<h2>ส่องพฤติกรรม Gen New Gen Now ผู้บริโภค 2 กลุ่มหลักในสังคมไทย เชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า หาข้อมูลหาอินฟลูเอนเซอร์เพื่อตัดสินใจซื้อ แต่ยังซื้อของที่ออฟไลน์เป็นหลัก ปัจจุบันผู้บริโภครับชมรายการผ่านหลากหลายจอ โทรทัศน์ สมาร์ทโฟน ขณะที่ CTV เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 64 ลุ้นอุตสาหกรรมโฆษณาเติบโตต่อเนื่อง คาดปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4 มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จัดงาน&nbsp;“The Future of Media 2024"&nbsp;เปิดเผยแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและการบริโภคสื่อในรอบปีที่ผ่านมา และทิศทางในอนาคต ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในประเทศไทย ถูกกำหนดโดยผู้บริโภค&nbsp;2&nbsp;กลุ่ม คือ&nbsp;Gen New Gen Now​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/ks55fFsEGmKMHaxKFtUG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ks55fFsEGmKMHaxKFtUG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รัญชิตา ศรีวรวิไล&nbsp;Thailand Vertical Lead - Advertiser and Agency&nbsp;บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันสามารถแบ่งผู้บริโภคในประเทศไทยออกเป็น&nbsp;2&nbsp;กลุ่มด้วยกัน ได้แก่&nbsp;Gen New&nbsp;อายุต่ำกว่า&nbsp;40&nbsp;ปี (Gen y&nbsp;และ&nbsp;Gen Z) และ&nbsp;Gen Now&nbsp;(Gen X&nbsp;และ&nbsp;Baby Boomer) อายุ&nbsp;40&nbsp;ปีขึ้นไป ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ&nbsp;57&nbsp;ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่มมีพฤติกรรมที่เหมือนและแตกต่างกัน เช่น ทั้ง&nbsp;2&nbsp;กลุ่ม ให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารที่ดีต่อร่างกาย ใช้สินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และมองว่าเงินยังเป็นสิ่งสะท้อนถึงความสำเร็จ รวมทั้งเปิดกว้างในการยอมรับความเท่าเทียม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม&nbsp;Gen New&nbsp;ยังให้ความสำคัญกับการออมเงินมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วน&nbsp;53%&nbsp;และ&nbsp;31%&nbsp;มองหาโอกาสการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังเปิดรับความแตกต่างทางเพศได้มากกว่าอยู่ที่ร้อยละ&nbsp;67&nbsp;ขณะที่&nbsp;Gen Now&nbsp;อยู่ที่ร้อยละ&nbsp;54​Gen New&nbsp;ชอบช้อปปิ้งออนไลน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พฤติกรรมการช้อปปิ้ง กลุ่ม&nbsp;Gen New&nbsp;และ&nbsp;Gen Now&nbsp;ยังให้ความสำคัญกับแบรนด์ในการเลือกซื้อสินค้าในสัดส่วนร้อยละ&nbsp;76&nbsp;และ&nbsp;79&nbsp;ตามลำดับ แต่&nbsp;Gen New&nbsp;จะมีการหาข้อมูล ดูรีวิวก่อนการซื้อสินค้า คิดเป็นสัดส่วน&nbsp;52%&nbsp;ขณะที่&nbsp;Gen Now&nbsp;อยู่ที่&nbsp;28%&nbsp;และ&nbsp;Gen New&nbsp;ชอบซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่า (ร้อยละ&nbsp;50) ขณะที่&nbsp;Gen Now&nbsp;อยู่ที่ร้อยละ&nbsp;23&nbsp;โดยกลุ่มสินค้าที่มีการซื้อออนไลน์ เช่น สินค้าแฟชั่น และของสด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แม้กลุ่ม&nbsp;Gen New&nbsp;จะให้ความสำคัญกับการหาข้อมูลสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ แต่&nbsp;53%&nbsp;ของกลุ่มตัวอย่างยังคงตัดสินใจซื้อสินค้าที่ออฟไลน์เป็นหลัก สะท้อนให้เห็นว่าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ยังเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้บริโภคชาวไทย และในแง่ผู้โฆษณาได้โยกงบไปลงกับสื่ออินสโตร์มากขึ้น เพราะมีส่วนในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย”&nbsp;รัญชิตากล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/BPMCQiUgN6p57JkQcxad.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="75%," data-align="center" data-file-name="BPMCQiUgN6p57JkQcxad.jpg" data-file-size="0" origin-size="1984,1114" data-origin="526px,295px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่พฤติกรรมในการบริโภคสื่อของ&nbsp;Gen New&nbsp;มีการรับสื่อในช่องทางที่หลากหลาย ขณะที่สื่อหลักของคน&nbsp;Gen Now&nbsp;คือ ทีวี นอกจากนี้กลุ่ม&nbsp;Gen New&nbsp;ยังมีการฟังเพลงผ่านช่องทางดิจิทัลในสัดส่วนถึงร้อยละ&nbsp;90&nbsp;และร้อยละ&nbsp;34&nbsp;รับฟัง&nbsp;podcasts&nbsp;ขณะที่ร้อยละ&nbsp;49&nbsp;ฟังวิทยุระบบ&nbsp;FM&nbsp;ในช่วงที่ขับรถยนต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่าผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับแบรนด์ ดังนั้นการลงทุนสื่อสารแบรนด์ผ่านสื่อต่าง ๆ จะช่วยสร้างการจดจำ โดยร้อยละ&nbsp;1&nbsp;ของการจดจำแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น จะทำช่วยผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นร้อยละ&nbsp;1&nbsp;เช่นเดียวกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับนักการตลาดทั้งในไทยและเอเชียแปซิฟิกยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์”​การเติบโตของ&nbsp;CTV&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผลสำรวจเกี่ยวกับการบริโภคสื่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ในปัจจุบัน