็จของพวกเธอ แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/conormurray/2024/10/08/taylor-swift-becomes-worlds-richest-female-musician-heres-who-is-right-behind-her/" alt="Taylor Swift Becomes World's Richest Female Musician: Here's Who Is Right Behind Her">Taylor Swift Becomes World's Richest Female Musician: Here's Who Is Right Behind Her</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/america/world/bill-gates-would-set-62-percent-tax-for-billionaires" alt="Bill Gates เผยมหาเศรษฐีควร ‘ตอบแทนสังคม’ และ ‘จ่ายภาษี’ แนะควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62%">Bill Gates เผยมหาเศรษฐีควร ‘ตอบแทนสังคม’ และ ‘จ่ายภาษี’ แนะควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สวยและรวยมาก! Taylor Swift ขึ้นแท่นนักดนตรีหญิงมั่งคั่งที่สุดในโลก 

<h2>สุดยอดศิลปินแร็ปจาก Memphis ผู้นี้บริหารหนึ่งในค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุด ถือหุ้นบางส่วนในทีมในลีก MLS และกำลังมองหาโอกาสในการขยายอาณาจักรธุรกิจตามรอยบุคคลต้นแบบระดับเศรษฐีพันล้านอย่าง Jay-Z หากแต่ก้าวแรกของเขาคือ การลงทะเบียนเรียนในสถาบันสอนการบริหารธุรกิจ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Yo Gotti วัย 42 ปี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Collective Music Group (CMG) กำลังผ่อนคลายในแมนชั่นสไตล์ทัสคานีขนาด 10,000 ตารางฟุตใน Westlake Village, California ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของ Malibu ของเขา “ของบางอย่างเป็นเครื่องยืนยันถึงการทำงานหนัก” Gotti พูดพร้อมกับมองดูสระว่ายน้ำไร้ขอบพร้อมกับทิวทัศน์อันงดงามของพระอาทิตย์ตกดินใน L.A. “และนี่คือหนึ่งในนั้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gotti ทำงานมานานหลายทศวรรษโดยถือกำเนิดจากแวดวงศิลปินเพลงแร็ปใน Memphis ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และโด่งดังจาก The Art of the Hustle อัลบั้มที่ปล่อยในปี 2016 ซึ่งติดอันดับ 4 ในชาร์ต Billboard 200 และซิงเกิ้ลเพลง Down in the DM ซึ่งเป็นเพลงประกอบโฆษณาเว็บพนันสายกีฬาอย่าง FanDuel&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บนเส้นทางอาชีพ ในปี 2012 Gotti สร้างค่ายเพลง Cocaine Muzik Group ขึ้นโดยส่วนใหญ่นำเสนอศิลปินฮิปฮอปจาก Tennessee ซึ่งรวมถึง Blac Youngsta และ Moneybagg Yo ไม่กี่ปีต่อมา Gotti ได้พบกับ Curtis “50 Cent” Jackson ซึ่งแนะนำให้ตัดคำว่า cocaine ออกไปจากชื่อบริษัท CMG และรีแบรนด์ชื่อค่ายเป็นชื่อใหม่ที่ฟังดูเหมาะกับการทำธุรกิจมากกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากคุณรู้จัก 50 Cent เขาจะให้ข้อมูลกับคุณอย่างเต็มอกเต็มใจถ้าหากเขาชอบพอกับคุณ” Gotti กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่เป็นการไต่เต้าอย่างยาวนานในธุรกิจสายดนตรีของเขา และ Gotti เฉลิมฉลองด้วยเครื่องประดับซึ่งจะบ่งบอกถึงความสำเร็จ Gotti เป็นเจ้าของคอลเล็กชั่นนาฬิกาอันน่าประทับใจซึ่งตัวเขาอ้างว่ามีมูลค่าประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีเรือนเวลาทรงคุณค่าอย่าง Patek Philippe, Rolex และ Vacheron Constantin&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของรถหรูหลายคันอย่างรถบรรทุกหุ้มเกราะ Hummer, รถยนต์ Rolls-Royce Cullinan สีเขียวมะนาวปี 2023 และรถ Tesla Model S ที่เป็นของขวัญจาก Angela Simmons แฟนสาวซึ่งเป็นลูกสาวของตำนานศิลปินเพลงแร็ปอย่าง Joseph “Rev. Run” Simmons อย่าง Run-DMC&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากการบริหารค่ายเพลง CMG แล้ว Gotti ยังถือหุ้นส่วนน้อยในทีมในลีก MLS อย่าง D.C. United และเป็นเจ้าของร้านอาหาร Prive ใน Memphis จากที่กล่าวมาทั้งหมด Forbes ประมาณการว่า Gotti มีทรัพย์สินราว 100 ล้านเหรียญ หากแต่เขายังมีกลยุทธ์อื่นเหลืออยู่อีกมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ถ้าหากว่าผมไม่แต่งเพลงแร็ปอีกเลยผมก็ยังมีความมั่นคงทางการเงิน ผมได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อสิ่งนี้ตลอดเส้นทางสายอาชีพของผม” Gotti กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดแล้ว Gotti ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในที่ปรึกษาของเขา ผู้เป็นศิลปินฮิปฮอปในตำนานระดับเศรษฐีพันล้านอย่าง Shawn “Jay-Z” Carter ได้ลงเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจที่ Anderson School of Management ของ UCLA เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยเน้นเรียนทางด้านการประเมินมูลค่าธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมอาจจะอยากซื้อบริษัทใหม่หรือเข้าซื้อกิจการบริษัทอีกแห่งหนึ่ง ดังนั้น ผมอยากมั่นใจว่าผมเอาอยู่ และตัวผมเองเข้าใจภาษาและศัพท์แสงต่างๆ มากกว่าแค่รับฟังข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเท่านั้น” Gotti ผู้ไม่สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jay-Z ให้สัมภาษณ์กับ Forbes ว่า “ความสามารถทางธุรกิจของ Gotti เป็นที่ประจักษ์ในทุกก้าวย่าง เขาทลายกรอบนิยามอันคร่ำครึของคำว่าผู้บริหาร”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การประเมินมูลค่าธุรกิจเป็นสิ่งที่ Gotti ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ เพราะทุกวันนี้กลุ่มนักลงทุนยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อแลกกับแคตาล็อกเพลงของศิลปินดัง ข้อมูลจาก PitchBook ระบุว่า Bob Dylan ขายแคตาล็อกเพลงของตนเองไปที่สนนราคา 400 ล้านเหรียญในปี 2020 และในปีต่อมา Bruce Springsteen ก็ขายแคตาล็อกเพลงของเขาด้วยราคา 550 ล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บรรดาศิลปินรุ่นใหม่ก็ทำเงินจากเพลงของตนเองด้วยเช่นเดียวกัน ปีที่ผ่านมา Katy Perry และ Justin Bieber ต่างก็ขายสิทธิ์ในเพลงของตนเองในราคาสูงกว่า 200 ล้านเหรียญ ข้อเสนอทางธุรกิจรูปแบบเดียวกันจะล่อใจ Gotti ได้หรือไม่? ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/forbes-life-people/marisa-chearavanont-life-journey-through-arts" alt="มาริษา เจียรวนนท์ มอง Life Journey ผ่านโลกศิลปะ">มาริษา เจียรวนนท์ มอง Life Journey ผ่านโลกศิลปะ</a>​ ​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/5a9d7700-b8a3-44da-8f71-dc089d9916d2" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/R8MfG78G1DDN61cDbP7t.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="R8MfG78G1DDN61cDbP7t.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="320,420" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></figure></div>

