<h2>‘โคคา-โคล่า’ ขยายพอร์ตโฟลิโอเพิ่ม ก้าวสู่การเป็นบริษัทเครื่องดื่มครบวงจรด้วยการรุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘ชเวปส์’ มิกซ์ ในไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมออกสู่อุตสาหกรรมเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง ประกาศเดินหน้ารุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (ARTD) เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ “ชเวปส์” มิกซ์ เครื่องดื่มค็อกเทลผสมแอลกอฮอล์รูปแบบกระป๋องในไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ต่อยอดความสำเร็จจากประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 200 ปีของแบรนด์ “ชเวปส์” โดยนำเสนอ 2 รสชาติ ได้แก่ “ชเวปส์” มิกซ์ วอดก้า ซิตรัส และ “ชเวปส์” มิกซ์ วอดก้า โกลเด้น มะนาว พร้อมนำเสนอประสบการณ์ที่สอดรับเทรนด์การสังสรรค์กลางสัปดาห์ด้วยคอนเซปต์ “Thank Goodness It’s Thursday” (TGIT) เติมเต็มวันพฤหัสบดีอย่างมีเอกลักษณ์แบบไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิกเตอร์ หว่อง รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว กล่าวว่า “ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มในประเทศไทยกำลังเติบโต ไลฟ์สไตล์การสังสรรค์ของคนไทยเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยมีแนวโน้มนิยมลองเครื่องดื่มใหม่ๆ ที่ดื่มได้สะดวก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากการรับฟังความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โคคา-โคล่า ประเทศไทย จึงเล็งเห็นโอกาสสำคัญในการเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม และนำมาสู่การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง ชเวปส์ มิกซ์ ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทั้งนี้ การเปิดตัวชเวปส์ มิกซ์ ถือเป็นก้าวสำคัญของโคคา-โคล่า ประเทศไทย ในการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นบริษัทเครื่องดื่มครบวงจร (Total Beverage Company) ที่มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่มที่หลากหลาย พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีความต้องการแตกต่างกัน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยปัจจัยหลายประการ ประกอบกับความเป็นมาอันยาวนานและการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ทำให้ “ชเวปส์” เติบโตเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง โคคา-โคล่าจึงได้พัฒนาต่อยอดสู่ชเวปส์ มิกซ์ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ดังกล่าว และมอบทางเลือกแก่ผู้บริโภคในฐานะเครื่องดื่มค็อกเทลที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำ ผ่านการผสมผสานรสชาติคลาสสิกของชเวปส์ เกิดเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อตลาดในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตลอดระยะเวลากว่า 75 ปีที่ผ่านมาโคคา-โคล่า” ประเทศไทย ได้ส่งมอบความสดชื่นให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องในฐานะผู้นำตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม และด้วยประสบการณ์อันยาวนานนี้ โคคา-โคล่า มั่นใจว่าชเวปส์ มิกซ์ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย ทั้งด้วยความแปลกใหม่และความสะดวกในการดื่ม” วิกเตอร์กล่าวทิ้งท้าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ “ชเวปส์” มิกซ์ ยังเตรียมจัดงานเปิดตัวแพลตฟอร์ม "Schweppes Mixed Social Club" ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะสร้างประสบการณ์เปลี่ยนวันพฤหัสธรรมดาให้พิเศษกว่าที่เคย นำเสนอการสังสรรค์รูปแบบใหม่ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ที่จะเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทยเข้ากับแบรนด์ โดยเตรียมพบกับ “เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม” ที่จะมาร่วมงานเปิดตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งนี้ในฐานะ Magic Maker ของ "Schweppes Mixed Social Club" ด้วยบุคลิกที่สดใส เต็มเปี่ยมด้วยพลังบวก และไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบการสังสรรค์ สะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้อย่างลงตัว โดยมุ่งหวังให้ "Schweppes Mixed Social Club" ได้เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับประสบการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมการสังสรรค์ยุคใหม่ที่เริ่มต้นความสนุกได้ตั้งแต่วันพฤหัสตามคอนเซ็ปต์ “Thank Goodness It’s Thursday” (TGIT) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/one-bangkok-new-destination-of-lifestyle" alt="One Bangkok กำลังเป็นแหล่ง ‘กิน-ดื่ม’ ที่ใหม่ ค่าย ‘ช้าง’ ทุ่ม 200 ล้านเตรียมเปิด Chang Canvas ร้านอาหารและเบียร์สด เอาใจคอเบียร์กลางกรุง">One Bangkok กำลังเป็นแหล่ง ‘กิน-ดื่ม’ ที่ใหม่ ค่าย ‘ช้าง’ ทุ่ม 200 ล้านเตรียมเปิด Chang Canvas ร้านอาหารและเบียร์สด เอาใจคอเบียร์กลางกรุง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘โคคา-โคล่า’ ขยายพอร์ตโฟลิโอ รุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดตัวโปรดักต์ใหม่ ‘ชเวปส์’ มิกซ์

