<h2>‘มาลี กรุ๊ป’ ทวงคืนแชมป์น้ำผลไม้พรีเมียมสำเร็จครั้งแรกในรอบหลายปี หลังใช้กลยุทธ์ One Malee พร้อมอานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้น เดินหน้าวิจัยหวังต่อยอดสู่ supplement food ปีนี้ เสริมแกร่งพอร์ตพร้อมโตยั่งยืนระยะยาว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราชเทพ นฤหล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มาลีก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในตลาดน้ำผลไม้พรีเมียมในประเทศไทยอีกครั้งในปีที่ผ่านมา ด้วยส่วนแบ่งตลาด 21% จากที่ปีก่อนหน้านี้ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 17-18%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดน้ำผลไม้ในเมืองไทยในปี 2566 มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 11% จากปี 2565 ส่วนตลาดน้ำผลไม้พรีเมียมพร้อมดื่มมีมูลค่า 3,400 ล้านบาm เติบโต 58% จากปี 2565 ขณะที่แบรนด์มาลีเติบโต 103%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดน้ำผลไม้เริ่มกลับมาเติบโตชัดขึ้นตั้งแต่โควิดเริ่มคลี่คลาย และมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในไทย เนื่องจากน้ำผลไม้เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ใช้ให้บริการนักท่องเที่ยวภายในห้องอาหาร ร้านเครื่องดื่มของโรงแรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากจะทวงแชมป์น้ำผลไม้พรีเมียมคืนมาได้แล้ว มาลียังประสบความสำเร็จในด้านยอดขายด้วย โดยปี 2566 มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 20% เป็น 7,871 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 138% เป็น 80 ล้านบาท โดยจากยอดขายรวมทั้งหมด สัดส่วน 35-40% มาจากสินค้าของมาลีเอง ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจรับจ้างผลิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันรายได้ของมาลี กรุ๊ป มาจากการส่งออก 30% โดยมีตลาดหลักอยู่ที่จีน เกาหลี สหรัฐอเมริกา กัมพูชา อินโดนีเซีย และเวียดนาม ขณะที่ 70% เป็นรายได้ในประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/fq8ZvdueqZSUroFJNm2Y.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fq8ZvdueqZSUroFJNm2Y.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราชเทพกล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้มาลียังมีการเติบโตต่อเนื่องด้วยยอดขาย 2,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสแรกในปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิเติบโตขึ้นถึง 261% เป็น 122 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การได้ชัยชนะของน้ำผลไม้พรีเมียมและยอดขายเติบโตอย่างสูงในปีที่ผ่านมา เพราะผลของการเพิ่มงบมากขึ้นถึง 3 เท่าตัวระหว่างปี 2022-2023 ในการวิจัยและพัฒนาสินค้า และศึกษาอินไซต์ผู้บริโภคอย่างเข้มข้น เพื่อวางกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม ผ่านแคมเปญที่หลากหลาย เพื่อสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราให้ความสำคัญกับการบอกเล่าคุณประโยชน์ของสินค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น แคมเปญของน้ำมะพร้าว Malee COCO ที่สื่อสารกับผู้บริโภคโดยอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่พบว่าโพแทสเชียมในน้ำมะพร้าวธรรมชาติมีส่วนช่วยปรับสมดุลปริมาณโซเดียม เหมาะสำหรับกลุ่มผู้บริโภคไทยที่ชอบรับประทานอาหารรสจัด แคมเปญนี้สร้างความแตกต่างให้สินค้าเรา และเพิ่มโอกาสในการดื่มน้ำมะพร้าวมากขึ้นทุกวัน ยอดขายของ Malee COCO จึงเติบโตขึ้นถึง 103% สูงเกือบ 2 เท่าของตลาดน้ำมะพร้าวที่เติบโตเพียง 58% เท่านั้น” ราชเทพเผย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่มีส่วนช่วยในการสร้างการเติบโตให้มาลีในปีที่ผ่านมา คือกลยุทธ์ One Malee ด้วยการรวมศักยภาพของหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ทั้งทีมวิจัยและพัฒนาโดยเน้นวิจัยสินค้าที่ใช้ผัก ผลไม้ นม มาผสมกับน้ำผลไม้ รวมฝ่ายจัดซื้อ, ไฟแนนซ์, ทีมสร้างแบรนด์ และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง 3 โรงงาน คือ อ.สามพราม จ.นครปฐม, อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และในโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ทำให้บริหารจัดการในทุกภาคส่วนได้เร็วขึ้น ควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ตอบสนองต่อตลาดได้เร็วขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/CsJhUtmB3W95euQBch55.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CsJhUtmB3W95euQBch55.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราชเทพกล่าวว่า เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเป็น “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก” มาลีจะเน้นลงทุนใน Malee Applied Sciences (MAS) บริษัทวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อนำมาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการด้านสุขภาพและความงาม ตลอดจนการคิดค้นและเพิ่มมูลค่าของผลผลิตด้านการเกษตรและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าสำหรับผู้ผลิตและพาร์ทเนอร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ด้วยศักยภาพของ MAS ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เราจะนำวัตถุดิบของเรามาเป็นส่วนประกอบทั้งในอาหารและเครื่องดื่ม และคาดว่าจะมีการขยายไลน์สู่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อเติมเต็มพอร์ตของมาลีและสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว” ราชเทพกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขายังกล่าวทิ้งท้ายว่า มาลี กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทั้งในเรื่องของแบรนด์และยอดขายผลิตภัณฑ์ ผ่านการพัฒนาศักยภาพจากความเชี่ยวชาญ โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็น “Top Beverage Brand of Choice” ในประเทศไทย มุ่งสู่การเป็น “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก” ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Mental Availability ในการเป็นเครื่องดื่มที่มอบสุขภาพที่ดีและความสุขให้ผู้บริโภคในแต่ละวัน, Physical Availability กระจายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึงทุกช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้สะดวก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Relevant Portfolio คือให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ฮีโร่และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าในกลุ่มน้ำผลไม้และผลิตภัณฑ์นม พร้อมโปรเจกต์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ และ Improved Customer Preference ด้วยการร่วมวางแผนกับคู่ค้าในการขับเคลื่อนมูลค่าตลาดในกลุ่มน้ำผลไม้และผลิตภัณฑ์นม ด้วยแผนการดังกล่าวบริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโต 20% เท่ากับปีที่ผ่านมา เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/ohkajhu-opened-oh-juice" alt="เขย่าตลาดสมูทตี้เมืองไทย โอ้กะจู๋เปิดตัว ‘Oh! Juice’ สาขาแรกที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว">เขย่าตลาดสมูทตี้เมืองไทย โอ้กะจู๋เปิดตัว ‘Oh! Juice’ สาขาแรกที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘มาลี กรุ๊ป’ คืนบัลลังก์แชมป์น้ำผลไม้พรีเมียม ยอดขายปี 66 ทะลุ 7,800 ล้าน