Yo Gotti นักธุรกิจฮอตในคราบฮิปฮอป

<h2>Benito Antonio Martinez Ocasio หรือ ศิลปินหนุ่มชาวละตินที่หลายๆ คนรู้จักในนาม 'Bad Bunny' เขารู้จักวิธีใช้พลังแห่งการสตรีมเพลงและโซเชียลมีเดียอย่างเชี่ยวชาญเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่ดังที่สุดในโลก และตอนนี้กระต่ายแสนซนกำลังใช้อิทธิพลระดับโลกสร้างอาณาจักรของตัวเองในวงการบันเทิง แฟชั่น และกีฬา </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ เวลา 23.30 น. ของวันที่ 12 ตุลาคม ปี 2023 ณ สนามกีฬา Jose Miguel Agrelot Coliseum ในเมือง San Juan ประเทศเปอร์โตริโกเต็มไปด้วยผู้คน แฟนพันธุ์แท้ของ Bad Bunny กว่า 16,000 คนมารวมตัวกันเพื่อเป็นคนกลุ่มแรกในโลกที่ได้ฟังเพลงอัลบั้มใหม่ของฮีโร่จากบ้านเกิดตัวเองซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเพลงแบบไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bad Bunny หรือชื่อตามใบเกิดว่า Benito Antonio Martinez Ocasio เป็นศิลปินผู้ชอบท้าทายขีดจำกัด เขามี 4 สตูดิโออัลบั้มที่มีทั้งแนวฮิปฮอป เร็กเก้ ละตินป็อป เปอร์โตริกันแทร็ป และเม็กซิกันคันทรี่ “ผมซึมซับดนตรีซัลซ่ามาจากฝั่งพ่อเยอะมาก แล้วก็บัลลาดกับมาเรงเก้จากฝั่งแม่ และด้วยความเป็นเด็กยุค 90 ก็จะอินกับเร็กเก้กับแร็ปด้วย” Bad Bunny เล่าขณะให้สัมภาษณ์ด้วยภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาแม่ของเขา “มีศิลปินจากหลายแนวเพลง หลายประเทศ และหลายยุคที่ไหลเวียนอยู่ในตัวผม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเกี่ยวกับ Bad Bunny วัย 29 ปีผู้นี้ก็คือ ไม่ว่าเขาจะสร้างสรรค์อะไรมันก็จะฮิตไปทั่วโลก ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ศิลปินที่ติดทำเนียบ 30 Under 30 ของ Forbes ประจำปี 2019 ผู้นี้กลายเป็นศิลปินที่มียอดสตรีมมากที่สุดของ Spotify โดยมียอดเข้าฟัง 3.59 หมื่นล้านครั้ง ส่วนช่อง YouTube ของเขามีผู้เข้าชมกว่า 3.2 หมื่นล้านครั้ง มากกว่า Justin Bieber, Ed Sheeran หรือแม้แต่ Taylor Swift เสียอีก และยังคว้ารางวัลแกรมมี่มา 3 รางวัลและละตินแกรมมี่อีก 11 รางวัลด้วย ในเดือนเมษายนปี 2023 เขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินละตินคนแรกที่ได้เป็นศิลปินหลักในเทศกาลดนตรี Coachella และทุกสถิติที่กล่าวมาเกิดจากการร้องเพลงภาษาสเปนเพียงอย่างเดียว “ภาษาสเปนคือส่วนหนึ่งของผม มันอยู่ใน DNA ของผม” เขาบอก “ผมชอบพูดสเปนไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ใช่จะยัดเยียดนะ แต่มันคือสิ่งที่ผมเป็น” และมันก็สร้างความมั่งคั่งให้เขา&nbsp;&nbsp; &nbsp; ในปี 2022 Bad Bunny มีรายได้ประมาณ 88 ล้านเหรียญ (ก่อนหักภาษี) จากการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก การสตรีมนับพันล้านครั้ง และสัญญากับแบรนด์ดังๆ อย่าง Adidas และ Corona รายรับทั้งหมดนั้นสูงพอที่จะเปิดตัวด้วยอันดับที่ 10 ในทำเนียบผู้ให้ความบันเทิงที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุด (Highest-Paid Entertainers) ของ Forbes&nbsp;“ผมไม่ได้ดูแค่ตัวเงินอย่างเดียว” เขาพูดถึงวิธีเลือกผู้ร่วมงาน “มันขึ้นอยู่กับว่าผมชอบแบรนด์นั้นขนาดไหน และพวกเขาเคารพในความคิดสร้างสรรค์ของผมแค่ไหน” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/X6VKkxFUdwRSGhrfdQxQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="X6VKkxFUdwRSGhrfdQxQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bad Bunny เป็นต้นแบบของป็อปไอดอลยุคใหม่ เขาเป็นศิลปินระดับโลกอย่างแท้จริงที่ใช้ประโยชน์จากบริการสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดียที่กว้างขวางเพื่อเผยแพร่เพลงที่ครั้งหนึ่งเคยดังแค่ระดับภูมิภาคไปยังผู้ฟังหลายพันล้านคน “เขารู้ดีกว่าใครว่าวัฒนธรรมแบบไหนกำลังมา” Jeremy Erlich หัวหน้าฝ่ายดนตรีของ Spotify กล่าว “ตอนนี้เขาคือผู้กำหนดทิศทางของมัน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสตรีมทำให้โลกเล็กลง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพลงละตินถูกสตรีมบน Spotify เพิ่มขึ้นถึง 170% และถ้ารวมสไตล์อื่นๆ ด้วย เช่น แอฟโฟรบีทสไตล์แอฟริกาตะวันตกและเคป็อปก็สามารถดึงดูดผู้ฟังใหม่ๆ ได้หลายร้อยล้านคน นั่นเป็นเพราะบรรดามีมที่เป็นไวรัลบน Instagram และ TikTok และผู้ให้บริการสตรีมมิ่งอย่าง Spotify, Pandora และ Apple Music ซึ่ง Erlich จาก Spotify บอกว่า "อิทธิพลของเพลงภาษาอังกฤษในอดีตกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bad