<h2>บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ผนึกกำลัง บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “โคคา-โคล่า” ใน 63 จังหวัดทั่วประเทศ เดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ “World Without Waste” อย่างต่อเนื่อง เปิดตัวบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ไม่รวมฉลากและฝาขวดของ “โค้ก” รสชาติออริจินัล และ “โค้ก” ซีโร่ ขนาด 300 มิลลิลิตร โดยวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าชั้นนำแล้ววันนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา “โคคา-โคล่า” ได้นำร่องเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติก PET รีไซเคิล 100% ไม่รวมฉลากและฝาขวด ขนาด 1 ลิตร ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก และในปีนี้ “โคคา-โคล่า” ได้ออกบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% เพิ่มเติมในขวดขนาด 300 มิลลิลิตร เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยคาดว่าบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ของ “โคคา-โคล่า” ในปัจจุบันทั้งขนาด 1 ลิตร และ 300 มิลลิลิตร จะช่วยลดการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ได้มากกว่า 1,300 ตัน ในปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หลังจากที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคต่อบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ไม่รวมฉลากและฝาขวด ขนาด 1 ลิตร ในปีที่ผ่านมา โคคา-โคล่ามีความยินดีที่เรามีบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ไม่รวมฉลากและฝาขวดเพิ่มเติมในขนาด 300 มิลลิลิตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโคคา-โคล่าที่ต้องการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยมุ่งที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์ของ “โค้ก” สามารถรีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2568 และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลอย่างน้อย 50% ภายในปี 2573&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยบรรจุภัณฑ์โค้กขนาด 300 มิลลิลิตรนี้ เหมาะกับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มของคนไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก นับเป็นโอกาสที่ดีในการส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้มีความรู้ความเข้าใจ และมีส่วนร่วมในการใช้บรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ทั้งในแง่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อความยั่งยืนรวมถึงสนับสนุนการเก็บคืนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่เหมาะสม”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/Gyueeb4fSk5dKSsqGhbC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Gyueeb4fSk5dKSsqGhbC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปุณฑริกา สุสัณฐิตพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ องค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมว่า “การนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% เพิ่มเติมในโค้กขนาด 300 มิลลิลิตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สอดคล้องกับกลยุทธ์และโรดแมปการเพิ่มปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติก PET รีไซเคิล 100% ให้มากขึ้น และส่งเสริมให้ Gen Z ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการใช้บรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งร้านสะดวกซื้อจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้การมีส่วนร่วมของผู้บริโภคเกิดขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เลือกนำเสนอผลิตภัณฑ์ของเราผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อของ 7-Eleven เป็นหลัก นอกจากนี้เราจะมีการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ขนาดอื่นภายหลังในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ได้วางแผนไว้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบรรจุภัณฑ์ “โค้ก” ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ไม่รวมฉลากและฝาขวด ทั้งขนาด 1 ลิตรและ 300 มิลลิลิตร ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีระดับสูงควบคุมตลอดกระบวนการ ทั้งยังผ่านการรับรองความปลอดภัยสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย และเป็นไปตามมาตรฐานการผลิตสินค้าระดับโลกของ “โคคา-โคล่า”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ “โค้ก” รสชาติออริจินัล และ “โค้ก” ซีโร่ ขนาด 300 มิลลิลิตร ในบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ไม่รวมฉลากและฝาขวด มีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไปในภาคกลาง เหนือ ตะวันตก ตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/csr-sustainability/tops-launched-biodegradable-packaging-for-meat" alt="‘ท็อปส์’ เปิดตัวแพ็คเกจจิ้งเนื้อสัตว์ ย่อยสลายได้ 100% ผลิตจากเยื่อพืชธรรมชาติ ลดใช้พลาสติก">‘ท็อปส์’ เปิดตัวแพ็คเกจจิ้งเนื้อสัตว์ ย่อยสลายได้ 100% ผลิตจากเยื่อพืชธรรมชาติ ลดใช้พลาสติก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ขายแล้ว ‘โค้ก’ ไซส์ 300 มล. ใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100%

