<h2>เพราะต้องการผลิตยาที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม ลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศ ปี 2526 เภสัชกรกลุ่มหนึ่งจึงร่วมกันจัดตั้งบริษัทเพื่อผลิตยาและจำหน่ายให้กับสมาชิก ทว่าความที่ไม่ใช่นักธุรกิจเมื่อกิจการขยายตัวถึงระดับหนึ่งก็ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ จำเป็นต้องมีมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2546 เภสัชกร (ภก.) สุรชัย เรืองสุขศิลป์ ได้รับการติดต่อให้ทำหน้าที่คัดสรรทีมผู้บริหาร ทว่าภายในเวลา 1 ปีเปลี่ยนทีมถึง 3 ชุด ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาและผลักดันให้บริษัทเติบโตทำกำไรได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ยิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งทรุด ผมคิดว่าจะปล่อยให้พังทลายไม่ได้เพราะบริษัทเป็นที่ยอมรับของวงการวิชาชีพ เลยคิดว่าต้องมาทำด้วยตนเอง...ผมเข้ามาช่วยปรับปรุงเรื่องการตลาด กำหนดทิศทางของบริษัท สร้างยุทธศาสตร์โดยเป็นผู้บริหารนับแต่ตอนนั้น ขณะเดียวกันมีกรรมการบริษัทช่วยคิด สนับสนุน ให้แนวทาง ทำให้บริษัทมีทิศทางชัดเจน” ภก. สุรชัย เรืองสุขศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชุมชนเภสัชกรรม จำกัด (มหาชน) (CHUMCHON) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นที่เข้ามาเป็นผู้บริหารที่นี่<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/sHFh3n8ZHtDepkW5o6a3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="sHFh3n8ZHtDepkW5o6a3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,380" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรชัยเรียนจบคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ต่อมาลาออกและเปลี่ยนบทบาทเป็น “เภสัชกรชุมชน” ทำธุรกิจร้านขายยาส่วนตัว 6 ปี และวางมือลงเพื่อมากอบกู้กิจการแห่งนี้ ความจริงเขาก็ไม่ใช่คนนอก ตอนที่เรียนจบเป็นจังหวะเดียวกับที่มีการจัดตั้งบริษัทและเขาตั้งปณิธานว่าต้องร่วมลงหุ้นด้วยเพื่อตอบแทนวิชาชีพที่ร่ำเรียนมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปี 2529 ผมซื้อ 100 หุ้น ซึ่งมันเล็กมาก พอเป็นลักษณะนั้นเขาควานหาจากทั้งหมดว่าใครมีความสามารถมาช่วยพยุงเรือลำนี้ไม่ให้พังทลายลงไป ผมก็ติดชื่อ เขาบอกว่าหุ้นเล็กใหญ่ไม่เป็นไรมาช่วยกัน ก็เป็นความตั้งใจว่าจะมาช่วยวิชาชีพ แต่พอเข้ามาแล้วจำเป็นต้องบริหารจัดการ ถ้ามีหุ้นน้อยบริษัทไม่สามารถเดินตามทิศทางของคนไม่มีส่วนได้เสีย ผมก็เลยขอซื้อหุ้นจากท่านเดิมๆ ผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ท่านขายให้...นั่นเป็นเหตุผลว่าจากผู้ถือ 100 หุ้นกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากจุดเริ่มต้นที่เกิดจากการร่วมระดมทุนของเภสัชกร 300-400 ราย ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นถึง 700 ราย&nbsp;นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 จึงเกิดร้านขายยากระจายไปทั่วประเทศ เพื่อต่อรองราคายาให้มีราคาถูกลง เภสัชกรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันจึงร่วมแรงร่วมใจกันรวมกลุ่มโดยใช้ชื่อว่า&nbsp;“เภสัชกรชุมชน” ในสังกัดเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และเริ่มกิจกรรมยายี่ปั๊วเพื่อบริการแก่สมาชิกของกลุ่มในราคาถูก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ยาที่ต้องการยาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมจึงก่อตั้งบริษัทผลิตยาเองร่วมกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เภสัชกรเปิดร้านขายยาอยู่แล้ว อยากมียาผลิตในไทยไว้ใจได้ ไม่ต้องพึ่งพิงยาต่างประเทศ ตรงนี้ทำให้เกิดอุตสาหกรรมมีคุณภาพและทำให้เจ้าของร้านมั่นใจว่าจ่ายยาแล้วรักษาได้ ในอดีตไม่มีเกณฑ์วัดคุณภาพยาเหมือนปัจจุบันจึงสร้างโรงงานขึ้นมา คน 300-400 คนรวมตัวกันคนละนิดละหน่อย หาซื้อที่ดินสร้างโรงงาน จนมีโรงงานและผลิตภัณฑ์จำหน่าย"<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/CTsco65B2B9JNkpJbZ6Q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CTsco65B2B9JNkpJbZ6Q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เดิมประเทศไทยพึ่งยาจากบริษัทข้ามชาติเท่านั้น ยาผลิตในประเทศไม่ได้มีเกณฑ์มาตรฐานบังคับเต็มที่ต้องหาคนที่วางใจได้ว่าจะทำให้ดีที่สุด เกิดสถานผลิตยาที่น่าเชื่อถือยาที่โดดเด่นคือยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อ เนื่องจากทุกคนเป็นเภสัชกรไม่มีความสามารถ ด้านการค้าเชิงบริหารจัดการ การแข่งขัน หรือวางยุทธศาสตร์ ตอนนั้นรู้แต่ว่าอยากทำของดีแล้วแบ่งๆ กันไป แต่มันไม่พอ ถ้าอยู่ในลักษณะนี้บริษัทไม่มีความแข็งแรง ไม่สามารถพัฒนาต่อได้ ไม่มีคนรุ่นใหม่อยากเข้ามา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรชัยรับตำแหน่งเป็นผู้นำบริษัทในปี 2547 ขณะนั้นบริษัทมีรายได้ประมาณ 80-90 ล้านบาท รายได้หลักมาจากการรับจ้างผลิตให้กับองค์การเภสัชกรรมและรายย่อยอื่นๆ อีก 6-7 ราย คิดเป็นสัดส่วน 60% ส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทจำหน่ายให้กับร้านขายยาของกลุ่มผู้ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 40% ซึ่งเขาประเมินแล้วว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้มีความเสี่ยง หากคู่ค้าเลิกจ้างรายได้จะหายไปครึ่งหนึ่งทันที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ยอดขายพอมี แต่ไม่มียุทธศาสตร์ ทิศทาง (เดิม) บริษัทมีคนเกี่ยวข้อง 300-400 คน เท่ากับว่ามี shop เท่านั้น แต่วันนี้กระจายไป 4,000-5,000 shop ก็ 10 เท่าแล้ว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2566 บริษัทมีรายได้ 721 ล้านบาท กำไรสุทธิ 52 ล้านบาท สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 850 ล้านบาท และ1 พันล้านบาทในปี 2568 ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ CHUMCHON ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/forbes-life-people/kantaphong-thongrong-traveller-doctor-pyong" alt="นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ จากเพจท่องเที่ยวสู่คลินิกบนห้างหรู">นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ จากเพจท่องเที่ยวสู่คลินิกบนห้างหรู</a>​ <a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="300,394" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="2"></a></figure></div>