Bunny ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่เรื่องดนตรี เมื่อต้นปีเขาปรากฏตัวในภาพยนตร์ของ Amazon Prime เรื่อง Cassandro และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเขาควบ 2 หน้าที่ ทั้งเป็นพิธีกรและขึ้นแสดงดนตรีใน Saturday Night Live ส่วน Bad Bunny เวอร์ชั่นดิจิทัลจะเป็นนักสู้จอมทุ่มจากวิดีโอเกมมวยปล้ำชื่อดัง WWE 2k23 เขาทำทั้งหมดนี้ในหนึ่งปีซึ่งเจ้าตัวก็ออกมาประกาศพักงานแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยความสนใจที่หลากหลายทำให้เขาโดดจากเวทีมวยปล้ำ WWE ไปสู่แฟชั่นชั้นสูงของอิตาลีได้อย่างง่ายดาย ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาเขาปรากฏตัวในโฆษณาของ Gucci โปรโมตกระเป๋าเดินทางระดับไฮเอนด์รุ่น Savoy ร่วมกับซูเปอร์โมเดลและเพื่อนร่วมทำเนียบ 30 Under 30 ที่ดังสุดๆ อย่าง Kendall Jenner เมื่อก่อนเขาเคยร่วมงานกับ Crocs บริษัทรองเท้าที่ทำจากยางโดยออกสินค้ารองเท้าเรืองแสงในปี 2020 ซึ่งขายหมดอย่างรวดเร็ว และล่าสุดที่เพิ่งขายหมดไปคือรองเท้าเทรนเนอร์รุ่น “Paso Fino” มูลค่า 160 เหรียญที่ทำร่วมกับ Adidas&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นั่นคือรองเท้าผ้าใบคู่ที่ 14 ที่ Bad Bunny ทำกับบริษัทชุดกีฬาสัญชาติเยอรมันเจ้านี้ แบรนด์รองเท้าอื่นๆ ก็มาหาเขาเหมือนกัน แต่มีเพียง Adidas เท่านั้นที่ยอมให้เขามาดูแลงานฝ่ายศิลป์ด้วย “เขาสร้างแรงบันดาลใจให้คนมากมาย ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่ทั่วโลก” Torben Schumacher ผู้จัดการทั่วไประดับโลกของ Adidas Originals กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนที่เขาจะมาเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก Bad Bunny เป็นเพียง Benito นักศึกษานิเทศศาสตร์สาขาสื่อโสตทัศน์ที่ University of Puerto Rico ในเมือง Arecibo ตอนที่เขาไม่มีคาบเรียนเขาไปเป็นพนักงานแพ็กของที่ร้าน Econo และทำเพลงแนวละตินแทร็ปซึ่งเขาจะอัปโหลดขึ้น SoundCloud&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปี 2016 เมื่อซิงเกิลเพลงแทร็ป “Soy Peor” (“I'm Worse”) ได้ทำให้ Bad Bunny เป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นหู ชื่อเสียงถาโถมมาหาเขาตอนที่ปล่อยเพลง “Diles Remix” ในปีเดียวกัน ในปี 2018 เขาได้ร่วมงานกับศิลปินเบอร์ต้นๆ ของวงการเพลง เช่น Drake, Cardi B และ J Balvin และไม่กี่สัปดาห์ก่อนการล็อคดาวน์จากโควิด-19 เขาได้ร่วมแสดงช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ร่วมกับ Shakira และ Jennifer Lopez ในปี 2020 ขณะกักตัวที่ Miami เขาได้ไลฟ์สดบน Instagram ซึ่งเขามีผู้ติดตาม 46.8 ล้านคน และออกอัลบั้ม Las que no Iban a Salir (The Unreleased) ที่มีศิลปินหลายรายร่วมแจม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมอยู่ได้ด้วยดนตรี” เขาบอก แต่เขาจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขายังมีงานอื่นๆ ที่ขออุบไว้ก่อน ทั้งงานที่ทำกับแบรนด์ต่างๆ งานแสดง และในอนาคตก็จะออกแบรนด์แฟชั่นของตัวเองด้วย ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยลืมเปอร์โตริโก&nbsp;เกาะบ้านเกิดอันเป็นหัวใจของภาพลักษณ์ของตัวเขาและธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Bad Bunny จะมีอิทธิพลอยู่ในวงการเพลงได้อีกหลายสิบปีเหมือน Madonna หรือ Prince หรือไม่นั้นก็คงต้องรอดูกันต่อไป แต่อย่าคาดหวังว่าจะเห็นเขาพักผ่อนริมสระน้ำในคฤหาสน์ของเขาได้นานนัก เขารู้สึกว่าเขามีพันธกิจต่อแฟนๆ นับล้านทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ “เพราะชื่อเสียงเป็นตัวผลักดันให้ผมทำงานต่อไป”&nbsp;” เขากล่าว​ เรื่อง: Maria Gracia Santillana Linares เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพ: Tim Tadder&nbsp; ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/veja-famous-french-brand-sneaker-focos-on-sustainability-more-than-profit" alt="VEJA 'รองเท้าผ้าใบรักษ์โลก' แบรนด์ฝรั่งเศส เน้นความยั่งยืน ไม่พึ่งโฆษณา">VEJA 'รองเท้าผ้าใบรักษ์โลก' แบรนด์ฝรั่งเศส เน้นความยั่งยืน ไม่พึ่งโฆษณา</a>​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/cff663cb-f69a-4970-8286-59647d2b2c12" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a> <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"></figure></div>

