<h2>แรบบิท โฮลดิ้งส์ บริษัทในเครือ บีทีเอส กรุ๊ป ประกาศจับมือพันธมิตรจากอังกฤษ โดยการทุ่มงบ 6 พันล้านบาท เนรมิตโฉมอาคารเก่าแก่อายุกว่า 130 ปี ‘โรงภาษีร้อยชักสาม‘ ให้กลายเป็น ’เดอะ แลงแฮม แบงค็อก‘ โรงแรมลักชัวรีสุดหรูระดับ 5 ดาวริมแม่น้ำเจ้าพระยา คาดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ช่วงปลายปี 2026</h2><h2>​</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป (Langham Hospitality Group: LHG) และ แรบบิท โฮลดิ้งส์ บริษัทในเครือ บีทีเอส กรุ๊ป แถลงข่าวเปิดตัวโรงแรมสุดหรูระดับ 5 ดาว&nbsp;เดอะ แลงแฮม แบงค็อก (The Langham Bangkok)&nbsp;ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ย่านบางรักมีความโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ตัดผ่านใจกลางกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย ด้วยการนำเอาอาคารมรดกเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 130 ปี อย่าง โรงภาษีร้อยชักสาม หรือ ศุลกสถาน (Customs House) ที่ก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 รวมถึงการนำเอาอาคารที่ทำการไปรษณีย์เก่าที่เสื่อมโทรมตามการใช้งาน มาชุบชีวิตและบูรณะอย่างสมบูรณ์แบบให้กลับมารุ่งเรืองดังในอดีตและยังคงเก็บคุณค่าทางประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างครบถ้วน จนกลายมาเป็นห้องพัก 78 ห้อง ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายและโครงสร้างที่ทันสมัย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/oAaxZ86VafLtt2s2915e.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="oAaxZ86VafLtt2s2915e.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการนี้ซึ่งนำโดยแรบบิท โฮลดิ้งส์ มีจุดมุ่งหมายที่จะเติมเต็มคุณค่าทางวัฒนธรรมและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับย่านบางรักผ่านการให้บริการสถานที่พักผ่อนระดับโลก ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป จากอังกฤษถือเป็นเหมาะสมในการดำเนินโครงการในลักษณะนี้ จึงได้รับเลือกให้เข้ามาดูแลการบริหารโรงแรมแห่งนี้ในที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กวิน กาญจนพาสน์ กรรมการ ของแรบบิท โฮลดิ้งส์ ในเครือ บีทีเอส กรุ๊ป&nbsp;กล่าวว่า “ความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป จากอังกฤษถือเป็นความเหมาะสมในการได้รับเลือกให้เข้ามาดูแลบริหารโรงแรมในโครงการลักษณะนี้ ด้วยแนวทางความทุ่มเทของบริษัทในการสร้างโรงแรมหรูเหนือกาลเวลาประกอบกับความสำเร็จในการอนุรักษ์มรดกตกทอดต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ทำให้ แลงแฮม เป็นพันธมิตรในอุดมคติที่จะส่งเสริมวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการท่องเที่ยวและการโรงแรมระดับ 5 ดาวในภูมิภาค รวมถึงการเชิดชูมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของอาคาร Customs House และเขตบางรักอย่างแท้จริง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เดอะ แลงแฮม แบงค็อก ณ อาคาร Customs House จะดำเนินการตามโครงการอนุรักษ์มรดกที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมายของ แลงแฮม&nbsp;ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ปได้แก่ เดอะ แลงแฮม บอสตัน ซึ่งเป็นโรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ในอาคารเก่าของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เดอะ แลงแฮม ชิคาโก สถานที่พักผ่อนอันหรูหราตั้งอยู่ในอาคาร Mies van der Rohe อันเป็นเอกลักษณ์ และ เดอะ แลงแฮม แพซาดีนา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ฮอลลีวูดซึ่งมีอายุย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1907 