ผู้บริโภคชาวไทยมีการรับชมรายการผ่านหลากหลายช่องทาง และการขยายตัวของ&nbsp;CTV&nbsp;หรือ&nbsp;Connected TV&nbsp;ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ&nbsp;41&nbsp;เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ&nbsp;64&nbsp;เมื่อเทียบกับช่วง&nbsp;2&nbsp;ปีก่อนหน้านี้ การเข้ามาของ&nbsp;CTV&nbsp;ช่วยปิดช่องว่างการลดลงของการรับชมทีวีแบบเดิม นอกจากนี้ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกในปัจจุบันรับชมรายการผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก โดยไทยมีสัดส่วนร้อยละ&nbsp;90&nbsp;ขณะที่สิงคโปร์และไต้หวันอยู่ที่ร้อยละ&nbsp;98 <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 526px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/XAHjFeFLVYvSLbPv68Js.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="526px,293px" data-align="center" data-file-name="XAHjFeFLVYvSLbPv68Js.jpg" data-file-size="0" origin-size="1996,1112" data-origin="526px,293px" style="width: 526px; height: 293px;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันผู้บริโภคชาวไทยรับชมทีวีแบบออฟไลน์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ&nbsp;64&nbsp;ขณะที่รับชมผ่าน&nbsp;Streaming&nbsp;ร้อยละ&nbsp;36&nbsp;โดยการรับชม&nbsp;Streaming&nbsp;ผ่านแพลตฟอร์มยูทูบมากที่สุดร้อยละ&nbsp;14&nbsp;ตามด้วย&nbsp;TikTok&nbsp;ร้อยละ&nbsp;7&nbsp;และ เฟซบุ๊คร้อยละ&nbsp;6&nbsp;ผู้บริโภคชาวไทยชอบดูรายการสดมากที่สุด โดยเฉพาะคอนเทนต์กีฬาและละคร ซึ่งในปีที่ผ่านมามีรายการกีฬาหลายรายการทั้งฟุตบอลและวอลเล่ย์บอลที่ดึงคนดูได้มาก รวมทั้งอีเวนต์สำคัญ ๆ เช่น การเลือกตั้ง ปัจจุบันมีผู้ชมรายการเฉลี่ยวันละ&nbsp;39&nbsp;ล้านคน ผ่านทีวีออฟไลน์ และ&nbsp;Streaming&nbsp;และช่วงเวลาที่คนรับชมรายการโทรทัศน์มากที่สุด คือช่วงไพรม์ไทม์&nbsp;18.00 – 22.00&nbsp;น. อุตสาหกรรมสื่อโฆษณาโตร้อยละ&nbsp;4&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัทมวรรณ สถาพร&nbsp;นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่ ประเทศไทย (MAAT)&nbsp;และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุ๊ปเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในประเทศจะมีมูลค่า&nbsp;1.2&nbsp;แสนล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ&nbsp;4&nbsp;ซึ่งจากต้นปีคาดว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตร้อยละ&nbsp;7&nbsp;แต่จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย หรือจีดีพีที่ประกาศออกมาขยายตัวไม่ถึงร้อยละ&nbsp;2&nbsp;ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อโฆษณาเช่นเดียวกัน ขณะที่ปี&nbsp;2567&nbsp;มองว่าอุตสาหกรรมฯจะเติบโตมากกว่าปีนี้ จากมาตรการกระต้นเศรษฐกิจของรัฐบาล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/HCvXmZPLYQNduHtSrh5k.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HCvXmZPLYQNduHtSrh5k.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในช่วง&nbsp;10&nbsp;ปีที่ผ่านมา ภูมิทัศน์ของสือเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมทีวีเป็นสัดส่วนหลักเกือบร้อยละ&nbsp;60&nbsp;ปัจจุบันเหลือร้อยละ&nbsp;42&nbsp;แม้สื่อดิจิทัลจะเติบโตขึ้น แต่เม็ดเงินโดยรวมลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามจากการขยายตัวของสื่อดิจิทัล ทำให้นักการตลาดไม่สามารถมองข้ามได้ และต้องหากลยุทธ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนเพื่อให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งร้อยละ&nbsp;85&nbsp;เป็น&nbsp;Netizen&nbsp;เช่น การใช้&nbsp;Data AI&nbsp;การทำ&nbsp;Personalization Ad&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเข้าถึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะเห็นว่า&nbsp;Gen New&nbsp;ขยายตัวมากขึ้น แต่อย่าลืมว่า&nbsp;Gen Now&nbsp;เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ต้องหาจุดสนใจของพวกเขาให้เจอ หาเครื่องมือที่จะช่วยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น&nbsp;KOL&nbsp;หรือ&nbsp;Creator&nbsp;แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงมากมาย แต่หวังว่าปีหน้าอุตสาหกรรมจะดีกว่าปีนี้”&nbsp;ปัทมวรรณกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/N3Ft62V9dVDmJXF1GvGC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="N3Ft62V9dVDmJXF1GvGC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="4"></figure></div> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/asia/world/suntory-business-management" alt="บริหารกิจการแบบ Suntory ใช้สูตรผสมต่างวัย">บริหารกิจการแบบ Suntory ใช้สูตรผสมต่างวัย</a>​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/45e2f9e5-2f0f-459c-a701-432192052e12" alt="​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine">​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>