<h2>โคคา-โคล่า เปิดตัว “อู-ฮ่า” เอาใจ Gen Z หลังปี 2565 ที่ผ่านมา เทรนด์เครื่องดื่มโซดากลิ่นน้ำผลไม้มาแรงส่งผลให้ตลาดธุรกิจดังกล่าวมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 หลัก และยังมีสัดส่วนในการครอง 4% ของตลาดน้ำอัดลมที่มีมูลค่า 56,000 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “อู-ฮ่า” เครื่องดื่มโซดากลิ่นผลไม้ น้ำตาล 0% และ 0 แคลอรี เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ริชา ซิงห์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว กล่าวว่า “ปัจจุบัน ตลาดเครื่องดื่มมีการเติบโตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องศึกษาทำความเข้าใจตลาด เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ซึ่งการการเปิดตัว “อู-ฮ่า” ในครั้งนี้ ถือเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยนวัตกรรมที่ผสานสองรสชาติที่แตกต่างเข้ากันได้อย่าลงตัว ทั้ง “อู-ฮ่า” โซดากลิ่นลิ้นจี่และโยเกิร์ต และ “อู-ฮ่า” โซดากลิ่นเลมอนผสมซีซอล์ท (เกลือสมุทร) เพื่อเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเหล่า Gen Z” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/dVdyfYgbDnNiGPMRMtwj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dVdyfYgbDnNiGPMRMtwj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผลการสำรวจและรวบรวมข้อมูลของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มผู้บริโภค Gen Z ต่างมองหาเครื่องดื่มโซดารสชาติแปลกใหม่และหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับเทรนด์ของเครื่องดื่มผสมโซดาที่เริ่มมาแรงตั้งแต่ปี 2565 จึงสร้างอานิสงส์ให้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มผสมโซดากลิ่นผลไม้เติบโตขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก หรือคิดเป็นสัดส่วน 4% ของตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีมูลค่า 56,000 ล้านบาท โดยตลาดน้ำอัดลมก็มีการเติบโตขึ้น 7%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/PqVBCPMVNZvah313PoJg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PqVBCPMVNZvah313PoJg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ดังนั้นทาง Coca-Cola จึงมั่นใจว่าเครื่องดื่มอู-ฮ่า จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะไม่มีน้ำตาลและแคลอรี พร้อมกันนี้จะทำการตลาดโดยเน้นสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ควบคู่กับการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่อีกด้านของผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องดื่มก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุน ทั้งการขนส่งและเงินเฟ้อ ทำให้ต้นปีที่ผ่านมา Coca-Cola ได้มีการปรับราคากลุ่มสินค้าน้ำอัดลมเพิ่มขึ้น 1 บาทไปแล้วเพื่อให้สอดรับกับราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/other/news/%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B9%84%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2-2023-%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2" alt="&quot;ซีพีเอชไอ เซาธ์ อีสต์ เอเชีย 2023&quot; โชว์นวัตกรรมการผลิตยาในประเทศไทย">"ซีพีเอชไอ เซาธ์ อีสต์ เอเชีย 2023" โชว์นวัตกรรมการผลิตยาในประเทศไทย</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โคคา-โคล่า เปิดตัว “อู-ฮ่า” เอาใจ Gen Z หลังโซดากลิ่นน้ำผลไม้ครอง 4% มูลค่าตลาดน้ำอัดลม