สุรชัย เรืองสุขศิลป์ ขับเคลื่อนความฝันเภสัชกรไทย

<h2>บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล หรือ TMAN ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่อยู่ในไทยมากว่า 50 ปี เข้า IPO และเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรกราคาบวกสูงสุด 18.4% จาก 16.30 บาท/หุ้น สู่ระดับ 19.30 บาทต่อหุ้น เผยแผนขยายตลาดต่างประเทศบุกเอเชีย จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้กลุ่มนี้ราว 10% ของทั้งหมด </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หรือ TMAN กล่าวว่า การนำหุ้น TMAN เข้าซื้อขายวันแรก (22 ต.ค. 67) ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ได้รับความสนใจทั้งจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย โดยยังเชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตเหนืออุตสาหกรรม ที่เติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี ซึ่งมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมยาไทยอยู่ที่ราว 200,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ภายใต้สินค้ากว่า 800 SKUs ของบริษัท พบว่าสัดส่วนรายได้หลักจะมาจากธุรกิจยาราว 50% อาหารเสริมและเครื่องสำอาง 30% สมุนไพร 20% ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดเอเชียอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันสร้างรายได้ในสัดส่วน 10% ของรายได้ทั้งหมด ผ่านการกระจายสินค้ากลุ่ม Healthcare ก่อนในช่วงแรกเพื่อนำร่องในตลาด หลังจากนั้นจะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาต่อไป โดยจะชูผลิตภัณฑ์ Propoliz เจาะตลาดในเอเชียเป็นหลัก<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/APzuiTgPLEYS3U6bMAxt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="APzuiTgPLEYS3U6bMAxt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,468"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สาเหตุที่ใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Healthcare นำร่องตลาดเพราะสามารถขอขึ้นทะเบียนได้ง่าย และสามารถต่อยอดแบรนด์สู่ผลิตภัณฑ์ยาได้ง่าย ซึ่งในแต่ละปีจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ราว 8-12 ผลิตภัณฑ์ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันบริษัทฯ ได้กระจายสินค้าในหลายประเทศ ทั้ง กัมพูชา ฮ่องกง มาเลเซีย รวมถึงประเทศจีน ผ่นการพัฒนายารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เเละกลุ่มยารักษาโรคทางเดินหายใจ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งเป็นห่วงโซ่ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมยา โดยปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีแบรนด์ทั้งสิ้นกว่า 226 แบรนด์ รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM/ODM) และธุรกิจรับจัดจำหน่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจ โดยระยะสั้นถึงกลางได้วางงบลงทุนไม่เกิน 777.5 ล้านบาท แบ่งเป็น&nbsp; &nbsp; 1) โครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร 8 โครงการ มูลค่าลงทุนไม่เกิน 298.5 ล้านบาท เช่น พัฒนาประสิทธิภาพการผลิตผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่ม, ระบบการขาย เป็นต้น&nbsp; &nbsp; 2) บริษัทฯ มีโครงการลงทุนในอนาคตอีก 5 โครงการตามแผนการขยายธุรกิจ มูลค่าลงทุนไม่เกิน 479.0 ล้านบาท เช่น การก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่, ปรับปรุงพื้นที่การผลิตยาแผนปัจจุบัน เป็นต้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bbl-q-3-2024" alt="แบงก์กรุงเทพเผย 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท โต 6.2%YoY ผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังโต"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-q-3-oct-2024" alt="กรุงศรีเผยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ 23,424 ล้านบาท ลดลง 7% เหตุตั้งสำรองรับความเสี่ยงหนี้"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kbank-q-3-oct-2024" alt="ธ. กสิกรไทย เปิดงบ 9 เดือนแรกปี 2567 กำไรสุทธิพุ่ง 38,104 ล้าน ขยายตัว 15.41%YoY"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/people/fabulous-40s-and-50s/prapol-thanachotipan-tman" alt="ประพล ฐานะโชติพันธ์ TMAN สกัดยาชิงธงแบรนด์โลก">ประพล ฐานะโชติพันธ์ TMAN สกัดยาชิงธงแบรนด์โลก</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