นอกจากนี้ล่าสุด แลงแฮม&nbsp;ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป ยังได้เข้าไปบูรณะโรงงานกระจกเก่าบนเกาะมูราโน ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนอันหรูหราเหนือกาลเวลาด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bob van den Oord ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแลงแฮม&nbsp;ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป&nbsp;กล่าวว่า "ในอดีตทางแลงแฮมเคยมาเปิดรีสอร์ทที่สมุยแล้วเมื่อราวๆ 12-15 ปีก่อนและได้ยุติการให้บริการลงเนื่องด้วยเหตุผลที่อาจจะยังไม่สอดคล้องกับแนวทางการบริหาร ณ ตอนนั้น ซึ่งล่าสุดถือเป็นอันโอกาสอันดีในช่วงเวลาที่เหมาะสมของการได้ร่วมมือกับทางแรบบิท โฮลดิ้งส์ ในการพัฒนาโปรเจกต์ดังกล่าวและยังเป็นตัวสะท้อนทิศทางการทำงานของทางแลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในส่วนของแผนการขยายธุรกิจภายใน 10-15 ปี ข้างหน้านี้ ทางแลงแฮมเห็นศักยภาพการเติบโตสูงของธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคนี้ จึงมีแผนที่จะขยายโรงแรมเพิ่มมากขึ้นอีก 100 แห่ง ซึ่งราวๆ 60-70 แห่ง จะเป็นการขยายตัวภายในประเทศไทย"​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/EywpNo7ZTCW5NDPi8XiS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EywpNo7ZTCW5NDPi8XiS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม&nbsp;ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแลงแฮม&nbsp;ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า "แม้ปัจจุบันธุรกิจโรงแรมลักชัวรีระดับ 5 ดาว จะมีการแข่งขันสูงเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยเอกลักษณ์ความโดดเด่นของตัวอาคารเก่าแก่ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเรื่องราวมายาวนาน สามารถสร้าง Experience ประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างเหนือระดับให้แก่เหล่านักเดินทางผู้เข้ามาพักทั้งไทยและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี ถือเป็นจุดแข็งที่แตกต่างจากโรงแรมอื่นๆ ที่เป็นตึกอาคารสร้างใหม่ได้อย่างแน่นนอน"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เดอะ แลงแฮม แบงค็อก ณ อาคาร Customs House&nbsp;ยังมีไฮไลต์สำคัญก็คือการนำภัตตาคาร ถัง คอร์ท (T’ang Court) ร้านอาหารกวางตุ้งระดับมิชลินสามดาวจากฮ่องกงมาสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เหนือระดับพร้อมด้วยบาร์เครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์และขนมหวานระดับโลก ที่จะทำให้โรงแรมแห่งนี้กลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่นักชิมทั่วโลกจะพลาดเสียไม่ได้ นอกจากนี้แขกผู้เข้าพักยังสามารถสัมผัสกับความผ่อนคลายเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จิตวิญญาณ และจิตใจ ที่ ฉวน สปา(Chuan Spa) สถานที่พักผ่อนเพื่อสุขภาพชั้นนำที่เดอะแลงแฮม ภูมิใจนำเสนอได้อีกด้วย ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/XxM5WEmEbqqoUSYmprjD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XxM5WEmEbqqoUSYmprjD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/thai-people-visit-japan-repeatedly-the-most" alt="ญี่ปุ่นทั้งใจ! อโกด้าเผยญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางที่ ‘ชาวไทย‘ กลับไปเที่ยวซ้ำมากสุด">ญี่ปุ่นทั้งใจ! อโกด้าเผยญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางที่ ‘ชาวไทย‘ กลับไปเที่ยวซ้ำมากสุด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แรบบิท โฮลดิ้งส์ ทุ่ม 6 พันล้าน เนรมิต 'โรงภาษีร้อยชักสาม' เป็น ’เดอะ แลงแฮม แบงค็อก‘ โรงแรมลักชัวรีระดับ 5 ดาว