'พรวุฒิ สารสิน' 60 ปีแห่งบัลลังก์น้ำดำ 'ไทยน้ำทิพย์' ปักหมุดเวิลด์คลาส

<h2>Carlos Diaz-Rigby จีเอ็ม โคคา-โคลา ประเทศไทย หลอมใจเป็นหนึ่งกับทีมงานท้องถิ่น พิชิตเป้าหมายสู่บริษัท “เครื่องดื่มครบวงจร” เน้นสไตล์ทำงานเร็ว มีโซลูชั่นหลากหลาย เพื่อ “ตอบสนอง” ตลาดให้ตรงจุด</h2>
Carlos Diaz-Rigby ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด คนใหม่ เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมในปีที่ผ่านมา แม้ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียมาก่อน ทว่า 8 เดือนที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ผู้บริหารชาวอุรุกวัยวัย 46 ปี ก็มีความสุขและเต็มไปด้วยสีสัน เขาเดินทางไปเที่ยวหมู่เกาะพีพี อร่อยกับอาหารไทยที่มีรสชาติจัดจ้าน ด้วยเมนูสุดโปรดอย่าง “ต้มยำกุ้ง” และเมนูของหวานอย่าง “ข้าวเหนียวมะม่วง” ช่วงเวลานี้เอง เขายังได้ค้นพบอีกว่า ตลาดประเทศไทยเต็มไปด้วย “ชีวิตชีวา” และแน่นอนว่านี่คือโอกาสการเติบโตของโคคา-โคลาเช่นกัน

“ประเทศไทยคล้ายกับประเทศอุรุกวัย ยังให้ความสำคัญกับคุณค่าของครอบครัว ที่นี่เป็นโลกสมัยใหม่ผสมกับการรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้” เขาเกริ่นกับพวกเรา ที่น่าสนใจที่สุด “ผู้บริโภคคนไทยชอบลองของใหม่ เปิดใจกว้าง มีวิถีการบริโภคที่เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา” ผู้บริหารอารมณ์ดีตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร

<img class="alignnone wp-image-15833 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/โคคา-โคล่า-ประเทศไทย-03.jpg" alt="โคคา-โคลา ประเทศไทย" width="638" height="426" />
<h2>22 ปีกับโคคา-โคลา</h2>
Diaz-Rigby เกิดและโตที่ประเทศอุรุกวัย จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจาก Universidad Católica del Uruguay และระดับปริญญาโทด้านการเงินจาก Thunderbird School of Global Management ประเทศสหรัฐฯ หลังจบก็บินกลับประเทศบ้านเกิด และได้เริ่มงานกับโคคา-โคลา อุรุกวัย ในปี 2539 ปัจจุบันทำงานกับกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา มา 22 ปีในหลายภูมิภาค ทั้งในละตินอเมริกา ประเทศในหมู่เกาะแคริบเบียนและเขตโอเชียเนีย โดยได้นั่งในตำแหน่งสำคัญๆ

ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนกว่า 2 ทศวรรษ เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจของโคคา-โคลาในประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หน้าที่สำคัญคือ กำหนดทิศทางกลยุทธ์ด้านการขาย การตลาด การจัดจำหน่ายและนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์  แม้ไม่รู้จักภูมิภาคเอเชียและเคยรับผิดชอบตลาดไทยมาก่อน แต่เขาบอกว่าไม่เป็นเรื่องน่ากังวลแต่อย่างใด

“ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี การแข่งขันมีทุกที่ ไม่ว่าตลาดไหน เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การแข่งขันทำให้เรานอบน้อมถ่อมตน และมีความกระหายที่จะชนะ”

&nbsp;
<h2>รักษาฐานไทย ด้วยโซลูชั่นหลากหลาย</h2>
Diaz-Rigby เข้าดูแลทั้งตลาดในประเทศไทยและสปป.ลาว พันธกิจที่เขาตั้งใจจะทำคือ ผลักดันให้โคคา-โคลาในไทยเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง มีสินค้าที่อยู่ถูกที่ถูกจุดในตลาด มีทีมงานที่เป็นมืออาชีพและมีประสิทธิภาพ สามารถ “ตอบสนอง” ผู้บริโภคได้ด้วยความรวดเร็ว โดยนำเสนอ “solutions” ที่หลากหลาย เพื่อ “ได้ใจ” ผู้บริโภคในระยาว ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน “Solutions” ในความหมายของ Diaz-Rigby รวมไปด้วย การเสนอสินค้าเครื่องดื่มที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค

การนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่หลากหลาย เป็นไปตามแนวทางโคคา-โคลา ทั่วโลก ที่กำลังมุ่งหน้าสู่เป็นบริษัท “เครื่องดื่มครบวงจร” ไม่เพียงที่จะผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดแบรนด์เก่าแก่อย่าง “โค้ก” และแบรนด์ตระกูล “แฟนต้า” ที่คนส่วนใหญ่รู้จัก