เจาะพฤติกรรม Gen New Gen Now ผู้บริโภคหลักในสังคมไทย

<h2>โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 66 คนรุ่นใหม่ สื่อโซเชียล จุดชี้ขาด ฐานเสียงผู้มีสิทธิเลือกตั้งใหม่เพิ่ม 11 ล้านคน 20% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ชี้กลยุทธ์สร้างกระแสผ่านโซเชียล มีเดีย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย คาดเงินสะพัด 30,000 ล้านบาท SCB EIC ประเมินโอกาสจัดตั้งรัฐบาลใกล้เคียงกัน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ ถือเป็นพลวัตทางการเมืองครั้งสำคัญของประเทศ ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทยตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การก้าวขึ้นมาของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งครั้งแรกในครั้งนี้ มีจำนวน 11 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศกว่า 50 ล้านคน และถูกขับเคลื่อนด้วยสื่อใหม่อย่างโซเชียลมีเดียเป็นหลัก&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI นักกลยุทธ์การตลาด และโฆษณาที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี มองเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญจากการเลือกตั้งครั้งนี้ คือการใช้สื่อโซเชียล มีเดียในการขับเคลื่อนประเด็นที่แต่ละพรรคการเมืองต้องการสื่อสารไปสู่ประชาชน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงการเพิ่มขึ้นของคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งมีจำนวน 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 50 ล้านคน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้ชาดผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นโยบายหลักๆ ที่แต่ละพรรคต้องการสื่อสาร เช่น ค่าแรง สวัสดิการ พลังงาน มีการใช้สื่อหลัก อย่างสื่อโทรทัศน์ ป้ายโฆษณา หรือการไปดีเบตทางสถานีโทรทัศน์ จะถูกนำมาสร้างกระแสต่อทางสื่อโซเชียล รวมถึงประเด็นเฉพาะกลุ่ม เช่น สมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า จะใช้สื่อโซเชียลเป็นหลัก เพื่อสร้างอิมแพคสำหรับคนเฉพาะที่สนใจเรื่องนั้น ๆ โดยตรง” ภวัตกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/QAGFgPa7dDmFF8ToLSfE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QAGFgPa7dDmFF8ToLSfE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และสาเหตุที่มองว่าคนรุ่นใหม่และสื่อโซเชียลจะเป็นปัจจัยชี้ขาด เห็นได้จากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งที่ผ่านมา ที่มีการใช้สื่อโซเชียล มีเดียในการสร้างคอมมูนิตี้ของผู้สมัคร และนโยบายหาเสียง ทำให้เกิดการพลิกโผ และเห็นความแปลกใหม่ของการเมืองไทย ที่เกิดจากอิทธิพลของคนรุ่นใหม่และสื่อโซเชียล มีเดีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อปี 62 มีผู้ใช้โซเชียล มีเดีย 60% แต่ปัจจุบันสื่อโซเชียล มีเดียเข้าถึงคนประมาณ 85% มองว่าทั้งสองส่วนจะเป็นปัจจัยชี้ขาดการเลือกตั้งครั้งนี้ คาดเงินสะพัด 30,000 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภวัต กล่าวว่า สำหรับเม็ดเงินที่คาดว่าจะสะพัดจากการเลือกตั้งครั้งนี้ในทุกมิติอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่เม็ดเงินที่สะพัดในสื่อทั่วไปอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 100 ล้านบาท มีสื่อโทรทัศน์ และป้ายโฆษณาหาเสียง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนสื่ออื่นๆ มีการใช้น้อย ทั้งนี้แต่ละพรรคการเมืองจะใช้การไปออกรายการดีเบตทางสถานีโทรทัศน์ และมาผลิตเป็นคอนเทนต์เพื่อสื่อสารผ่านโซเชี่ยล มีเดียอีกครั้งหนึ่งเพื่อสร้างกระแสความสนใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองและตัวผู้สมัคร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด รายงานตัวเลขการใช้งบโฆษณาในเดือนมีนาคม 2566 กลับมาเป็นบวก 3% มูลค่า 10,174 ล้านบาท หลังจากช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ติดลบ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 