<h2>ดูเหมือนว่ากระแสเครื่องดื่มน้ำผลไม้สมูทตี้จะเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น หลังแบรนด์ในต่างประเทศอย่าง Erewhon ประสบความสำเร็จ เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในสหรัฐอเมริกาที่เซเลบฯ ต่างก็ต้องไปชิม ในเมืองไทยเองก็เริ่มมีร้านแนวนี้เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดคือแบรนด์ร้านอาหารเพื่อสุขภาพอย่าง ‘โอ้กะจู๋’ ก็เปิดร้านสมูทตี้ในชื่อแบรนด์ ‘Oh! Juice’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้หลายคนน่าจะพอรู้จักซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกาอย่าง ‘Erewhon’ ที่นอกจากจะเน้นขายอาหารและสินค้าออร์แกนิคเจาะกลุ่มพรีเมียมแล้ว สินค้าที่โด่งดังของ Erewhon ยังรวมไปถึงเครื่องดื่มผักผลไม้ปั่นหรือเมนูสมูทตี้ ที่มีราคาสูงถึงแก้วละกว่า 800 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมนูสมูทตี้ของ Erewhon นั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงามไม่ว่าจะมีราคาสูงแค่ไหน แต่ก็ยังได้รับความนิยมในหมู่เซเลบฯ และทำให้หลายคนอยากไปชิมตามบ้าง กลายเป็นกระแสสมูทตี้หน้าตาสวยแปลกตาที่ใครๆ ก็อยากลอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในไทยเองก็เริ่มมีร้านสมูทตี้ที่หน้าตาคล้ายๆ Erewhon แล้วเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น Plantiful ร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่เริ่มขายสมูทตี้ และรสชาติดีจนหลายคนยกให้เป็น Erewhon เมืองไทย โดยมีราคาเริ่มต้นที่ร้อยปลายๆ ไปจนถึงหลักสองร้อยกว่าบาทต่อแก้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ร้านอาหารเพื่อสุขภาพเจ้าดังอย่าง ‘โอ้กะจู๋’ ก็เข้ามาลุยตลาดนี้ด้วย โดยล่าสุดเปิดตัวแบรนด์ร้านเครื่องดื่มสมูทตี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ ใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘Oh! Juice’ เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 2 ชูจุดเด่นอร่อยได้ประโยชน์ ไม่เติมน้ำตาล ใช้วัตถุดิบพรีเมียม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีเมนูที่น่าสนใจ เช่น Ocean N Earth รวมสุดยอดวัตถุดิบจากท้องทะเล Bluemajik คอลลาเจน และอีกมากมาย, เมนู Angel’s secret ที่ใช้สตรอว์เบอร์รี่ redpitaya และคอลลาเจน รวมตัวกับวัตถุดิบอื่นๆ เป็นต้น ราคาอยู่ที่ร้อยปลายๆ ถึงสองร้อยกว่าบาทต่อแก้วเช่นกัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/QysLfrMi1HqYEDxXFeUY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="QysLfrMi1HqYEDxXFeUY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Oh! Juice คือหนึ่งในแผนการขยายธุรกิจของโอ้กะจู๋ในปีนี้ นอกเหนือไปจากการขยายหน้าร้าน Full-service Restaurant การขายผ่านคีออสก์ การวางขายสินค้าในคาเฟ่อเมซอน และซูเปอร์มาร์เก็ต โอ้กะจู๋ก็พร้อมขยายธุรกิจร้านอาหารประเภทจานด่วน ภายใต้แบรนด์ “Ohkajhu Wrap &amp; Roll” จำหน่ายสลัด แร็ปสลัด แซนด์วิช เบอร์เกอร์ และเมนูสุขภาพพร้อมหยิบ (Grab &amp; Go) เพื่อให้ตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบ รวมถึงธุรกิจร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “Oh Juice”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านรายได้ปี 2564-2566 จากข้อมูลจากเอกสาร Filing ของ ก.ล.ต. พบว่ามีรายได้จากการขาย (ณ 31 ธ.ค.) ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2564 อยู่ที่ 797.86 ล้านบาท (ค่าใช้จ่ายรวม 336.89 ล้านบาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2565 อยู่ที่ 1,210.41 ล้านบาท (ค่าใช้จ่ายรวม 462.23 ล้านบาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2566 อยู่ที่ 1,712.83 ล้านบาท (ค่าใช้จ่ายรวม 585.99 ล้านบาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่กำไรสุทธิ (ณ 31 ธ.ค.)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2564 ขาดทุน 84.6 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ -10.5%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 38.3 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 3.2%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 140.6 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 8.2%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 OKJ มีสินทรัพย์รวม 1,349.93 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินรวม 772.01 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 577.92 ล้านบาท เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/marketing/ohkajhu-filing-ipo-in-set" alt="‘โอ้กะจู๋’ แบรนด์ร้านอาหารสุขภาพ ยื่น Filing เตรียม IPO ในตลาดหุ้นไทย 159 ล้านหุ้น">‘โอ้กะจู๋’ แบรนด์ร้านอาหารสุขภาพ ยื่น Filing เตรียม IPO ในตลาดหุ้นไทย 159 ล้านหุ้น</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เขย่าตลาดสมูทตี้เมืองไทย โอ้กะจู๋เปิดตัว ‘Oh! Juice’ สาขาแรกที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว

<h2>น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าวของประเทศไทย “โมกุ โมกุ” (Mogu Mogu) แบรนด์เครื่องดื่มอันดับ 1 ในเกาหลีใต้ เปิดมิติใหม่ในโลก ZEPETO” แพลตฟอร์ม Metaverse ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รุกแผนการตลาดสุดทันสมัยเจาะกลุ่ม Gen Z พร้อมยกระดับภาพลักษณ์ให้เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ในอนาคต</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-66567" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/ปิยจิต-รักอริยะพงศ์_0701.jpg" alt="" width="650" height="414" />

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า เซ็ปเพ็ตโต้ (ZEPETO) เป็น Metaverse-Based Social Gaming Application แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย เปิดตัวให้บริการเมื่อปี 2561 โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปสร้างคาแรกเตอร์เสมือนจริงของตัวเองแบบ 3 มิติได้ ด้วยการจำลองหรือถอดแบบตัวผู้ใช้ให้กลายเป็นกราฟิกตัวการ์ตูนที่น่ารักและสมจริง โดยสามารถสนทนา และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้คนอื่นๆ ได้แบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งอัปเดตลูกเล่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ VDO booth ที่ให้ผู้ใช้สามารถถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนๆ ในอิริยาบทต่างๆ ได้ตามความต้องการ

“การสร้างตัวตนและการมีชีวิตอยู่ของผู้ใช้ใน ZEPETO นี้ เหมือนในภาพยนตร์โลกอนาคตที่เราเคยเห็น ซึ่งอยู่บนแพลตฟอร์ม Metaverse หรือโลกเสมือนจริงที่ทุกคนสามารถเข้าไปอยู่ในโลกนั้น ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน เพื่อได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ สร้างสังคมใหม่ๆ พร้อมกัน และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยดังที่กล่าวมา ZEPETO จึงกลายเป็นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่อย่างมาก

จนปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 300 ล้านรายทั่วโลก แบรนด์ระดับโลกหลากหลายแบรนด์ หลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ต่างเข้ามาสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภคในโลกเสมือนจริงนี้อย่างคับคั่ง เช่นเดียวกับ SAPPE ที่มองเห็นโอกาส และนับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่จะทำให้แบรนด์ Mogu Mogu เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในเกาหลีใต้และทั่วโลกมากยิ่งขึ้น”

สำหรับโมกุ โมกุ (Mogu Mogu) น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าวเป็นแบรนด์เครื่องดื่มแบรนด์แรกของเซ็ปเป้ ซึ่งปัจจุบันไม่มีจำหน่ายในไทย แต่ส่งออกไปจำหน่าย 98 ประเทศทั่วโลก โดยนับเป็นแบรนด์แรกๆ ของไทยที่เข้าไปอยู่ใน Metaverse ซึ่งผู้ใช้ที่มี Avatar ใน ZEPETO สามารถสัมผัสประสบการณ์ร่วมกับ Mogu Mogu ได้ด้วยการเลือกซื้อไอเท็มพิเศษ เป็นชุดแต่งตัวคาแรคเตอร์ของ Mogu Mogu collection ใน Mogu Shop และร่วมสนุกกับเพื่อนๆ ใน VDO booth ต่างๆ รวมทั้ง VDO Booth ธีมคาเฟ่ในพิพิธภัณฑ์ โดยเป็นหนึ่งในสถานที่นิยมของการนัดพบของชาวเกาหลีใต้ที่ Mogu Mogu สร้างไว้

นอกจากนี้ ยังนำบางไอเท็มพิเศษ เช่น Summer Collection จากการ Collaborate ระหว่าง Mogu Mogu กับแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น ‘Graver’ ที่นิยมในเกาหลีใต้ ซึ่งวางจำหน่ายในออนไลน์ เพื่อให้วัยรุ่นชาวเกาหลีได้หาซื้อไว้สะสม โดยนำมาจำหน่ายใน Mogu Shop บน ZEPETO ด้วย

ขณะเดียวกันประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวเพิ่มเติมว่า เกาหลีใต้นับเป็นประเทศที่เซ็ปเป้เข้าไปทำตลาดมาอย่างยาวนาน จนสามารถทำให้แบรนด์ Mogu Mogu ประสบความสำเร็จ มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ (CVS) ครอบคลุมตลาดโมเดิร์นเทรดในเกาหลีใต้มากถึง 70% ซึ่งหลังจากที่ Mogu Mogu ก้าวเข้าสู่ Metaverse ออกแคมเปญสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ใน ZEPETO และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศเกาหลีใต้ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับจากแฟนของแบรนด์และกลุ่มเจน Z เป็นจำนวนมาก

“หลังจากที่เราสามารถสร้าง Top of mind ของสินค้า Mogu Mogu ผ่านประสบการณ์ให้ลูกค้ากลุ่ม Gen Z หลายล้านคนทั่วโลกจดจำแบรนด์ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ยุโรป หรืออเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มที่รู้จักและเล่น ZEPETO อยู่แล้ว การออกแคมเปญนี้ เราคาดหวังการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง และสร้างโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์มาก่อน คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 10% ที่สำคัญคือการนำแบรนด์ Mogu Mogu ให้เป็นมากกว่าแบรนด์เครื่องดื่ม แต่เป็นแบรนด์ Lifestyle ทั้งในโลกจริงและ Metaverse ในอนาคต” ปิยจิตกล่าว

อ่านเพิ่มเติม:<a href="https://forbesthailand.com/news/other/qtc-%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-ev-charging-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84.html"> QTC รุกเปิด EV Charging ลงทุนพลังงานครบวงจร</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