TMAN ธุรกิจยาไทยอายุกว่า 50 ปี เข้าเทรด IPO วันแรกบวก 18.4% เปิดแผนบุกตลาดเอเชียด้วย Healthcare

ประพล ฐานะโชติพันธ์ TMAN สกัดยาชิงธงแบรนด์โลก

'Mankind Pharma' ก้าวที่ยิ่งใหญ่ของธุรกิจยาในอินเดีย

<h2>Adar Poonawalla เดิมพันครั้งใหญ่ว่า Serum Institute of India ของตระกูลเขาจะเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้</h2>
เมื่อโคโรนาไวรัสระบาดหนักทั่วโลกในช่วงต้นปี 2020 Adar Poonawalla ซีอีโอของ Serum Institute of India ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดในโลก (เมื่อวัดจากจำนวนโดสที่ผลิตและขาย) ต้องชั่งใจระหว่างตัวเลือกคือ “ไม่ทำอะไรเลยแล้วรอดูว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร หรือจะยอมเสี่ยงแล้วขึ้นไปวิ่งนำหน้า”

<img class="alignnone size-full wp-image-43043" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/Serum-Institute_003.jpg" alt="" width="400" height="600" />

ซีอีโอวัย 39 ปีเลือกแบบหลัง และเร่งกระหน่ำทำข้อตกลงจนบริษัทเอกชนแห่งนี้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าในการแข่งขันพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก เขาเล่าเรื่องนี้ผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจากสำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมือง Pune ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 สำหรับบทความนี้ โดย Cyrus Poonawalla พ่อของเขาซึ่งมีทรัพย์สิน 1.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นผู้ก่อตั้ง Serum Institute เมื่อปี 1966 และปัจจุบันยังเป็นประธานกรรมการ

Serum Institute จับมือกับพันธมิตร 5 รายในช่วงราวครึ่งปีแรกของปี 2020 เพื่อจะเอาชนะไวรัสให้ได้ บริษัททำข้อตกลงครั้งใหญ่ที่สุดกับ AstraZeneca เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยยักษ์ใหญ่แห่งวงการเภสัชกรรมจากสหราชอาณาจักรให้สิทธิ์ Serum Institute เป็นผู้ผลิตวัคซีนชื่อ AZD1222 ซึ่งน่าจะใช้ได้กับโควิด-19 จำนวน 1 พันล้านโดส และจะส่งมอบได้ 400 ล้านโดสในปี 2020 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่น ปัจจุบัน Serum Institute ผลิตวัคซีนได้กว่า 1.5 พันล้านโดสต่อปี

วัคซีนโควิดตัวนี้สร้างขึ้นจากการนำไวรัสหวัดในลิงชิมแปนซีมาดัดแปลงพันธุกรรม โดยนักวิจัยของ University of Oxford เป็นผู้เริ่มต้นพัฒนา และ AstraZeneca ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่าย “เราเป็นรายเดียว [ในอินเดีย] ที่มีกำลัง [การผลิต] มากพอ” Poonawalla กล่าว บริษัทจะขายวัคซีนครึ่งหนึ่งในอินเดียโดยใช้ชื่อแบรนด์ Covishield ส่วนอีกครึ่งหนึ่งบริษัทตัดสินใจว่าจะขายให้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา

AstraZeneca เริ่มการทดสอบทางคลินิกขั้นสูงกับอาสาสมัครหลายหมื่นคนในบราซิล แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ส่วน Serum Institute เริ่มต้นการทดสอบของบริษัทเองกับอาสาสมัคร 1,600 คนทั่วอินเดีย และสละโรงงานผลิต 3 โรงที่มีเพื่อเริ่มผลิตวัคซีนกว่า 60 ล้านโดสต่อเดือน และมีแผนจะเร่งผลิตให้ได้ถึง 100 ล้านโดสต่อเดือนภายในเดือนธันวาคม ปี 2020 แม้การทดสอบในหลายประเทศรวมถึงอินเดียจะต้องชะงักไปชั่วคราวหลังจากอาสาสมัครรายหนึ่งป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุในการทดสอบที่สหราชอาณาจักรเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นก็เริ่มทดสอบต่อได้

“ถ้าการทดสอบไม่ถูกสั่งหยุด เราคงเริ่มปล่อยวัคซีนได้ในช่วงต้นปี 2021 เรื่องนี้ทำให้งานเราสะดุดมาก” Poonawalla กล่าว เขาประเมินว่าการทดสอบอาจยืดไปจนถึงเดือนมกราคม ปี 2021 “เรากำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป”

Poonawalla ป้องกันความเสี่ยงให้การวางเดิมพันของเขาโดยการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ตัวอื่นๆ ร่วมด้วย “เราร่วมงานกับพันธมิตรอีกหลายรายทั้งในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยุโรป เพื่อหาวัคซีนที่น่าจะได้ผลอีก 4 ตัว” เขากล่าว “เราไม่เหมาเอาเองว่าวัคซีนแค่ตัวเดียวจะได้ผล การผลิตวัคซีนก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะ ผลลัพธ์มันเหวี่ยงไปมาได้ทุกทาง เราต้องอดทนรอจนกว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมา”

<img class="alignnone size-full wp-image-43041" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/Serum-Institute_001.jpg" alt="" width="600" height="400" />

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา Serum Institute จับมือกับ Codagenix บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการทดสอบทางคลินกิ จากรัฐ New York เพื่อร่วมกันพัฒนาวัคซีนโควิด-19 แบบพ่นจมูก ในขณะเดียวกันบริษัทก็กำลังร่วมงานกับบริษัทยายักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Merck เพื่อพัฒนาวัคซีนอีก 1 ตัวด้วยการดัดแปลงไวรัสโรคหัดให้เป็นพาหะ นำแอนติเจนของโคโรนาไวรัสเข้าสู่ร่างกาย

ตลาดอินเดียซึ่งเป็นบ้านของ Serum Institute กำลังต้องการวัคซีนด้วยความเจ็บปวด เพราะอินเดียมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 6 ล้านราย (สถิติผู้ติดเชื้อในเดือนตุลาคมปี 2020) มากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และมีผู้เสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อกว่า 100,000 ราย

โรคระบาดครั้งนี้ไม่ใช่แค่วิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข แต่ยังทำให้เศรษฐกิจอินเดียหดตัว 24% เมื่อเทียบกับปี 2019 ในไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2020 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม

Serum Institute มองไปไกลกว่าการผลิตวัคซีน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทแห่งนี้ได้จับมือกับ Mylab Discovery Solutions บริษัทด้านการวินิจฉัยระดับโมเลกุล ในเมือง Pune เพื่อจะขยายไปผลิตชุดตรวจโควิด-19 ด้วย “เราคิดกันตลอดเวลาว่าจะช่วยปลดล็อกเศรษฐกิจได้อย่างไร เพราะถึงรอไปอีกปี วัคซีนก็อาจจะมาหรือไม่มาก็ได้” Poonawalla กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-43042" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/Serum-Institute_002.jpg" alt="" width="600" height="400" />

Serum Institute วางแผนจะกดต้นทุนวัคซีนโควิด-19 ในอินเดียไม่ให้เกิน 3 เหรียญต่อโดส แต่ Poonawalla ก็ยอมรับว่าต้นทุนอาจสูงกว่านี้เล็กน้อยเมื่อได้รับอนุมัติทุกอย่างแล้ว เขากล่าวว่า รัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะกระจายวัคซีนประมาณ 2.8 พันล้านโดส (ต้องฉีด 2 โดสต่อคน) ไปทั่วประเทศอย่างไรจึงจะดีที่สุด