'Bad Bunny' กระต่ายแสนซน ผู้ทรงอิทธิพลในวงการเพลง

<h2>ด้วยทัวร์คอนเสิร์ตทุบสถิติ ความสามารถในการสั่นคลอนเศรษฐกิจ และมูลค่าความมั่งคั่ง 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซูเปอร์สตาร์วัย 33 ปีผู้นี้จึงผงาดอย่างสง่างามบนทำเนียบสตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2023</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“พวกคุณทำให้ฉันรู้สึกยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ” Taylor Swift มักเอ่ยประโยคนี้กับแฟนๆ ในทุกๆ เวทีคอนเสิร์ต Eras Tour ที่ตั๋วหมดเกลี้ยง ก่อนเริ่มแสดงเพลงชาติเฟมินิสต์อย่าง The Man&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางเสียงร้องชื่นชม นักร้องสาววัย 33 ปีผู้นี้จะยกแขนขึ้นและก้มลงจูบกล้ามของตัวเอง เรียกเสียงเชียร์อย่างบ้าคลั่งจากบรรดาผู้ชม “พวกคุณทำให้ฉันรู้สึก” เธอกล่าวยามคลี่ยิ้มกว้าง “ทรงพลัง”&nbsp; &nbsp;&nbsp;แม้ดูเป็นการแสดงที่ออกจะเวอร์วังไปสักหน่อย แต่ชาวสวิฟตี้ต่างเข้าใจดีว่าขุมพลังของ Taylor Swift คือตัวเธอเอง และเป็นเช่นนี้เสมอมา ตลอด 17 ปีในฐานะนักร้อง วันนี้คือวันที่เธอทรงอิทธิพลยิ่งทั้งด้านเศรฐกิจ วัฒนธรรม ไปจนกระทั่งการเมือง พาให้เธอทะยานจากอันดับ 79 บนทำเนียบสตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2022 สู่อันดับ 5 ในปีนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/H2Hpbk31UV29TvK774fP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="H2Hpbk31UV29TvK774fP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;ต้องขอบคุณความสำเร็จถล่มทลายของ Eras Tour ที่ทำให้ Swift กลายเป็นมหาเศรษฐีนีพันล้านในเดือนตุลาคม โดยเป็นหนึ่งในศิลปินจำนวนเพียงสิบรายที่ได้รับเกียรตินี้ ตามหลัง Jay-Z (มูลค่าทรัพย์สิน 2.5 พันล้านเหรียญ) และ Rihanna (1.4 พันล้านเหรียญ)&nbsp; &nbsp;&nbsp;คอนเสิร์ตยาวสามชั่วโมงครึ่งสะท้อนความเป็นศิลปินมืออาชีพของเธอ กวาดรายได้เกือบ 850 ล้านเหรียญจากทุกรอบการแสดงในสหรัฐฯ ทัวร์คอนเสิร์ตช่วงแรกนี้เพิ่มมูลค่าทรัพย์สินแก่ Swift ราว 190 ล้านเหรียญหลังหักภาษีแล้ว ทำให้เธอมีความมั่งคั่งสุทธิที่ 1.1 พันล้านเหรียญ สำหรับปีถัดไป เธอจะเดินหน้าขึ้นเวทีที่ยุโรปและเอเชียต่อ&nbsp; &nbsp;&nbsp;อิทธิพลของเธอทรงพลังมากเสียจนส่งผลกระทบด้านการเงินในวงกว้างและเกิดนิยามใหม่ว่า Taylor Swift Effect การแสดงในเดนเวอร์เพียงสองคืนเติมจีดีพีแก่รัฐโคโลราโด 140 ล้านเหรียญ ต้องขอบคุณแฟนคลับที่จ่ายเงินกันคนละราว 1,300 เหรียญเป็นค่าโรงแรม ร้านอาหาร และชอปปิ้ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;ธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟียยังกล่าวถึง Swift ในรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจเมื่อเดือนมิถุนายน ชี้ว่าในเดือนพฤษภาคมอันเป็นเดือนที่นักร้องสาวดาวเด่นมาขึ้นแสดงคอนเสิร์ตที่ Lincoln Financial Field ในฟิลาเดลเฟีย 3 คืน นับเป็นช่วงเวลาที่โรงแรมต่างๆ ในเมืองมีรายได้สูงสุดตั้งแต่ก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด​&nbsp; &nbsp; สมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐฯ ประเมินว่า โดยรวมแล้ว รอบการแสดง Eras Tour ที่จัดขึ้นภายในประเทศจะอัดฉีดเงินกว่า 5 พันล้านเหรียญแก่เศรษฐกิจของรัฐต่างๆ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/QXX7ZjAdbvakQAjBEYTz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="QXX7ZjAdbvakQAjBEYTz.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp;&nbsp;“เธอเป็นเหมือนกับบริษัทขนาดใหญ่ มีบทบาทสำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนหลายภาคส่วน” Carolyn Sloan นักเศรษฐศาสตร์แรงงานและศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกกล่าว “นานแล้วที่ผู้ชมของเธอมีอายุน้อยและเป็นผู้หญิงจนทุกคนอาจประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่ำเกินไป ฉันไม่คิดว่าวันนี้จะมีใครนึกกังขาอีกแล้ว”&nbsp; &nbsp;&nbsp;ผู้ชมเพศหญิงอายุน้อยทรงอิทธิพลเหล่านี้ยังตามไปดันยอดขายตั๋วชมภาพยนตร์ของ Swift ในปีนี้ด้วยเช่นกัน เป็นอีกครั้งที่เธอฉายแววความเป็นนักธุรกิจในการปล่อยภาพยนตร์บันทึกคอนเสิร์ต The Eras Tour กับทางโรงภาพยนตร์ AMC โดยตรงไม่ผ่านสตูดิโอใน Hollywood แม้เธอจะไม่มีทีมการตลาดแบบดั้งเดิมคอยสนับสนุนก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไร ตัวเธอก็คือพลังแห่งการตลาดอันเหนือชั้นอยู่แล้ว&nbsp; &nbsp;&nbsp;Stacy Jones ผู้ก่อตั้งเอเจนซีด้านการตลาด Hollywood Branded ประเมินว่านักร้องสาวผู้นี้สร้างมูลค่าการตลาดจากการถูกพูดถึงบนโซเชียล (Earned Media) มากกว่า 1.3 แสนล้านเหรียญตลอดสองปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ถึงการคาดคะเนมูลค่าของสื่อแบบฟรีจะค่อนข้างดูเป็นการมโนก็ตาม&nbsp; &nbsp;&nbsp;คำพูดแบบปากต่อปากและการปรากฏตัวอย่างมีชั้นเชิงในการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลของทีม Kansas City Chiefs นั้นชัดเจนเกินพอที่จะเรียกให้แฟนๆ ต้องยอมเสียเงินซื้อตั๋ว ซึ่งภาพยนตร์ของ Swift ก็ทำรายได้ 93 ล้านเหรียญในสัปดาห์เปิดตัว และกวาดรายได้กว่า 250 ล้านเหรียญทั่วโลก&nbsp; &nbsp;&nbsp;เช่นเดียวกับทัวร์และภาพยนตร์คอนเสิร์ต อิทธิพลส่วนมากของ Swift กำเนิดจากอำนาจควบคุมธุรกิจโดยตรงของเธอเอง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 440px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/eXZwr5N7wE78YYoLWhmS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="440px,440px" data-align="center" data-file-name="eXZwr5N7wE78YYoLWhmS.jpg" data-file-size="0" origin-size="440,440" data-origin="440px,440px" style="width: 440px; height: 440px;" data-index="2"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp;&nbsp;การทวงคืนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเพลงโดยการอัดอัลบั้มใหม่นั้นถือว่าน่าประทับใจและสร้างกำไรอย่างงดงาม หลังผลงานเหล่านั้นถูกนำไปขายด้วยมูลค่า 300 ล้านเหรียญซึ่งเธอไม่ได้รับผลประโยชน์ด้วย​&nbsp; &nbsp; ตอนนี้เธออัดและปล่อยผลงานเก่าของตนออกมา 4 อัลบั้มแล้ว (จากทั้งหมด 6 อัลบั้ม) ล่าสุดคือ 1989 (Taylor’s Version) ที่สร้างสถิติศิลปินที่มีการสตรีมเพลงมากที่สุดในวันเดียวบน Spotify ณ วันที่ปล่อยออกมาช่วงปลายเดือนตุลาคม&nbsp; &nbsp;&nbsp;หากลองพิจารณาว่า Katy Perry และ Justin Bieber ขายลิขสิทธิ์เพลงของตนเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญในปี 2023 นี้แล้ว มูลค่าเพลงของ Swift มีแต่จะเติมความมั่งคั่งให้เธอในช่วงเวลานับจากนี้&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Swift ยังไม่ใช่สตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ตำแหน่งนั้นเป็นของประธานกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen เจ้าของนโยบายและการตัดสินใจด้านงบประมาณที่ส่งผลต่อชาวยุโรป 450 ล้านคน ตัวเลขนี้จะทะลุ 500 ล้านในไม่ช้า&nbsp;ในการแถลงนโยบายประจำปีเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา von der Leyen กล่าวย้ำว่า เธอตั้งใจจะรับยูเครนและประเทศอื่นๆ ทางตะวันตกของบอลข่านเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ&nbsp; &nbsp;&nbsp;ส่วนสตรีทรงอิทธิพลอันดับ 2 ประจำปีนี้คือ Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป ผู้ก่อร่างสร้างนโยบายทางการเงินของยุโรป ณ ช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง อีกสองคนที่มีอันดับเหนือ Swift คือรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ Kamala Harris (อันดับ 3) และนายกรัฐมนตรีอิตาลี Giorgi Meloni (อันดับ 4)&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งสองต่างเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับตำแหน่งที่กำลังถือครองอยู่ โดย Meloni ได้ใช้อิทธิพลของตนเสนอการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของอิตาลีเพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้โดยตรง จากเดิมที่ต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา&nbsp; &nbsp;&nbsp;“สตรีที่มีอำนาจทางการเมือง (Hard Power) เหล่านั้นคือสตรีทรงอิทธิพลโดยแท้จริง” Stacey Jones ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์อธิบาย “แต่พวกเธอก็ไม่สามารถเปลี่ยนโลกไปในทิศทางเดียวกับที่ Taylor Swift ทำได้”&nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับ Taylor Swift เธอคือสตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอันดับ 5 จากการจัดอันดับของ Forbes ในปีนี้ และล่าสุดนิตยสาร Time ได้ยกย่องให้เธอเป็นบุคคลแห่งปี 2023 พิสูจน์ให้เห็นว่าอำนาจทางวัฒนธรรม (Soft Power) ก็ทรงพลังมากพอจะสะเทือนโลกในด้านต่างๆ ด้วยเช่นกัน แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/maggiemcgrath/2023/12/05/taylor-swifts-power-era-why-the-billionaire-pop-star-is-one-of-the-worlds-most-powerful-women/?sh=15c6b1e75c14" alt="Taylor Swift’s Power Era: Why The Billionaire Pop Star Is One Of The World’s Most Powerful Women">Taylor Swift’s Power Era: Why The Billionaire Pop Star Is One Of The World’s Most Powerful Women</a>​ อ้างอิงเพิ่มเติม&nbsp;<a href="https://time.com/6342806/person-of-the-year-2023-taylor-swift/" alt="2023 Person of the Year Taylor Swift">2023 Person of the Year Taylor Swift</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/world-most-powerful-women-2023" alt="10 อันดับ สตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2023">10 อันดับ สตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2023</a> ​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