Mogu Mogu เครื่องดื่มไทยเปิดมิติ ZEPETO เมตาเวิร์สใหญ่ที่สุดในเอเชีย

<h2>ดีเอ็นเอทางธุรกิจที่ได้รับการถ่ายทอดผสมผสานกับความหลงใหลด้านการตลาดสู่ภาคต่อความมุ่งมั่นที่ทำให้ กันต์ กุลปิยะวาจา รับภารกิจขยายตลาด และสร้างแบรนด์ชบาครองใจผู้บริโภค พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการครอบคลุมพอร์ตเครื่องดื่มในไทยและต่างประเทศ</h2>
เสียงเครื่องจักรผลิตเครื่องดื่มตลอดระยะเวลามากกว่า 2 ทศวรรษได้มีส่วนหล่อหลอมให้ กันต์ กุลปิยะวาจา ทายาทของครอบครัวกุลปิยะวาจาผูกพันกับธุรกิจน้ำผลไม้สัญชาติไทยแบรนด์ “ชบา” ตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งในปี 2543 พร้อมเดินหน้ารับภารกิจสานต่อการเป็นผู้นำด้านการผลิตน้ำผลไม้คุณภาพพรีเมียมมาตรฐานรับรองระดับสากล ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคในประเทศ และสามารถขยายตลาดจัดจำหน่ายกว่า 40 ประเทศทั่วโลกสู่การสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว

กันต์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดประจำประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV บริษัท ชบาบางกอก จำกัด ได้รับมอบหมายให้กุมบังเหียนด้านการขายและการตลาดของบริษัท ด้วยความหลงใหลในการทำงานสำรวจตลาด (market research) ได้เป็นแรงผลักดันให้บุตรชายคนสุดท้ายในพี่น้องทั้งหมด 5 คนของ วงศ์วุธ (บิดาและผู้ก่อตั้งธุรกิจ) เริ่มต้นทำงานตั้งแต่วัย 15 ปี ทั้งการสำรวจตลาด การตรวจสอบคุณภาพโรงงาน ตลอดจนการเดินทางติดต่อทางธุรกิจกับคู่ค้าไทยและต่างประเทศ

“การเรียนรู้และการไม่หยุดพัฒนาตัวเองถือเป็นคีย์ความสำเร็จในการทำงาน จากประสบการณ์ที่เคยทำงานในองค์กรอื่นนำมาปรับใช้ในการสร้างองค์กร ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้น และเข้าใจถึงความต้องการของพนักงาน รวมถึงเห็นภาพการทำงานของหลายๆ ฝ่าย ทั้งยังช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของทีม และการสร้าง dynamic ที่ดีในทีม”

<img class="alignnone size-full wp-image-55387" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/CHABAA_1202.jpg" alt="" width="600" height="447" />

สานต่อภารกิจความยั่งยืน

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เป็นความท้าทายสำคัญของคลื่นลูกใหม่ในการสร้าง การเติบโตให้กับแบรนด์เครื่องดื่มไทยอายุมากกว่า 20 ปี กันต์ยังคงเชื่อมั่นในจุดเด่นของบริษัท ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตน้ำผลไม้ที่มุ่งเน้นคุณภาพมาตรฐานสากลและการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมที่ทันสมัยเป็นอาวุธสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งในประเทศและสื่อสารยังตลาดต่างประเทศผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก

ขณะเดียวกันบริษัทยังวางทิศทางการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นด้านการค้นคว้าและวิจัยในห้องแล็บที่ทันสมัย และสร้างทีมวิจัยและพัฒนา (Research &amp; Development) พัฒนานวัตกรรมรองรับการเติบโตสำหรับแบรนด์ในกลุ่มบริษัทและแบรนด์รับจ้างผลิตของลูกค้า โดยไม่จำกัดเฉพาะการผลิตเครื่องดื่มน้ำผลไม้

แต่ยังสามารถผลิตเครื่องดื่มประเภทอื่นได้อย่างหลากหลาย พร้อมด้วยโรงงานการผลิตทั้งหมด 3 แห่ง ซึ่งมีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยในระบบปิดและได้มาตรฐานระดับโลก ส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“ปัจจุบันธุรกิจหลักของเรามุ่งเน้นการผลิตเครื่องดื่ม ทั้งการรับจ้างผลิตและภายใต้แบรนด์ของบริษัท ซึ่งทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยมีคู่ค้ามากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสินค้าหลักเป็นสินค้าแบรนด์ชบาที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เป็นสินค้าขายดีอันดับ 1 ในร้านสะดวกซื้อชั้นนำหลายแห่ง เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท” กันต์ย้ำถึงความภูมิใจในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมไม่เฉพาะประเทศไทย 

แต่ยังเคยติดอันดับเครื่องดื่มที่มียอดจำหน่ายสูงสุดประจำสัปดาห์ในร้านค้าสะดวกซื้อประเทศญี่ปุ่น และได้รับการโหวตให้เป็นน้ำผักและผลไม้อันดับ 1 จากรางวัล Best Food Award บนเว็บไซต์รีวิวสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศญี่ปุ่นถึง 2 ปีซ้อน

<img class="alignnone size-full wp-image-55386" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/CHABAA_1201.jpg" alt="" width="600" height="371" />

นอกจากนี้ กุญแจสำคัญของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ในมุมมองของคลื่นลูกใหม่ยังเกิดจากการให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างจริงใจต่อคู่ค้าและผู้บริโภค ด้วยการทำสินค้าที่มีคุณภาพ ดูแลลูกค้า

ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งลูกค้าและคู่ค้า ซึ่งสอดคล้องกับหลักการบริหารที่ได้รับการถ่ายทอดจากบิดาที่ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ ความจริงใจต่อพนักงาน คู่ค้า และผู้บริโภค เสมือนเป็นครอบครัว พร้อมความใส่ใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้ผู้บริโภค เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