<h2>&nbsp;Robinhood (โรบินฮู้ด) แอปเพื่อคนตัวเล็กที่ยั่งยืน ร่วมกับ Rabbit Rewards (แรบบิท รีวอร์ดส) บริษัทในเครือของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เดินหน้าสร้างประสบการณ์ด้านการเดินทางและตอกย้ำจุดยืนบริการเรียกรถที่แฟร์และแคร์คุณ มอบสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า Robinhood Ride และสมาชิก Rabbit Rewards รับสิทธิ์ง่าย ๆ เพียงโดยสาร Robinhood Ride ค่าโดยสารขั้นต่ำ 100 บาท รับ Rabbit Rewards 250 พอยท์ เพื่อนำไปแลกเที่ยวเดินทาง BTS 1 เที่ยว (มูลค่า 47 บาท) หรือรีวอร์ดสอื่นๆ อีกมากมายผ่านแอปพลิเคชัน Rabbit Rewards ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2566 - 31 ตุลาคม 2566&nbsp; </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยความร่วมมือครั้งนี้ Robinhood หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเติมเต็มให้ทุกการเดินทางของลูกค้าคุ้มค่าและเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่ที่นิยมใช้บริการรถสาธารณะเพื่อความคล่องตัวมากขึ้น พร้อมสนับสนุนการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อช่วยลดมลพิษทางอากาศและลดฝุ่นละอองในพื้นที่กรุงเทพฯ อีกด้วย โดยมี นางสาวสุชานัน ตันติวัฒนวัลลภ Head of Ride Business บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด พร้อมด้วย นางสาวกมลวรรณ กอไพศาล Program Director และ นางสาวมรกต พิสิษฐ์กุล Business Development Director บริษัท แรบบิท รีวอร์ดส จำกัด ร่วมเปิดตัวแคมเปญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; รายละเอียดแคมเปญ Robinhood Ride x Rabbit Rewards&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลูกค้าผู้ใช้บริการ Robinhood Ride ผ่านแอป Robinhood โดยมีค่าโดยสาร 100 บาทขึ้นไป (ก่อนหักส่วนลด) จะได้รับ SMS Promo code และนำพอยท์ Rabbit Rewards จำนวน 250 พอยท์ เพื่อนำไปแลกเที่ยวเดินทาง BTS 1 เที่ยว หรือรีวอร์ดอื่น ๆ อีกมากมาย ผ่านแอปพลิเคชัน Rabbit Rewards&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อนำ 250 แรบบิทพอยท์ไปแลกเที่ยวเดินทางรถไฟฟ้า BTS สามารถใช้เดินทางบนรถไฟฟ้าบีทีเอสได้เฉพาะเส้นทางหลัก สายสีลม-สุขุมวิท (รวม 24 สถานี) รวมถึงสถานีกรุงธนบุรีและสถานีวงเวียนใหญ่ (แต่ไม่รวมสถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม-สุขุมวิท) รวมทั้งหมดสามารถใช้เดินทางฟรีได้ 26 สถานี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คูปองมีอายุ 72 ชั่วโมงหลังการกดเเลก เเละมีอายุ 30 นาทีหลังการกดใช้ ควรกดใช้คูปองหลังจากยื่นบัตรเพื่อเติมเที่ยวเดินทางที่หน้าห้องขายบัตรโดยสาร หากหมดอายุไม่สามารถยกเลิกได้ คูปองเที่ยวเดินทางฟรีด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสไม่สามารถขาย แลกเปลี่ยน โอน หรือถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดหรือโปรโมชันอื่น ๆ ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรุณาแสดงสิทธิ์ก่อนการใช้บริการ โดยกดรับสิทธิ์และแสดงข้อความในโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อหน้าพนักงาน ณ ห้องจำหน่ายตั๋ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สงวนสิทธิ์ 1 โค้ด/สิทธิ์/เดือน จำกัด 3,000 สิทธิ์/เดือน รวม 14,000 สิทธิ์ตลอดรายการ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71215" alt="เมื่อยักษ์ใหญ่สายเทค จ้างแฮกเกอร์จู่โจมโมเดล AI">เมื่อยักษ์ใหญ่สายเทค จ้างแฮกเกอร์จู่โจมโมเดล AI</a>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