ดังนั้น Diaz-Rigby จึงวาดฝันว่า จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของบริษัทเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวไทย เป็นไปได้โดยเริ่มแต่เช้า เที่ยง และช่วงบ่าย จากผลิตอันหลากหลา โดย ปีนี้บริษัทยังตั้งใจจะยังออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพิ่มอีก แต่เขาไม่เปิดเผยชื่อและรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ โดยบอกว่า บริษัทจะเพิ่มสินค้าใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและนโยบาย

“ทีมงานที่นี่เป็นมืออาชีพ เขาเป็นทีมงานที่ยอดเยี่ยม” เขากล่าว

Diaz-Rigby ได้ทำงานร่วมกับ พรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำอัดลมยี่ห้อโค้กของไทยอย่างใกล้ชิด โดยเขาจะใช้ประสบการณ์ที่มีช่วยเติมเต็มให้บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว พร้อมยังให้อิสระกับทีมงานคนไทยได้ทำงานกันอย่างเต็มที่

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เขาบอกว่า เขาไม่กลัวปัญหาและกล้าที่จะเผชิญความเสี่ยงต่างๆ เพราะเข้าใจว่า ไม่มีทางออกใดที่สมบูรณ์แบบ 100% ดังนั้น การมองโลกในแง่ดีและกล้าเผชิญปัญหา จะเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จ เพราะปัญหาเป็นอีกบทเรียนที่ให้เราได้เรียนรู้

เมื่อถามถึงว่า ทำไมเขาจึงร่วมงานกับโคลา-โคลา มายาวนานมาก ไม่คิดจะย้ายไปที่ไหน Diaz-Rigby บอกว่า เขารู้สึก “สนุก” และมีความสุขกับทำงานที่บริษัทแห่งนี้ เนื่องจากบริษัทนี้ได้เคลื่อนตัวไปข้างหน้ากับสังคม ทำให้เขาได้พบกับ “ความท้าทาย” ใหม่ๆ จากตลาดต่างๆ ที่มีความหลากหลายทั้งทางด้านภาษาและผู้บริโภค ที่สำคัญที่สุดคือ เปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

ภาพ: จันกลาง จันทอง
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/chabaa.html">CHABAA ฮึดสู้ตลาดน้ำผลไม้หด ส่ง “น้ำแตงโม” รับเทรนด์สุขภาพ ดันยอดขายปีนี้ 2,600 ล้านบาท</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/2XhaPQ1">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มเรื่องเด่นจากปกได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-10127" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750.jpg" alt="" width="300" height="394" />

ภารกิจนายใหญ่ โคคา-โคลา ประเทศไทย

<h2>เม็ดฝนที่กระหน่ำหนักในยามบ่าย ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการพบกันระหว่าง Sedef Salingan Sahin วัย 43 ปี ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและ สปป.ลาว บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด กับ Forbes Thailand แต่อย่างใด เพราะเธอเผื่อเวลาเดินทางไว้แล้วเรียบร้อย ทำให้มาถึงก่อนเวลานัดหมายราวครึ่งชั่วโมง  Sahin ชวนเราจิบชาพร้อมรับประทาน ขนมหวานที่ 1823 Tea Lounge by Ronnefeldt ในศูนย์การค้าเกษร ซึ่งบรรยากาศอันอบอุ่นภายในร้านช่วยเอื้อให้การพูดคุยถึงทิศทางธุรกิจขององค์กรที่เธอเป็นผู้นำทัพดูผ่อนคลายมากขึ้น</h2>
ความซาบซ่าของ Coca-Cola เริ่มต้นเมื่อพ.ศ.2429 ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะเข้าไปสร้างสีสันให้ตลาดเครื่องดื่ม 207 ประเทศทั่วโลก ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ใต้ร่ม The Coca-Cola Company กว่า 500 แบรนด์จำนวนนี้มี 21 แบรนด์ เช่น โค้ก แฟนต้า สไปรท์ ฯลฯ ที่แต่ละแบรนด์มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในปีงบประมาณ 2559 Coca-Cola มีรายได้รวมราว 4.19 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1.51 ล้านล้านบาท