“หลักการบริหารที่ได้รับการปลูกฝังหรือถ่ายทอดจากคุณพ่อคือ การให้ความสำคัญกับการบริหารคน โดยมีความซื่อสัตย์ ความจริงใจต่อพนักงาน คู่ค้า และผู้บริโภค เสมือนเป็นครอบครัว รวมทั้งใส่ใจในคุณภาพของสินค้าที่ออกสู่ตลาด เพราะเมื่อสินค้ามีคุณภาพและได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าจะส่งผลให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืน”

ดังนั้น กันต์จึงให้ความสำคัญกับการนำความรู้ความสามารถของบุคลากรในบริษัทพัฒนาร่วมกันเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม โดยใช้เทคโนโลยีช่วยให้เกิดความรวดเร็วและความแม่นยำในการทำงาน รวมถึงพยายามลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น

และมุ่งเน้นความรวดเร็วในการตัดสินใจทั้งยังส่งเสริมให้ทีมงานได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ริเริ่มสิ่งใหม่หรือการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมรับพนักงานที่มีความรู้ความสามารถ และให้โอกาสในการตัดสินใจเพื่อให้ได้เรียนรู้และเติบโตพร้อมบริษัท

“การเลือกคนที่จะเข้ามาร่วมงานก็สำคัญ เมื่อเราอยากให้องค์กรเติบโต เราจึงเลือกคนที่มีความทะเยอทะยานพร้อมเติบโตไปกับองค์กร การจัดการด้านบุคลากรเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เรามีแนวคิดว่า การทำงานไม่ควรต้องมีกฎเกณฑ์หรือรูปแบบการทำงานตายตัว

เราควรให้อิสระและความยืดหยุ่นในการทำงานเพื่อส่งเสริมการคิดนอกกรอบหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายคือสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม การปรับวัฒนธรรมองค์กรก็ยังต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจและการยอมรับของคนส่วนมาก เพื่อให้องค์กรยังสามารถเป็นศูนย์รวมของคนทุกเจเนอเรชั่นได้”

<img class="alignnone size-full wp-image-55388" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/กันต์-กุลปิยะวาจา_1201.jpg" alt="" width="500" height="700" />

ขณะเดียวกันการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนยังต้องคำนึงถึงส่วนรวม โดยเฉพาะสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการทำกิจกรรมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังได้มีการกำหนดนโยบายการพัฒนาสินค้าและกระบวนการผลิตของโรงงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด รวมถึงนโยบายลดการใช้พลาสติก และใช้ทรัพยากรในสายการผลิตอย่างคุ้มค่า

ทายาทธุรกิจวัย 28 ปีปิดท้ายถึงความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศจากยอดขายรวม 2.28 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 21.38 ล้านบาทในปี 2563 พร้อมขยายตลาดอาเซียน ด้วยการต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้หลากหลายครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค

“เรายังไม่หยุดที่จะศึกษาเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การปฏิบัติงานโดยเก็บเกี่ยวเรื่องราวต่างๆ การได้ออกตรวจตลาดที่เราขายสินค้า การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือเรียนรู้จากผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งถือเป็นทางลัดและเครื่องมือที่ช่วยเสริมการตัดสินใจทั้งการบริหารคนและองค์กร”

ภาพ: บริษัท ชบาบางกอก จำกัด

<hr />

<a href="https://bit.ly/3cBBD7E">คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-54465" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/242558307_2931919347023136_7291120447369577612_n.jpg" alt="" width="300" height="394" />

กันต์ กุลปิยะวาจา ปรับดีกรีย้ำภาพ CHABAA

<h2 class="p1">Marygrace Sexton ตัดสินใจขายบริษัทน้ำส้มไป ก่อนจะทำได้แต่เพียงมองบริษัทที่กำลังดิ่งลงเหว ปฏิบัติการกู้ชีพต้องเริ่มต้นขึ้นได้แล้ว</h2>
ระยะห่างออกมาจากตัวเมือง Fort Pierce รัฐ Florida ซึ่งมีโรงงานขนาดใหญ่ของ Tropicana เต็มไปด้วยรถบรรทุกส้มหลายสิบคันเข้าออกในแต่ละวัน พร้อมกลิ่นน้ำมันเปลือกส้มลอยคลุ้ง Marygrace Sexton กำลังเดินผ่านโรงงานน้ำส้มขนาดย่อมกว่าของเธอเอง เวลาหนึ่งทุ่มตรง รถบรรทุกกลุ่มแรก 6 คันจะเริ่มลำเลียงส้มน้ำหนักรวม 5 หมื่นปอนด์เข้ามา จากนั้นพนักงานจะตรวจคัดคุณภาพก่อนนำไปเข้ากระบวนการคั้น และเวลาราวตีสาม น้ำส้ม 3 หมื่นแกลลอนก็พร้อมสำหรับการบรรจุขวดต่อไป
แม้ว่าน้ำส้มของ Tropicana จะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปีภายในถังบรรจุขนาดล้านแกลลอนที่มีการเก็บรักษาด้วยไนโตรเจน แต่น้ำส้มของ Sexton จะถูกส่งไปจำาหน่ายสดตรงทุกๆ เช้า
“เลือกกินอาหารให้คู่ควรกับสุขภาพที่คุณต้องการสิ เราทำน้ำผลไม้สดๆ ก่อนที่มันจะฮิตเสียอีก” Sexton ซึ่งหุ่นเหมือนนักกีฬาและผิวสีแทนดูสุขภาพดีแม้จะอยู่ในวัย 60 ปีแล้ว กล่าว
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1989 ความรู้สึกที่อยากจะแข่งกับบรรดาน้ำาผลไม้กล่องที่ใช้สารกันบูด ซึ่งวางขายเกลื่อนตามซูเปอร์มาร์เก็ต คือแรงบันดาลใจให้ Sexton ใช้เงินเก็บ 20,000 เหรียญสหรัฐฯ จากการทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในแล็บรังสีวิทยาแห่งหนึ่ง ซื้อถังสเตนเลสสตีล 2 ใบที่บรรจุน้ำส้มได้ 1 พันแกลลอน และซื้อเครื่องคั้นน้ำส้ม 1 เครื่องมาทำน้ำส้มคั้นสดๆ ในกระท่อมกลางป่า และต้องยืมรถบรรทุกห้องเย็นมาจากร้านขายเนื้อเพื่อส่งน้ำส้มคั้นสดด้วยตัวเอง
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของบริษัท Natalie’s Orchid Island Juice Co. ซึ่งเธอใช้ชื่อของลูกสาวคนแรกที่เพิ่งคลอดเมื่อ 9 เดือนก่อนหน้านั้น มาตั้งชื่อบริษัทแรกที่เธอคลอดมากับมือเช่นกัน