แต่หวังว่ารัฐบาลจะช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ประชาชน เขากล่าวว่า “เราไม่เรียกร้องเงินจากรัฐบาลเลยสำหรับการอุทิศโรงงานผลิตทั้งหมด รวมทั้งกำลังคนค่าพลังงาน และอื่นๆ แต่เราขอแค่ให้ซื้อวัคซีนไปแจกฟรีให้ทุกคนเพื่อให้ประชาชนชาวอินเดียไม่ต้องจ่ายเงินซื้อวัคซีนโควิด-19”

“ที่ผ่านมางานของ Serum Institute และผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ ธุรกิจวัคซีนไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่าหรือกล่าวถึงเหมือนรถยนต์หรือสินค้าอุปโภคบริโภค” เขากล่าว “แต่ตอนนี้ผู้คนเห็นแล้วว่า การผลิตและวิจัยวัคซีนสำคัญต่อมนุษยชาติมากแค่ไหน”

<img class="alignnone size-full wp-image-43046" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/Screen-Shot-2564-03-20-at-5.20.52-PM.png" alt="" width="554" height="623" />

<hr />

<a href="https://bit.ly/300vXh9">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="lazy lazy-loaded alignnone wp-image-42257" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2.png" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/ปกกุมภา.png" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/ปกกุมภา.png 439w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/ปกกุมภา-228x300.png 228w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

Serum Institute แห่งอินเดีย ตั้งเป้าผลิตวัคซีนโควิดให้ต้นทุนต่ำ

<h2>ภาคเอกชนร่วมสู้โควิด-19 บริษัทต่างๆ และคนรวยจากทุกวงการกำลังช่วยกันชะลอการระบาดของไวรัสและหายารักษา</h2>
เฉกเช่นผู้ผลิตรถยนต์ที่หันไปผลิตรถถังและเครื่องบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกวันนี้ ไวรัสโคโรนา ทำให้บริษัทต่างๆ ปรับสายการผลิตของตนเพื่อใช้ผลิตตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ล้างมือฆ่าเชื้อ (LVMH) ไปจนถึงหน้ากากป้องกันระบบทางเดินหายใจ (Ford, GE) มหาเศรษฐีนักประดิษฐ์ James Dyson แห่งสหราชอาณาจักรประกาศว่า บริษัทเครื่องดูดฝุ่นของเขาจะเริ่มผลิตเครื่องช่วยหายใจ

ส่วนบริษัทผลิตยา BioNTech ของเยอรมนี ซึ่งมีฝาแฝดมหาเศรษฐี Thomas และ Andreas Struengmann เป็นผู้สนับสนุน กำลังร่วมมือกับ Pfizer และ Fosun Pharma เพื่อพัฒนาวัคซีน ซึ่งวัคซีนนี้เป็นหนึ่งในวัคซีนโควิด-19 ที่มีผู้พัฒนากันมากกว่า 12 ตัว ก็นับว่าฉลาด เพราะงานวิจัยของ Massachusetts Institute of Technology ชี้ว่า วัคซีนป้องกันโรคติดต่อมีโอกาสล้มเหลว 2 ใน 3

คุณไม่ต้องเป็นบริษัทข้ามชาติ หรือมีเจ้าของบริษัทเป็นมหาเศรษฐีพันล้านก็มาร่วมด้วยช่วยกันได้ บริษัทสตาร์ทอัพของอิตาลี Takis Biotech ที่มีพนักงาน 25 คนกำลังเร่งสร้างวัคซีน ในขณะที่ Carbon ซึ่งเป็นบริษัทการพิมพ์ 3 มิติในรัฐ California จะเริ่มแจกจ่ายชุดทดสอบ swabs และรายชื่อด้านล่างต่อไปนี้11 บริษัทที่อยู่แนวหน้ารบกับไวรัสโคโรนา

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-32827" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/01-abbvie-vector-logo.png" alt="" width="150" height="83" />
Abbvie

บริษัทมหาชนด้านเภสัชกรรมจากเมือง North Chicago กำลังร่วมมือกับหน่วยงานรัฐในสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และจีน เพื่อทดสอบการใช้ยาต้านเชื้อ HIV ชื่อ lopinavir/ritonavir ของบริษัทในการรักษาโควิด-19

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-32828" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/2-bioMérieux.png" alt="" width="150" height="83" />
biomérieux

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากฝรั่งเศส ซึ่งก่อตั้งโดยมหาเศรษฐี Alain Mérieux ได้รับอนุญาตในกรณีฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ สำหรับชุดตรวจตัวใหม่ที่ผลิตโดยบริษัทย่อย ซึ่งช่วยลดเวลาการตรวจหาเชื้อไวรัสให้เหลือ 45 นาที

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-32829 size-medium" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/3-CAnSino-biologiCS-300x177.jpg" alt="" width="300" height="177" />
Cansino biologics

บริษัทเภสัชภัณฑ์จากเมือง Tianjin ของจีน กำลังเริ่มทดลองทางคลินิกสำหรับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนแบบเดียวกับที่ใช้พัฒนาวัคซีนโรคอีโบลา