Coca-Cola เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยเมื่อปี 2492 ปัจจุบันบริษัทในกลุ่มประกอบด้วย โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) ในฐานะเจ้าของแบรนด์ กำหนดนโยบายด้านการขายและตลาดให้ 2 พันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่าย คือ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด รับผิดชอบ 62 จังหวัด และ บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบ 14 จังหวัดในภาคใต้ส่วนผลิตภัณฑ์ของ Coca-Cola ที่ครองใจลูกค้าคนไทยมีทั้ง “น้ำอัดลม” อย่าง โค้ก แฟนต้า สไปรท์ ชเวปส์ ฯลฯ ซึ่งโค้กสามารถครองอันดับ 1 ในตลาดน้ำอัดลมด้วยส่วนแบ่งกว่า 50% “น้ำผลไม้” เช่น มินิทเมด สแปลช นิวทริบู๊สท์ เป็นต้น ทั้งยังมี “เครื่องดื่มสมุนไพร” แบรนด์ฮาบุและ “น้ำดื่ม” แบรนด์น้ำทิพย์ภารกิจอันท้าทายของ Sahin คือการนำทัพ โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) ให้เดินหน้าอย่างมั่นคงในห้วงเวลาที่คู่แข่งในตลาดน้ำอัดลมต่างงัดกลยุทธ์ขึ้นมาแข่งขันอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

คลุกคลี FMCG

Sahin เกิดที่ตุรกี หลังจบปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจและรัฐศาสตร์จาก Boğaziçi University ในเมือง Istanbul เธอก็หาประสบการณ์ในที่ต่างๆ เช่น องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรธุรกิจอย่าง Procter &amp; Gamble (P&amp;G) ดูแลด้าน brand management อยู่ราว 4-5 ปี และเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการธนาคารและโทรคมนาคมที่ McKinsey &amp; Company ราว 2 ปี จากนั้น Sahin ก็รู้ตัวว่าชอบอุตสาหกรรม FMCG (fast moving consumer goods-สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายเร็วและมีต้นทุนต่ำ) มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในบริษัทที่เธอต้องการทำงานด้วยคือ Coca-Cola “ที่นี่เป็นแหล่งรวมของคนที่ชอบงานด้านการตลาด อีกอย่างคือโค้กเป็นแบรนด์ใหญ่เพราะฉะนั้นฉันก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์นี้ เมื่อต้องตัดสินใจย้ายงานจึงไม่ลังเลเท่าไหร่ค่ะ” Sahin เล่า

ผู้บริหารหญิงเล่าถึงตลาดเครื่องดื่มในตุรกีว่า ผู้คนผูกพันกับครอบครัว ชอบดื่มชาดำในแทบทุกโอกาส จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ผู้บริโภคลองเครื่องดื่มใหม่ๆ ชาวตุรกียังชอบทำอาหารรับประทานเอง การตลาดของ Coca-Cola ในตุรกีจึงเน้นสร้างความอบอุ่นในครอบครัวระหว่างรับประทานอาหารที่บ้านซึ่งโค้กก็สามารถชิงส่วนแบ่งในตลาดน้ำอัดลมมาได้กว่า 50% และเธอยังรับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยกรฝ่ายการตลาด ดูแลหน่วยธุรกิจในตุรกี คอเคซัส และเอเชียกลาง อาทิ คาซัคสถาน อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน ฯลฯ ซึ่ง Sahin ขยายความว่าตลาดเอเชียกลางคล้ายกับตุรกี แต่สิ่งที่ต่างไปคือน้ำอัดลมมีส่วนแบ่งน้อยกว่าน้ำเปล่าและน้ำผลไม้

Sahin เป็นผู้บริหารมืออรชีพอยู่ที่ตุรกีรราว 13 ปี ก่อนความท้าทายครั้งใหม่จะกวักมือเชื้อเชิญให้เธอมารับตำแหน่งผู้หญิงคนแรกที่เป็น “เบอร์หนึ่ง” ของ โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) เมื่อเดือนเมษายน ปี 2559 “ฉันต้องการสำรวจและทำอะไรใหม่ๆ นอกประเทศบ้าง ประจวบเหมาะกับบริษัทให้โอกาสที่เมืองไทยพอดี ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็มาเลยค่ะ”

ไทยคือ 1 ใน 20 ประเทศที่เป็นตลาดสาคัญของ Coca-Cola (ฟิลิปปินส์เป็นอีกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติด 20 อันดับ) มีปัจจัยหลักคือเศรษฐกิจที่เติบโตผู้บริโภคคนไทยพร้อมเปิดรับเครื่องดื่มใหม่ๆ รวมทั้งชอบรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยเฉพาะ “street food” ส่วนลาวก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต “เราพยายามเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในพื้นที่ที่เราดำเนินธุรกิจ ถ้าเราสามารถนำเสนอสินค้าหลากหลายโดยปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนไทยมากขึ้น เมืองไทยก็จะเป็นตลาดที่โตได้อีกมาก” คือมุมมองของ Sahin