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/asia/dhirendra-singh.html">Dhirendra Singh สร้าง Manpasand Beverages กิจการน้ำผลไม้ให้เติบใหญ่ในอินเดีย</a></li>
</ul>
ปัจจุบัน น้ำผลไม้ Natalie’s มีถึง 25 รสชาติด้วยกัน ตั้งแต่น้ำส้มเขียวหวานไปจนถึงน้ำมะนาวรสชาเขียว โดยวางจำหน่ายใน 42 ประเทศ และซูเปอร์มาร์เก็ต 5 พันแห่งทั่วสหรัฐฯ ซึ่งยังรวมถึงน้ำผลไม้ที่รับผลิตให้เชนร้านอื่นๆ โดยเฉพาะด้วย เช่น Pret A Manger และมียอดขายในปีที่แล้วถึง 7 ล้านแกลลอน ทำเงินได้แตะ 60 ล้านเหรียญ


<figure><img class="wp-image-12693 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/sexton04.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ขวดแห่งความบริสุทธิ์ : ผสมไปด้วยผลไม้ ดอกแดนดิไลออน และขิง ถูกลำเลียงออกจากสายพานการผลิต</figcaption></figure>
แล้วลูกรักนี้มีมูลค่าเท่าไร ถ้าลองคิดว่ากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีของ Natalie’s นั้น ใกล้เคียงกับ 13% ที่ Pepsi ได้จากธุรกิจ Tropicana และยอดขายน้ำอัดลมในอเมริกาเหนือแล้วล่ะก็ ลองคิดด้วยว่า หากผู้ซื้อจะจ่ายกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีหลายเท่าพอๆ กับที่จ่ายให้ Pepsi เช่นนั้นแล้ว ถังสเตนเลสสตีล 2 ถังแรกนั้นซึ่งก็ยังคงใช้งานอยู่ ก็ได้เติบโตเป็นสินทรัพย์มูลค่าเกือบๆ 140 ล้านเหรียญไปแล้วเท่านั้นเอง
Sexton ไม่เคยเกรงกลัวเลยที่จะปฏิเสธลูกค้า ซึ่งต้องการให้ใส่วัตถุกันเสียในน้ำผลไม้ที่เธอรับผลิตให้ เธอยกเลิกไลน์การผลิตไอศกรีมน้ำผลไม้ที่ต้องเติมสารเพิ่มความหนืด เพื่อป้องกันการจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งในตู้แช่แข็ง เธอเป็นนักสมบูรณ์แบบที่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ทว่า นั่นก็เป็นบทเรียนราคาแพงเช่นกัน เมื่อปี 2001 เธอตัดสินใจขาย Natalie’s ให้กับบริษัทไพรเวทอีควิตี North Castle Partners ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจากการลงทุนใน Equinox และ Jenny Craig “พวกเขาบอกว่าฉันทำได้ดีแล้ว แต่ฉันพาบริษัทไปไกลกว่านั้นไม่ได้หรอก ในขณะที่พวกเขาอ้างว่าเขาทำได้” Sexton กล่าวพร้อมกับส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “พวกเขาทำเอาฉันเสียศูนย์ไปเลย”
North Castle ยังซื้อบริษัทน้ำผลไม้อื่นๆ อีก 4 แห่งในขณะนั้น ซึ่งรวมถึง Saratoga Beverage Group และ Naked Juice ในตอนนั้น Sexton ยังนึกว่ากลุ่มผู้บริหารระดับสูงใน Natalie’s (3 คนในนั้นเป็นพี่ชายของเธอ) จะยังได้ทำงานเป็นผู้บริหารเหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลับรวมกิจการทั้งหมดเข้าด้วยกันภายใต้เจ้านายใหม่ที่ซื้อตัวมาจาก Tropicana
แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร ไม่ดีเอาเสียเลย North Castle ตัดสินใจขาย Natalie’s ทิ้งในราคาขาดทุนเมื่อปี 2003 แต่ก็ชดเชยด้วยกำไรที่ได้จากการขาย Naked Juice ให้ Pepsi
ผู้ก่อตั้ง North Castle อย่าง Chip Baird ให้เหตุผลเอาไว้ว่า การผนึกกำลังส่วนหน้านั้นพิสูจน์มาแล้วว่ายากที่จะประสบความสำเร็จ และเศรษฐกิจก็ยังเผชิญภาวะถดถอยในช่วงต้นปี 2001 อีกทั้งความต้องการของนักลงทุนสถาบันก็ยังลดลง North Castle จึงใช้เวลาไม่นานตัดสินใจได้ว่ากลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้ผลและต้องถอนตัวออกมา