<img class="alignnone size-full wp-image-32830" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/4-CArbyne.jpg" alt="" width="399" height="126" />
Carbyne

เจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน 911 ในเมือง New Orleans ใช้เครื่องมือตอบสนองเหตุฉุกเฉินของสตาร์ทอัพจาก New York ซึ่งมีกองทุนร่วมลงทุนของ Peter Thiel เป็นผู้สนับสนุน เพื่อตรวจหาตำแหน่งที่อยู่ของผู้ป่วย โดยตรวจสอบจากภาพวิดีโอคอลของผู้ที่โทรมาแจ้ง

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-32831" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/5-Cure-vAC.png" alt="" width="266" height="190" />
Cure vac

บริษัทของเยอรมันที่ได้ทุนจากมหาเศรษฐี Dietmar Hopp และมูลนิธิ Bill &amp; Melinda Gates อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาวัคซีน

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-32832" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/6-DiASorin.png" alt="" width="368" height="137" />
Diasorin

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติอิตาเลียนของมหาเศรษฐี Gustavo Denegri ได้รับอนุญาตในกรณีฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ สำหรับชุดตรวจตัวใหม่ที่ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ใน 60 นาที

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-32833" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/7-eMergent-bioSolutionS.png" alt="" width="261" height="152" />
Emergent Biosolutions

บริษัทเภสัชภัณฑ์จากรัฐ Maryland กำลังพัฒนายารักษาซึ่งดัดแปลงมาจากแอนติบอดีที่พบในเลือดของผู้ที่มีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวก


<img class="alignnone size-full wp-image-32834" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/8-gileAD.png" alt="" width="305" height="165" />
Gilead

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพยักษ์ใหญ่จากรัฐ California เริ่มการทดลองทางคลินิกเมื่อเดือนมีนาคม สำหรับยาต้านไวรัส remdesivir ของบริษัท โดยทดสอบกับผู้ป่วยในสหรัฐฯ MAMMoth bioSCienCeS สตาร์ทอัพเทคโนโลยีชีวภาพจากเมือง South San Francisco ซึ่งก่อตั้งโดยผู้ที่เคยอยู่ในทำาเนียบ Forbes 30 Under 30 3 คน สร้างชุดตรวจชนิดเห็นผลเร็วเป็นตัวต้นแบบ โดยใช้เครื่องมือดัดแปลงยีนที่เรียกว่า CRISPR เพื่อตรวจหาโรค

<img class="alignnone size-full wp-image-32835" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/9-MoDernA.png" alt="" width="279" height="181" />

Moderna

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากรัฐ Massachusetts เป็นบริษัทแรกที่เริ่มทดลองวัคซีนในมนุษย์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ในเมือง Seattle

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-32836" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/10-regeneron-Ph-ArMACeutiCAlS.png" alt="" width="276" height="182" />
Regeneron Pharmaceuticals

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากหมู่บ้าน Tarrytown ใน New York ซึ่งบริหารโดยมหาเศรษฐี Leonard Schleifer และ George Yancopoulos กำลังนำยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ sarilumab ที่พัฒนาร่วมกับบริษัท Sanofi จากฝรั่งเศสมาทดลองรักษาผู้ป่วยโควิค-19 ใน New York

&nbsp;

<hr />

<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/312a837b-0af3-4945-9cac-b7be029798c7/june-2020">คลิกอ่านบทความด้านธุรกิจเพิ่มเติมได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-31977 lazy-loaded" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK-.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK-.jpg 2400w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK--229x300.jpg 229w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK--768x1008.jpg 768w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK--780x1024.jpg 780w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK-.jpg" data-lazy-srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK-.jpg 2400w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK--229x300.jpg 229w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK--768x1008.jpg 768w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/COVER-FORBES-85-OK--780x1024.jpg 780w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

11 บริษัทด่านหน้าท้ารบกับ ไวรัสโคโรนา

<h2>Leonard Schleifer ประณามความละโมบของบริษัทยาอื่นๆ แล้วยารักษาผื่นคันราคา 37,000 เหรียญสหรัฐฯ ของเขาล่ะ</h2>
Regeneron ต้องใช้เวลา 24 ปีจึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนคืนให้กับนักลงทุนที่ทุ่มทุนนับพันล้านเหรียญได้ และในเวลานี้บริษัทกำลังทำเงินได้ดีทีเดียว โดยในปีที่แล้วทำกำไร 1.2 พันล้านเหรียญจากยอดขายทั้งสิ้น 6 พันล้านเหรียญ ขณะที่ Wall Street ประเมินมูลค่าของบริษัทไว้ที่ 3.7 หมื่นล้านเหรียญ