450px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/DDv87if8E5DYGrr5FVw9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="450px,249px" data-align="center" data-file-name="DDv87if8E5DYGrr5FVw9.jpg" data-file-size="0" origin-size="450,249" data-origin="450px,249px" style="width: 450px; height: 249px;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสื่อโทรทัศน์ เป็นสื่อหลักที่มีใช้งบโฆษณาสูงสุด 5,663 ล้านบาท ตามด้วยสื่ออินเทอร์เน็ต 2,290 ล้านบาท และสื่อนอกบ้าน 1,080 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวสูงสุดที่ 26% เนื่องจากการเปิดเมืองกลับสู่ภาวะปกติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภวัต กล่าวว่า แนวโน้มการใช้งบโฆษณาในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าจะกลับมาคึกคักขึ้น ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง ทำให้สินค้าอุปโภค-บริโภคมีการใช้งบโฆษณาเพิ่มขึ้น ประกอบกับเป็นฤดูกาลขายสินค้า เช่น สินค้าหน้าร้อน สินค้าเปิดเทอม และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สอดคล้องกับข้อมูลของนีลเส็น ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สินค้าที่ใช้งบโฆษณาสูงสุดอันดับ 1 ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม 1,673 ล้านบาท 2. สินค้ากลุ่มของใช้ส่วนบุคคลและเครื่องสำอาง 1,445 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นร้านค้าปลีกและร้านอาหาร 995 ล้านบาท ส่วนกลุ่มที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% EIC ประเมินโอกาสจัดตั้งรัฐบาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มได้รับการสนับสนุนจากเม็ดเงินหาเสียงของพรรคการเมืองอย่างน้อยคิดเป็นสัดส่วน 0.07% ของจีดีพี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล คาดว่าจะมี 3 แบบที่มีโอกาสเกิดได้ใกล้เคียงกัน ในระดับปานกลาง คือ 1. ฝ่ายเสรีนิยมตั้งรัฐบาล กรณีนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย 2. รัฐบาลผสมสองฝ่าย กรณีนี้ผลกระทบทาทงเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน และ 3. รัฐบาลอนุรักษ์นิยมเสียงข้างน้อย กรณีจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยสูงสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนกรณีฝ่ายอนุรักษ์นิยมจัดตั้งรัฐบาล กรณีนี้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย หรือกรณีนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีรายชื่อ กรณีนี้จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งทั้งสองกรณีมีโอกาสเกิดได้น้อย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูงจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และการจัดทำงบประมาณปี 2024 โดย SCB EIC ประเมินว่าไม่มีฉากทัศน์การจัดตั้งรัฐบาลที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงเกิน 50% แตกต่างจากบริบทการเลือกตั้งในปี 2019 ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้สูงอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับคะแนนความนิยมจากประชาชนสูง อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาอย่างท่วมท้น” วิชาญ กุลาตี นักวิเคราะห์ SCB EIC ระบุ อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%AD-%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87-ani-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-ipo-%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%9B-1-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97" alt="ทริพเพิล ไอ ยื่นไฟลิ่ง ANI เล็งขายหุ้น IPO คาดมาร์เก็ตแคปไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท">ทริพเพิล ไอ ยื่นไฟลิ่ง ANI เล็งขายหุ้น IPO คาดมาร์เก็ตแคปไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คนรุ่นใหม่ - สื่อโซเชียลชี้ชะตาเลือกตั้ง 66