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/chabaa.html">CHABAA ฮึดสู้ตลาดน้ำผลไม้หด ส่ง “น้ำแตงโม” รับเทรนด์สุขภาพ ดันยอดขายปีนี้ 2,600 ล้านบาท</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h2>เริ่มต้นปฏิบัติการกู้ชีพ</h2>
จากนั้น เจ้าของรายต่อมาซึ่งเป็นบริษัทผลไม้แห่งหนึ่งใน Fort Pierce ได้จ้าง Sexton ให้กลับเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในปี 2003 และอีก 2 ปีต่อมาก็เสนอขายหุ้น 50% ให้เธอในราคาถูก (แต่ Sexton ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงข้อตกลงนั้น) “มันเละเทะมาก ฉันจึงต้องเข้าไปแก้ไข” Sexton กล่าว และในที่สุดแล้ว Sexton และครอบครัวก็ซื้อหุ้นที่เหลือกลับมาทั้งหมดในปี 2006
Sexton จัดการออกแบบโลโก้ใหม่และทุ่มเงิน 5 ล้านเหรียญไปกับเครื่องจักร รวมทั้งซื้อที่ดินพร้อมโกดังรวมพื้นที่ 11 เอเคอร์ในราคา 3 ล้านเหรียญ


<figure><img class="size-full wp-image-12692" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/sexton03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Marygrace Sexton และลูกสาว Natalie ทายาทที่จะสืบทอดกิจการของเธอ</figcaption></figure>
เมื่อปีที่แล้ว Natalie Sexton ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อบริษัทตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน และได้เข้ามาทำงานกับบริษัทเมื่อปี 2012 ได้พัฒนาไลน์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพขึ้นมาใหม่ โดยมีการออกเครื่องดื่ม 3 รสชาติใหม่ในเดือนมีนาคมที่ใช้วัตถุดิบซึ่งไม่เคยใช้มาก่อนอย่าง ขมิ้น อัลเดอร์-เบอร์รี และดอกเสาวรส
“ธุรกิจเครื่องดื่มกำลังเดินมาถึงจุดอิ่มตัวและมีการแข่งขันสูงมาก หลายๆ แบรนด์ผลิตน้ำผลไม้ที่อ้างว่าสะอาดหรือดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าคุณได้อ่านฉลากก็จะรู้เลยว่ามันไม่จริง เราจะเป็นทางเลือกของน้ำผลไม้แท้ท่ามกลางตลาดน้ำผลไม้กระป๋อง” Natalie ซึ่งเป็นรองประธานฝ่ายการตลาดกล่าว
ถึงแม้ว่า Sexton จะวางแผนสืบทอดธุรกิจเอาไว้แล้ว และทายาทของเธอก็เตรียมพร้อมที่จะเปิดตัวสินค้าไลน์แรกกับบริษัท แต่เธอก็ยังยืนยันว่าจะไม่มีวันเกษียณอย่างแน่นอน
“คุณจะต้องแน่วแน่และซื่อสัตย์กับสิ่งที่คุณเป็น” เธอกล่าวและย้ำทิ้งท้ายด้วยว่า “ถ้าเผื่อว่าที่ผ่านมามันยังไม่ชัดเจนพอ ฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า บริษัทนี้ไม่ได้มีไว้ขาย”
&nbsp;

&nbsp;
เรื่อง: Chloe Sorvino เรียบเรียง: นันทิยา วรเพชรายุทธ


<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/1969cee6-51e1-4127-a766-351d15a867b8">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มของ “การเริ่มต้นอย่างสดใหม่ของ Marygrace Sexton ในบริษัทน้ำส้มที่เกือบดิ่งเหว” ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มิถุนายน 2562 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/1969cee6-51e1-4127-a766-351d15a867b8"><img class="alignnone wp-image-8479" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/cover-june.jpg" alt="" width="312" height="408" /></a>

การเริ่มต้นอย่างสดใหม่ของ Marygrace Sexton ในบริษัทน้ำส้มที่เกือบดิ่งเหว

<h2 class="p1">CHABAA ตอกย้ำเทรนด์รักสุขภาพ เปิดตัว “น้ำแตงโม” ฮึดสู้มาตรการภาษีน้ำตาล หวังดันยอดขายแตะ 2,600 ล้านบาท เดินหน้าเจาะตลาดไทยทุกช่องทาง</h2>
นริศรา กุลปิยะวาจา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ชบาบางกอก จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผลไม้ แบรนด์ชบา หรือ CHABAA เปิดเผยว่า จากภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในประเทศไทยปี 2561 ที่ลดลงถึง 14% ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการการขึ้นภาษีน้ำตาลของรัฐ ทำให้บางแบรนด์ผลักภาระให้ผู้บริโภค ด้วยการขึ้นราคาสินค้า ขณะที่ชบามีการปรับตัวและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปีที่ผ่านมามียอดขาย 2,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 12% โดยมีกำไรอยู่ที่ 6%
“ปีที่ผ่านมา ยอดขายเรามาจากตลาดในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50% โดยลูกค้าของเราในต่างประเทศมีกว่า 30 ประเทศทั่วโลก แต่หลักๆ คือ ญี่ปุ่น จีน และกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ส่วนในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าสัดส่วนตลาดในประเทศและต่างประเทศน่าจะเท่ากับปีก่อน โดยมองถึงการขยายตลาดไปที่ประเทศแถบเอเชียกลาง อย่างอินเดีย ปากีสถาน เป็นต้น”
นริศรา กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการดันยอดขายของบริษัทฯ คือ การเปิดตัวสินค้าใหม่ เพราะในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูง และทุกแบรนด์ต่างยืนยันในคุณภาพของสินค้าของตนเองในรูปแบบเดียวกัน เช่น เป็นน้ำผลไม้คั้นสด ใช้ผลไม้คุณภาพดี ดังนั้น มองว่า สิ่งเดียวที่จะสามารถดึงตลาดให้มาสนใจเราได้มากที่สุดได้คือสินค้าใหม่ และต้องเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพด้วย เพราะคนที่บริโภคน้ำผลไม้ส่วนมากจะหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น
“ในปีนี้ ชบาเปิดตัวสินค้าใหม่ในไทยคือ น้ำแตงโม เพราะเรามองว่าหากพูดถึงเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแล้ว 3-4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าตลาดทำน้ำมะพร้าวเยอะ เพราะน้ำมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งพอคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ก็อยากได้อะไรที่ไม่ปรุงแต่ง และมาจากธรรมชาติมากที่สุด โดยน้ำมะพร้าวมีประโยชน์และมอบความสดชื่นได้ดี ทำให้เทรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันมองว่าคนเริ่มเบื่อน้ำมะพร้าวแล้ว เราจึงเริ่มมองหาสินค้าตัวใหม่เข้าสู่ตลาดบ้าง ซึ่งผลไม้อีกหนึ่งตัวที่ดีเท่าๆ กับน้ำมะพร้าวคือน้ำแตงโม เนื่องจากแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำมาก ช่วยให้สดชื่น มีวิตามินและแร่ธาตุใกล้เคียงกับน้ำมะพร้าว ที่สำคัญคือมีไลโคปีน (lycopene) เพิ่มขึ้นมา ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง”