Taylor Swift ป๊อปสตาร์ มหาเศรษฐีนี และสตรีทรงอิทธิพลของโลก

10 อันดับ สตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2023

<h2>จากการขายลิขสิทธิ์มูลค่า 225 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นักร้องสาวดาวเด่นมีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างงดงามควรค่าแก่การจุดพลุฉลอง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักร้องสาว Katy Perry ขายลิขสิทธิ์เพลงของเธอแก่ Litmus Music บริษัทจัดการลิขสิทธิ์เพลงที่มีผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่าง Carlyle เมื่อวันจันทร์ที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา พามูลค่าทรัพย์สินของเธอเพิ่มขึ้นสู่ 340 ล้านเหรียญ ส่งให้เธอกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐีหญิงผู้ร่ำรวยด้วยตัวเองของสหรัฐอเมริกา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Katy Perry ขายหุ้นของเธอที่มีในสิทธิ์การครอบครองบันทึกเพลง (Master Recording) และเผยแพร่ 5 อัลบั้มที่เธอปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 2008 ถึงปี 2020 ได้แก่ One Of The Boys, Teenage Dream, PRISM, Witness และ Smile อ้างอิงข้อมูลจาก Billboard และ Variety ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/8d24huhbmymLvjc7yufW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="8d24huhbmymLvjc7yufW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="2201,566" style="" data-index="0"></figure></div>อัลบั้มทั้ง 5 ของ Katy Perry &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Litmus ก่อตั้งในเดือนสิงหาคมปี 2022 โดยสองนักธุรกิจใหญ่วงการเพลง Hank Forsyth และ Dan McCarroll ด้วยเงินมูลค่า 500 ล้านเหรียญจาก Carlyle Group พวกเราไม่รีรอจะซื้อลิขสิทธิ์เพลงต่างๆ มาครอบครอง หลังจากนั้น Litmus ก็ซื้อลิขสิทธิ์จากนักร้องคันทรี Keith Urban เป็นรายแรก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเร็วๆ นี้ในเดือนมิถุนายน 2023 โปรดิวเซอร์เพลง Benny Bianco ก็ขายลิขสิทธิ์เพลงดังให้แก่ Litmus ด้วยเช่นกัน โดยเพลงเหล่านี้มีทั้งของ Rihanna, Justin Bieber และ Camila Cabello&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทว่าตัวแทนของ Litmus ปฏิเสธจะให้ข้อมูลเรื่องการขายลิขสิทธิ์ของ Katy Perry แก่ Forbes&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกรรมครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในการขายของวงการเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 2023 โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาแร็ปเปอร์ Dr. Dre ก็ขายลิขสิทธิ์บางส่วนจากอัลบั้มเดี่ยว งานที่ทำร่วมกับ NWA และแหล่งรายได้จากเพลงอื่นๆ อีกกว่า 200 ล้านเหรียญ ส่วน Justin Bieber ก็ขายสิทธิ์การเผยแพร่และลิขสิทธิ์บันทึกเพลงในเดือนเดียวกันด้วยมูลค่าเท่ากัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Katy Perry วัย 38 ปีไม่ได้อยู่บนทำเนียบมหาเศรษฐีนีผู้สร้างฐานะด้วยตัวเองแห่งสหรัฐอเมริกาประจำปี 2023 ของ Forbes ซึ่งปล่อยออกมาในเดือนมิถุนายน แต่เธอจะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงปีหน้าอย่างแน่นอน โดยตอนจัดทำอันดับประจำปีนี้ Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเธอต่ำกว่า 200 ล้านเหรียญ อ้างอิงรายได้ของเธอจากทัวร์คอนเสิร์ต บันทึกเพลง และบทบาทการเป็นกรรมการในรายการ American Idol (อันดับต่ำสุดในทำเนียบปี 2023 คือ 225 ล้านเหรียญ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทว่าด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเธอที่เพิ่มขึ้น เราอาจได้เห็นเธอเข้าร่วมทำเนียบเคียงข้างนักร้องสาวชื่อดังผู้มั่งคั่งคนอื่นๆ เช่น Rihanna, Taylor Swift, Madonna, Beyonce, Celine Dion, Dolly