ข้อมูลจาก Nielsen บริษัทให้ข้อมูลและการประเมินผลระบุว่า ตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ในปี 2559 มีมูลค่ารวม 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดน้ำอัดลม 5.15 หมื่นล้านบาท ตลาดน้ำดื่ม 3.4 หมื่นล้านบาท ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ม 1.25 หมื่นล้านบาท และอื่นๆ 1.02 แสนล้านบาทเมื่อแยกย่อยลงมา บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ผู้ดูแลแบรนด์ เอส โคล่า เผยว่าปี 2559 ตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่ากว่า 5.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นน้ำดำ 70% โดยเอสโคล่า มีส่วนแบ่ง 10.4% (บริษัทผู้ผลิตน้ำอัดลมรายอื่นระบุว่าโค้กมีส่วนแบ่งกว่า 50% และเป๊ปซี่มีส่วนแบ่งราว 35%) และน้ำสี 30%

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/26a1823951c4d6a5d45112d63437e468.png" alt="" />

แม้จะเป็นเบอร์ 1 แต่ โคคา-โคล่า(ประเทศไทย) ก็ไม่ประมาท เพราะคู่แข่งล้วนมีศักยภาพในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงอัดงบการตลาดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ไปแล้วหลายร้อยล้านบาท เช่น แคมเปญโค้กในเทศกาลสงกรานต์ จัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนไทยกลับบ้านไปสนุกสนานกับครอบครัว แคมเปญแฟนต้าทวิสต์ สร้างความรับรู้บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีแคมเปญที่ชูสีสันของ street food เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมคู่กับอาหารและล่าสุดคือแคมเปญ “One Brand” ออกแบบโค้ก โค้ก ซีโร่ และ โค้ก ไลท์ ให้เป็นกระป๋องสีแดงเหมือนกัน
องค์กรจะเดินหน้าไปไม่ได้ถ้าขาดบุคลากร ซึ่ง Sahin ถ่ายทอดให้ฟังว่า “ดีเอ็นเอ” ของ Coca-Cola ทั่วโลก คือการส่งมอบความสดชื่นและส่งเสริมความสุข ดังนั้นเธอจึงส่งเสริมให้พนักงานของโคคา-โคล่า (ประเทศไทย) ซึ่งมีทั้งหมด 45 คนร่วมมือกันทำงาน กล้าแสดงความคิดเห็น และเธอจะพูดคุยกับพนักงานว่ามีความชอบอย่างไรเพื่อสนับสนุนได้ถูกทาง พร้อมจัดอบรมให้พนักงานทั้งในไทย หรือส่งไปอบรมในระดับภูมิภาคและระดับโลกองค์กรยังสนับสนุนความก้าวหน้าของผู้หญิงเช่นที่ Sahin เคยได้รับเมื่อสิบกว่าปีก่อน โดยส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในการแสดงออกและการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร

ส่วนภายนอกองค์กรกลุ่มธุรกิจ Coca-Cola มีโครงการ “5by20” เพิ่มศักยภาพของผู้หญิง 5 ล้านคนที่อยู่ในกระบวนการผลิตของโค้กให้ได้ภายใน ค.ศ. 2020 (พ.ศ.2563) เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ารับการอบรมด้านบริหารการเงินและการประกอบอาชีพ ซึ่งในไทยเริ่มไปเมื่อปี 2557 จัดอบรมเจ้าของร้านค้าปลีกหญิง และปีที่ผ่านมาก็จัดโครงการนำร่องให้เกษตรกรไร่อ้อยหญิง

“ฉันอยู่ที่ตุรกีนานมาก พอมาที่นี่ก็สนุกกับการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทั้งคน สถานที่ วัฒนธรรม ฯลฯ ดังนั้นก็อยากเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะเลยค่ะ” Sahin ปิดท้ายบทสนทนาพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่มุ่งมั่น

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/hxJLvV">อ่าน "Sedef Salingan Sahin หยอดความซาบซ่าให้ “โค้ก” เมืองไทย" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ ตุลาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/hxJLvV"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e09455f207b9668923eadb71ef5fb133.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events