<figure><img class="size-full wp-image-8378" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/chabaa02.jpg" alt="" width="734" height="490" /><figcaption> น้ำแตงโม แบรนด์ CHABAA พร้อมจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟเว่นปลายเดือนมิถุนายนนี้</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>จากสินค้าขายดีในญี่ปุ่นสู่ตลาดไทย</h2>
ผู้จัดการทั่วไป CHABAA กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน จากการที่เราพูดคุยกับดิสทริบิวเตอร์ที่ญี่ปุ่นถึงแนวโน้มเครื่องดื่ม ซึ่งพบว่าคนญี่ปุ่นค่อนข้างเชื่อในสรรพคุณของแตงโม บริษัทฯ จึงเปิดตัวน้ำแตงโมและวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปีก่อน และเป็นรายแรกๆ ที่ทำน้ำแตงโมจำหน่ายในญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความนิยมจนติดอันดับ 1 ใน 5 น้ำผลไม้ที่ขายดีที่สุดในซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็มีการขยายตลาดในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปีนี้น้ำแตงโมที่ญี่ปุ่นยังได้รับการตอบรับที่ดี แต่บริษัทฯ ก็มีแผนที่สร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้าในช่วงฤดูร้อนนี้ด้วย summer edition เป็นน้ำแตงโมเหลือง
“เทรนด์สุขภาพในไทยยังมีกระแสอยู่ ปีนี้เลยตัดสินใจลองวางจำหน่ายน้ำแตงโมในประเทศไทยดู โดยจะเริ่มขายในเซเว่นอีเลฟเว่นปลายเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับดี และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดันยอดขายให้เราได้ ส่วนอีกผลิตภัณฑ์ที่วางแผนเปิดตัวในไทยปีนี้คือน้ำแตงโมผสมกลิ่นมิ้นท์ ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้มากขึ้น”

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89.html">เปิดแผนธุรกิจ “เซ็ปเป้” จับมือพันธมิตร-SMES พัฒนาสินค้าสู่ตลาดโลก ดันเป้าปีนี้โต 30%</a></li>
</ul>
นริศรา กล่าวว่า ขณะที่สินค้าอีกแบรนด์ของบริษัทฯ คือ Qizz ซึ่งเป็นเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมโซดาที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปีก่อน 4 รสชาติด้วยกัน คือ ส้ม แอปเปิล เลมอน และแบล็คเคอร์แรนท์ เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความซ่า สดชื่น แต่ไม่อยากดื่มน้ำอัดลมแบบเดิม โดยถึงแม้ยอดขายจะไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างน้ำสีทั่วไป และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายการตลาดของเราต้องทำการบ้านให้มากขึ้น แต่มองว่ายังมีแนวโน้มอยู่ เนื่องจากกลุ่ม buyer ยังไม่ถอย โดยในปีนี้จะเปิดตัวรสชาติใหม่คือรสลิ้นจี่


<figure><img class="size-full wp-image-8379" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/chabaa03.jpg" alt="" width="734" height="490" /><figcaption> เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมโซดา Qizz รสลิ้นจี่</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>ขยายช่องทางจำหน่าย รุกกลุ่มโรงเรียน</h2>
“สำหรับ CHABAA ในไทยอาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก เพราะเริ่มธุรกิจจากการส่งออก มีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าไทยบ้าง แต่จุดประสงค์เพื่อให้ลูกค้าชาวต่างชาติมาเห็น ไม่มีการทำ branding จริงจัง แต่พอเราเข้ามา เราเห็นช่องในตลาดไทยอยู่ ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่เราจะวางขายในเซเว่นอีเลฟเว่น และเพิ่มการวางจำหน่ายใน convenient store มากขึ้น นอกจากนี้ แนวทางเพิ่มช่องทางการขายอื่นของเราคือการเข้าไปวางจำหน่ายในโรงเรียนด้วยตู้ vending machine เนื่องจากหลายโรงเรียนเริ่มห้ามจำหน่ายน้ำดำและน้ำสี ทำให้น้ำผลไม้มีโอกาสมากขึ้น รวมถึงปีนี้ยังเริ่มขยายช่องทางไปในกลุ่ม snack box ตามงานอีเว้นท์ต่างๆ และบนรถทัวร์ด้วย”
นริศรา กล่าวอีกว่า ถึงแม้มูลค่าตลาดเครื่องดื่มน้ำผลไม้ในปีนี้ จะมีแนวโน้มลดลง เพราะภาษีน้ำตาลและเทรนด์สุขภาพ หลายแบรนด์ก็หันไปทำน้ำเปล่ามากขึ้น ส่วน CHABAA ต้องปรับตัวมากขึ้น เช่น การลดปริมาณน้ำตาล หรือการหันมาหาเครื่องดื่มสุขภาพมากขึ้น เช่น แตงโม ก็เป็นน้ำที่มีน้ำตาล 7 กรัม ต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร น้อยกว่าน้ำมะพร้าวที่มีน้ำตาล 10 กรัมในปริมาตรเท่ากัน
“ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต้องปรับตัวในเรื่องภาษีน้ำตาล และเป็นช่วงที่ต้องสร้างความเข้าใจแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความหวานในน้ำผลไม้ ที่เป็นความหวานจากธรรมชาติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา”
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events