Parton และ Barbra Streisand&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่งตัวแทนของ Katy Perry ไม่ได้ตอบรับคำขอให้แสดงความคิดเห็นของ Forbes &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Katy Perry ก้าวเข้ามามีบทบาทในวงการเพลงเมื่อปี 2008 ด้วยซิงเกิลเปิดตัว “I Kissed A Girl” ซึ่งขยับสู่อันดับ 1 บน Hot 100 ของ Billboard เป็นเวลานานถึงเจ็ดสัปดาห์ เพลงดังอีกแปดเพลงของนักร้องสาวก็คว้าอันดับหนึ่งบนชาร์ตด้วยเช่นกัน ทั้ง “California Gurls”, “E.T” และ “Firework” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2015 เธอได้ปรากฏตัวบนปก Forbes ในฐานะคนบันเทิงที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับสามประจำปีนั้น โดยกวาดรายได้ 135 ล้านเหรียญก่อนหักภาษี ปีนั้นเธอสร้างรายได้มากกว่า Taylor Swift, Rihanna และ Miley Cyrus รวมกันเสียอีก ทั้งยังได้ขึ้นแสดงช่วงพักครึ่ง Super Bowl อีกด้วย ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/CZEvo52DzzNCMVME8zDY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="CZEvo52DzzNCMVME8zDY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1080,1080" style="" data-index="1"></figure></div>Katy Perry บนปก Forbes ปี 2015 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ฉันภูมิใจกับตำแหน่งบอสค่ะ ในฐานะคนที่ดูแลกิจการของตัวเอง” Katy Perry บอกกับ Forbes ในตอนนั้น “ฉันเป็นผู้ประกอบการ...ฉันไม่อยากหลบเลี่ยงจากความจริงข้อนี้ ที่จริงฉันอยากมั่นใจว่าจะควบคุมทุกอย่างได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2019 Forbes จัดให้เธอเป็นนักดนตรีที่ทำรายได้สูงสุดอันดับเก้าแห่งทศวรรษ ด้วยรายได้รวมประมาณ 530 ล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความมั่งคั่งของเธอส่วนใหญ่เป็นเงินสดจากงานเพลงและทัวร์คอนเสิร์ต เมื่อปี 2018 เธอเข้าร่วมเป็นกรรมการเรียลลิตี้โชว์ American Idol อันโด่งดัง มีรายงานว่าเธอทำเงินได้ 25 ล้านเหรียญจากรายการนี้ โดยเธอจะกลับไปเข้าร่วมรายการเป็นครั้งที่เจ็ดในปี 2024&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ฉันภูมิใจจริงๆ ที่ทำเงินได้มากในฐานะผู้หญิง” Katy Perry เผยเกี่ยวกับรายได้ของตัวเอง “คุณรู้ไหมว่าทำไม? เพราะฉันทำเงินได้มากกว่าผู้ชายที่เคยออกรายการนั้นเยอะเลยล่ะ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตั้งแต่ปี 2021 นักร้องสาวผู้นี้มีการแสดง 32 รายการที่ Resort Worlds ในลาสเวกัสซึ่งจะจบลงในเดือนพฤศจิกายนนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านชีวิตรักเธอแต่งงานกับนักแสดงหนุ่ม Orlando Bloom ส่วนด้านธุรกิจเธอมีแบรนด์รองเท้าของตัวเองนาม Katy Perry Collections กับอีกหนึ่งแบรนด์เครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ De Soi&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการขายลิขสิทธิ์เพลงนั้นไม่ได้หมายความว่าเธอจะยุติบทบาทในโลกดนตรี แม้เธอจะไม่ได้ปล่อยผลงานอัลบั้มใดๆ ออกมานักตั้งแต่ Smile ในปี 2020&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ฉันเขียนเพลงอยู่ตลอด” เธอบอกกับ Good Morning America เมื่อไม่นานมานี้ “แต่ฉันคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับตัวเองคือการเฉลิมฉลองให้แก่โลกที่ตัวเองสร้างขึ้นด้วยบทเพลงแสนอัศจรรย์เหล่านี้ และรับผิดชอบชีวิตของลูกสาวตัวน้อย ฉันจะกลับมาแน่นอน แต่ขอจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Katy Perry Is Now Worth $340 Million—And One Of The Richest Self-Made Women In America ซึ่งเผยแพร่บน Forbes &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71357" alt="Generative AI กับดักทันสมัยของมิจฉาชีพยุคใหม่">Generative AI กับดักทันสมัยของมิจฉาชีพยุคใหม่</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