<h2>นีลเส็น ประเทศไทย เปิดเผย 3 เทรนด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล ในประเทศไทย ช้อปปิ้งออนไลน์เติบโตก้าวกระโดด ร้อยละ 38 ซื้อสินค้าทันทีหลังเห็นโฆษณาออนไลน์ แต่แบรนด์ต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-62310" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/รัญชิตา-ศรีวรวิไล-ผู้อำนวยการธุรกิจมีเดีย-บริษัท-นีลเส็น-ประเทศไทย.jpg" alt="" width="450" height="369" />

นีลเส็น ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลจากงานสัมมนาออนไลน์ Nielsen media talk ในหัวข้อ Digital Consumer: Insights, Trends and Challenges พบแนวโน้มสำคัญ "เทรนด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล" ในยุคดิจิทัล 3 ด้าน ที่มีผลต่อแบรนด์และการซื้อสินค้า โดยเฉพาะหลังโควิด ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการจับจ่ายอย่างชัดเจน โดยผู้บริโภคหันไปใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น

จากการสำรวจของ Nielsen CMV พบว่า 1 ใน 3 ของคนไทยปัจจุบันช้อปออนไลน์ และมีอัตราเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ถึง ร้อยละ 190 หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้บริโภคชาวไทยที่มีการซื้อสินค้าออนไลน์ในทุกประเภทสินค้า โดยมีการจับจ่ายอยู่ที่ 500 – 1,000 บาทต่อครั้ง และมีความถี่อยู่ประมาณ 2-3 ครั้งต่อเดือน โดยส่วนใหญ่จะจ่ายเป็นเงินสด แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงไตรมาสแรกของปีนี้ นิยมจ่ายเงินผ่านโมบายแบงกิ้ง และวอลเล็ต

สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีการซื้อออนไลน์มากที่สุด ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 206 จากปี 2019 ตามด้วยสินค้าอาหารสด เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ และบริการส่งอาหารมียอดซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 798 และ 2,683 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด

<img class="alignnone size-full wp-image-62307" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/เทรนด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล_0503.jpg" alt="" width="650" height="366" />

นอกจากนี้ คนไทยยังนิยมซื้อของออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มขายสินค้า อย่างช้อปปี้ ลาซาด้า สัดส่วนร้อยละ 60 ตามด้วยโซเชี่ยล มีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค ไลน์ อินสตราแกรม ร้อยละ 27 และแอปพลิเคชั่นร้านค้าปลีก เช่น วัตสัน เซ็นทรัลออนไลน์ โลตัส ร้อยละ 13 โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุด คือ โค้ดส่วนลด ส่วนลดค่าส่ง และโปรโมชั่นรายเดือน

“จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ในประเทศไทยเติบโตสูงมาก คนไทยช้อปปิ้งผ่านโซเชียลมีเดีย 5 ครั้งต่อเดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียนร้อยละ 14 ซึ่งปัจจุบันตลาดออนไลน์เติบโตทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย” รัญชิตา ศรีวรวิไล ผู้อำนวยการธุรกิจมีเดีย บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย ระบุ