Leonard Schleifer กับ George Yancopoulos นักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทร่วมกับเขานั้นต่างก็มีพื้นเพอยู่ในเขต Queens ทั้งสองทำเงินเข้ากระเป๋าได้มหาศาล โดย Schleifer รับไป 1.3 พันล้านเหรียญ ส่วนมากแล้วมาจากหุ้นใน Regeneron ขณะที่ Yancopoulos ได้ไป 900 ล้านเหรียญ ทำให้เขาเกาะกลุ่มหัวหน้านักวิจัยที่มีรายได้สูงสุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาเมื่อนับรวมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม Regeneron ซึ่งมูลค่าหุ้นลดลง 40% จากที่เคยทำราคาสูงสุดไว้ในปี 2015 ยังไม่สามารถทำผลงานได้ตามความคาดหมายเท่าที่ควร

Regeneron ป้อนยาเข้าสู่ตลาด 6 รายการ โดยที่ Yancopoulos มีส่วนร่วมในการผลิตทั้งหมด แต่มีเพียง Eylea เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ทำยอดขายทั่วโลกไปได้ปีละ 6 พันล้านเหรียญ โดยมี Bayer ซึ่งทำการตลาดนอกสหรัฐฯ ให้กับยาตัวนี้ ได้ส่วนแบ่งไปประมาณ 20% Eylea ทำรายได้คิดเป็น 80% ของรายได้รวมของ Regeneron อย่างไรก็ตาม ยาอื่นอีก 4 รายการถือเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย

<figure><img class="wp-image-1325" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Regeneron-CEO.jpg" alt="" width="800" height="597" /><figcaption> Leonard Shleifer ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Regeneron</figcaption></figure>

ในเวลานี้ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ Dupixent ยารักษาผื่นคัน และอาจช่วยรักษาอาการหอบหืดได้ด้วย วาณิชธนกิจอย่าง Leerink ประเมินว่า Dupixent อาจจะทำยอดขายได้ถึง 5 พันล้านเหรียญ แต่ยอดขาย Dupixent ในเวลานี้ยังคงน่าผิดหวังสำหรับหลายๆ คน “เราคิดว่าผู้บริหารน่าจะมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือกับพวกนักลงทุน” Dane Leone นักวิเคราะห์ประจำวาณิชธนกิจ BTIG กล่าว

Schleifer กับ Yancopoulos ไม่มีวันเสียสิทธิควบคุม Regeneron อย่างแน่นอน เพราะเขามีหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน แต่การจะทำให้ยา Dupixent เป็นที่นิยมได้นั้นจะต้องเผชิญแง่มุมลับทางการตลาดต่างๆ มากมายที่ทำให้ยาอื่นๆ ของ Regeneron โซซัดโซเซมาแล้ว

ในกระบวนการอันซับซ้อน นักพัฒนายาจะกำหนดราคายาตัวใหม่ๆ เอาไว้สูงลิบ จากนั้นจึงเข้าทำสัญญาส่วนลดกับคนกลางที่เรียกว่า ผู้จัดการผลประโยชน์ทางเภสัชกรรม เงินส่วนลดนี้จะนำไปจ่ายให้กับบริษัทประกันหรือนายจ้างที่ต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทประกัน เท่ากับว่าแผนประกันต่างๆ จะเอื้อประโยชน์ให้กับยาตัวหนึ่งมากกว่าอีกตัวหนึ่งด้วยเหตุผลด้านการเงิน Schleifer บอกว่า “ต้องตั้งระบบกันใหม่” ทั้งหมด แต่ตอนนี้ เขาจำต้องเล่นตามเกมไปก่อน

แง่มุมทางการตลาดที่ว่านั้น Schleifer อธิบายว่า “ผู้ป่วยกำลังโดนทำร้าย” ผู้ป่วยในแผนประกันที่ต้องรับผิดชอบส่วนแรกเป็นเงินที่สูงมากนั้นมักจะต้องจ่ายในราคาแนะนำ ขณะที่ผู้จัดการผลประโยชน์ของพวกเขาจะเก็บส่วนลดเอาไว้เพื่อนำไปส่งต่อให้กับนายจ้าง ไม่ใช่ให้กับผู้ป่วย Schleifer บอกด้วยว่า สิ่งนี้เองที่น่าจะทำให้เป็นเรื่องยากที่เขาจะลดราคายารักษาโรคข้อรูมาตอยด์ Kevzera (ยอดขายปีละ 13 ล้านเหรียญ) เพราะว่าบริษัทอื่นๆ ต้องจ่ายส่วนลดของผลิตภัณฑ์ตัวเองเป็นเงินมากมายเลยทีเดียว