Katy Perry จากนักร้องสาวผู้โด่งดังสู่มหาเศรษฐีนีคนใหม่

<div>
<h2 class="ace-copy-paste-skip-this-tag">Rita Ora วัย 27 ปี รู้จักกันในฐานะนักร้องหญิงที่มีผลงานติดอันดับท็อปชาร์ต เผยว่า “ฉันก็แค่เดินหน้าทำในสิ่งที่ตัวเองรักและไม่มีคำว่ายอมแพ้”</h2>
</div>
Ora เริ่มต้นร้องเพลงครั้งแรกในผับของพ่อเธอซึ่งอยู่ใน London ตอนที่ครอบครัวเธออพยพมาจากสาธารณรัฐคอซอวอ เธอเพิ่งมีอายุแค่ขวบเศษๆ 

ช่วงที่เป็นวัยรุ่น Ora มักจะไปเดินเตร่อยู่แถวบริษัท Universal Music Group ใน London เพื่อแจกจ่ายแผ่นซีดีที่บันทึกเสียงร้องของเธอให้แก่ผู้คนที่เดินออกมาจากตึกดังกล่าว จนเวลาผ่านมาอีกเกือบ 10 ปี หนึ่งในคนที่รับแผ่นบันทึกเสียงของเธอในวันนั้นได้กลายมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบั้มงานเพลงชุดที่ 2 ของเธอในตอนนี้

ผลงานเพลงชุดที่ 2 ของเธอมีกำหนดวางแผงในปีนี้ ซึ่งทิ้งช่วงจากผลงานเพลงชุดแรกของเธอเกือบ 5 ปี นั่นก็เป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาเธอต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อจะปลดแอกตนเองจากต้นสังกัดเดิมอย่าง Roc Nation 

หากคุณได้เห็นความสำเร็จอย่างงดงามของ Anywhere ซิงเกิลล่าสุดของเธอแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจำนวนผู้ที่เฝ้ารอฟังผลงานเพลงชุดใหม่ของเธอจะมากมายขนาดไหน ทั้งนี้บทเพลงที่ชื่อ Anywhere สามารถไต่ขึ้นสู่อันดับ 2 ของ British charts ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ความมานะบากบั่นของ Ora ส่งผลให้เธอมีชื่อติดอันดับ 30 Under 30 Europe List ของนิตยสาร FORBES ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 โดยเธอถือเป็น 1 ใน 300 คนรุ่นใหม่ผู้สร้างปรากฏการณ์อันมีส่วนช่วยกำหนดทิศทางแห่งอนาคต 

ดูเหมือนชีวิตของ Ora ยังต้องวุ่นวายต่อไปอีกพักใหญ่ ไหนจะเรื่องการเตรียมอัลบั้มเพลง งานออกแบบชุดเสื้อผ้ากีฬาให้กับ Adidas อีกประมาณ 12 คอลเล็คชั่น การเตรียมเปิดตัวสินค้ากลุ่มลิปสติกและน้ำยาเคลือบเงาเล็บซึ่งเธอทำงานร่วมกับ Rimmel London ผู้ผลิตเครื่องสำอางระดับโลก และการทำโปรเจกต์ร่วมกับ Absolut Vodka เพื่อสร้างสรรค์บทเพลงชิ้นใหม่ที่เธอจะได้มีโอกาสทำงานร่วมกับกลุ่มแฟนคลับของเธอ

Ora บอกว่า “ฉันอยากทำไปหมดทุกอย่าง โลกปัจจุบันเป็นยุคที่ความบันเทิงมีความหลากหลาย” เธอเล่าอย่างภูมิใจว่า “ปัจจุบันฉันเป็นทั้งนักแสดง แขกรับเชิญรายการโทรทัศน์ และนักร้องที่กำลังจะมีผลงานเพลงชุดใหม่ ฉันคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่”

<hr />

<a href="http://bit.ly/2HPnhUb">คลิกอ่านบทความแรงบันดาลใจทางธุรกิจอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ พฤษภาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="http://bit.ly/2HPnhUb"><img style="width: 250px; height: 330px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/87de2e2b1221a10d782d1d0ead56fc1f.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events