<img class="alignnone size-full wp-image-62308" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/เทรนด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล_0504.jpg" alt="" width="650" height="366" />
<h3>โฆษณาถูกจุด ผลลัพธ์เกินคาด</h3>
รัญชิตา กล่าวด้วยว่า การขยายตัวของธุรกิจออนไลน์ ส่งผลต่ออุตสาหกรรมโฆษณาเช่นเดียวกัน โดยแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ หรือ มาร์เก็ตเพลส อย่างช้อปปี้ ลาซาด้า และอาลีบาบา ใช้งบโฆษณาสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของการใช้งบโฆษณาโดยรวมในประเทศไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงเกิดสถานการณ์โควิด อุตสาหกรรมโฆษณามียอดการใช้งบลดลงร้อยละ 13 แต่พอปี 2021 และไตรมาสแรกของปี 2022 งบโฆษณากลับมาขยายตัว สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว

สำหรับอิทธิพลของโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล ผลสำรวจ พบว่า ร้อยละ 38 ของคนไทยซื้อสินค้าทันทีหลังจากเห็นโฆษณาในอินเทอร์เน็ต ในขณะเดียวกันการโฆษณาผ่าน Influencer หรือเน็ตไอดอลก็มีการเติบโตขึ้น โดยคนไทยร้อยละ 14 จะซื้อสินค้าตามที่เน็ตไอดอลแนะนำหรือโฆษณา โดยช่องทางโฆษณาที่ผู้บริโภคไว้วางใจมากที่สุด คือ เว็บไซต์ของแบรนด์  (ร้อยละ 33) รองลงมาคือสื่อทีวี และการเป็นสปอนเซอร์

ขณะที่ SMS หรือการโฆษณาผ่านข้อความมือถือ มีผู้บริโภคถึงร้อยละ 44 ที่ไม่เชื่อถือการโฆษณาจากช่องทางนี้ เนื่องจากผู้บริโภคกลัวข้อความสแปม หรือข้อความหลอกลวง จากรายงานของ Trust in Advertising พบข้อมูลเพิ่มเติมว่าธีมของการโฆษณามีผลต่อผู้บริโภค โดยธีมที่ถูกใจคนไทยมากที่สุดคือ อิงชีวิตจริง (Real-life situations) โดยเฉพาะชาวมิลเลนเนียลที่ถูกใจโฆษณาประเภทนี้เป็นพิเศษ ในขณะที่ธีมที่ขายความเซ็กซี่หรือล่อแหลมจะได้รับความนิยมน้อยในทุกกลุ่มวัย

<img class="alignnone size-full wp-image-62307" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/เทรนด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล_0503.jpg" alt="" width="650" height="366" />
<h3>ต้องเคารพความเป็นส่วนตัว</h3>
รัญชิตา กล่าวว่ คนไทยให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ โดยนีลเส็น พบว่า มีเพียงร้อยละ 19 ที่เต็มใจให้ทุกแอพ/เว็บไซต์ติดตามพฤติกรรมของตนเอง ร้อยละ 57 อนุญาตให้บางแอพติดตามได้บ้าง และ ร้อยละ 20 ที่ไม่อนุญาตให้แอพหรือเว็บไซต์ติดตามหรือแทร็กพฤติกรรมเลย สอดคล้องกับแนวโน้มคนทั่วโลกให้ความสำคัญกับกฎหมายดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

“จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคส่วนหนึ่งยินดีที่จะให้ข้อมูลแก่แบรนด์ ซึ่งหมายถึง Personalized Marketing ยังเป็นสิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน ผู้บริโภคยังต้องการความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ อยากให้แบรนด์เอาใจ นักการตลาดต้องสามารถตอบสนองต่อข้อเสนอใหม่ๆ ได้ ซึ่งความท้าทายของนักการตลาดในปัจจุบันคือการทำอย่างไรที่จะเข้าใจและรู้ใจผู้บริโภค ภายใต้เงื่อนไขที่ความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคต้องมาอันดับแรก”

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%e0%b8%98%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a8%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b8%ab%e0%b9%88.html">“ธนาคารแห่งประเทศไทย” ห่วงค่าครองชีพฉุดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง</a>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events