ความแตกต่างระหว่างยาราคา 1 หมื่นเหรียญพร้อมส่วนลด 4,000 เหรียญ กับยาราคา 6,000 เหรียญ คือ ยาตัวแรกจะทำให้ผู้จัดการผลประโยชน์เอาไปโฆษณาได้ว่า เขาจะสามารถประหยัดเงินให้ได้และส่งเงินส่วนต่างนั้นกลับไปให้บริษัทที่ซื้อแผนประกันสุขภาพ “ผมอยากให้ระบบส่วนลดนี้หมดไป” Schleifer กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาต้องทนไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการให้ Dupixent แสดงผลงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

<figure><img class="wp-image-1324" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Regeneron-cover-web.jpg" alt="" width="800" height="419" /><figcaption> George Yancopoulos ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ Regeneron ต้องสวมรองเท้าหุ้มข้อเพราะอาการบาดเจ็บจากการเล่นบาสเกตบอล กีฬาที่มีความดุเดือดในตัว กับ Len Schleifer ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า Tarrytown ใน New York ที่เป็นห้องทดลองที่นำดีเอ็นเอของคน 5 แสนคนมาจัดเรียงกัน</figcaption></figure>

Dupixent อาจเป็นยาเปลี่ยนชีวิตสำหรับผู้ป่วยที่เป็นผื่นคันเรื้อรังได้เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ Stephen Orel ทนายความวัย 58 ปี จาก New York City สวมเสื้อสีขาวไม่ได้เลยเพราะเลือดจะซึมออกมาจากแผลตามผิวหนัง ร้านซักแห้งถึงกับไม่ยอมซักเสื้อผ้าให้เขาอีกต่อไป หลังจากที่ใช้ยา Dupixent มา 1 ปี เขาบอกว่าผิวของเขาไม่เหมือนผิวตัวเองเลย “ตอนนี้ผมรู้สึกเป็นไท” ผู้ป่วยจะต้องได้รับยา Dupixent ทุก 2 สัปดาห์ ไปตลอดเพื่อให้มีอาการปกติ

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้นักลงทุนต่างวิตกกันว่า Schleifer จะไม่พยายามทำอะไรมากพอที่จะทำให้บรรดาผู้จัดการผลประโยชน์พอใจได้ หรืออาจจะไม่สามารถเลยด้วยซ้ำ ในไตรมาสแรกยอดขาย Dupixent อยู่ที่ 131 ล้านเหรียญ ต่ำกว่าคาดการณ์ของ Wall Street ถึง 22%

คำถามสำคัญกว่านั้นคือ Dupixent จะประสบความสำเร็จในการรักษาอาการหอบหืดได้จริงหรือไม่ Geoffrey Porges จากวาณิชธนกิจ Leerink โต้ว่า ผู้ป่วยโรคหอบหืดกลุ่มที่แสดงอาการแพ้มากที่สุดรักษาด้วย Dupixent ได้ผลมากกว่ายาคู่แข่งอย่าง Nucala ของค่าย GlaxoSmithKline หรือ Fasenra ของ AstraZeneca สองเท่าตัว แต่ Phil Nadeau นักวิเคราะห์ประจำ Cowen แย้งว่า ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีความคล้ายคลึงกันมากจนเรื่องเงินต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินส่วนแบ่งทางการตลาด ไม่ใช่เรื่องยา นั่นคือเกมส่วนลดที่เล่นกันมานานแล้วนั่นเอง

แต่ Porges กล่าวปกป้อง Schleifer กับ Yancopoulos ที่กล้าทำอะไรแตกต่าง “พวกเขาอาจจะขวานผ่าซากและคิดไม่เหมือนใคร แต่พวกเขามีความเชื่อมั่นในอะไรบางอย่าง ยากมากที่จะพบคนที่เชื่อมั่นในอะไรบางอย่างในอุตสาหกรรมนี้”

แปลว่าจะมีการเดิมพันที่รุกหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ในปีที่ผ่านมา Regeneronเซ็นสัญญากับองค์กรการกุศลของสหราชอาณาจักร เพื่อนำดีเอ็นเอของคนครึ่งล้านมาจัดเรียง โดยหวังว่าจะนำไปสู่การค้นพบที่จะทำให้ได้ยาใหม่ๆ

นอกจากนี้ยังจัดการทดสอบยาที่จะมาเป็นคู่แข่งของ Keytruda ยารักษามะเร็งขายดีของ Merck ด้วย ตลาดนี้อาจจะมีมูลค่าถึง 1.2 หมื่นล้านเหรียญ แต่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า Merck กับคู่แข่งสำคัญอย่าง Bristol-Myers Squibb คุมเกมไว้หมดแล้ว สิ่งที่นักลงทุนต้องการจึงเป็นยาใหม่ๆ ที่ออกฤทธิ์ในรูปแบบใหม่ๆ

“ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องของลักษณะเฉพาะตัวหรอก” Schleifer กล่าว “มันคือเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้ป่วยได้” กล่าวได้อลังการแต่ก็มีเหตุผลไม่น้อย

&nbsp;

เรื่อง: Matthew Herper และ Ellie Kincaid
เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events