Robinhood จับมือ Rabbit Rewards ส่งแคมเปญ นั่ง Robinhood Ride แลกเที่ยว BTS ผ่าน Rabbit Rewards

<h2>ฉากชีวิตการทำงานในแวดวงรถไฟฟ้าที่กินเวลาถึง 25 ปี จากคำบอกเล่าของ สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) วัย 56 ปี เกิดขึ้นระหว่างอาหารมื้อเช้ากับ Forbes Thailand ที่ห้องไลบรารี่ โรงแรม ยู สาทร กรุงเทพฯ (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในกิจการของเครือ BTS) ที่ตัวเขาถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ พร้อมกับจิบชาร้อนกลิ่น Earl Grey ไปด้วย</h2>
ตลอดการสนทนา ประตูที่เปิดให้สุรพงษ์เข้าสู่สายงานด้านระบบขนส่งมวลชน (mass transit) เริ่มจากความสนใจที่จะเลือกทำวิจัยด้านระบบขนส่งมวลชนหรือ transport model เมื่อครั้งที่ศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจนได้รับการเสนองานจากบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรม ให้ทำหน้าที่วิศวกรที่ปรึกษาเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน

กระทั่งเมื่อ บมจ.ธนายง (TYONG) ซึ่งเป็นบริษัทดั้งเดิมของกลุ่ม บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ก่อตั้งโดย คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ BTS สามารถประมูลงานสร้างและบริหารระบบรถไฟฟ้าแห่งแรกให้แก่กรุงเทพมหานคร (กทม.) จึงได้ว่าจ้างบริษัทที่สุรพงษ์ทำงานอยู่ทำข้อเสนอให้แก่ กทม.

จากจุดนี้เองที่ปูทางให้สุรพงษ์ได้ผันสถานะ มารับหน้าที่ Transport Team Leader ของ BTSC หลัง บมจ.ธนายง ชนะการประมูลด้วยการชักชวนของ อาณัติ อาภาภิรม ผู้ซึ่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทในวันนั้น

“พอปี 2535 ที่ บมจ.ธนายง จัดตั้ง BTSC เป็นบริษัทย่อยที่มาทำเรื่องรถไฟฟ้า ก็เลยจ้างผมเข้าทำงาน ซึ่งอาจเป็นเพราะ ดร.อาณัติ มองว่าผมรู้ข้อมูลต่างๆ และเกี่ยวข้องมาตั้งแต่แรก แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกันในการตัดสินใจเพราะตัวเราเคยชินกับการเป็นที่ปรึกษามานานเกือบ 8 ปี”

&nbsp;
<h2>ฝ่าขวากหนาม</h2>
สุรพงษ์ยอมรับว่าชีวิตเปลี่ยนจากงานเดิมไปอย่างมาก ด้วยต้องลงมือทำงานที่ต่างจากกรอบเดิมของด้านที่ปรึกษาด้วยฐานะ Transport Team Leader ผู้มีข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างรถไฟฟ้าประหนึ่งคัมภีร์ ทำให้ตัวเขาต้องสวมบทนักเจรจากับการต่อต้านไม่ให้สร้างอู่จอดรถในบริเวณสวนลุมพินีของมวลชนในยุคตั้งเสาเอกของรถไฟฟ้า BTS เนื่องจากช่วงแรกคนส่วนใหญ่ยังไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับรถไฟฟ้าและอาจจะเข้าใจผิดจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้คนเกิดความกลัว ดังนั้นกว่าจะได้เริ่มงานก่อสร้างก็ต้องผ่านการชี้แจงและทำความเข้าใจกับมวลชนมาไม่น้อย

“ตอนแรกที่ตัดสินใจมาทำที่นี่ เราคิดว่าเป็นพระเอก เหมือนเรามาแก้ปัญหาเรื่องรถติดให้คนกรุงเทพฯ ก็คิดว่าสิ่งที่ทำจะช่วยให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้คิดเรื่องธุรกิจหวังว่าจะสร้างให้เสร็จแล้วคนได้ใช้ แต่พอเจอคนคัดค้านเรื่องการสร้างอู่จอดที่สวนลุมพินี จากพระเอกเลยกลายเป็นผู้ร้าย”

กระนั้นงานโหดหินอีกด้านที่สุรพงษ์ย้ำว่าสุดท้าทาย คือการหาเงินมาสร้างรถไฟฟ้าที่ transport model คือกลไกที่สร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะพิจารณาอนุมุติเงินกู้ให้แก่ BTSC รับรู้ข้อมูลการดำเนินงานของระบบรถไฟฟ้าและโอกาสที่จะสร้างรายได้เพียงพอมาชำระหนี้เงินกู้ได้ แต่ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น สุดท้ายรถไฟฟ้า BTS ก็เริ่มล้อหมุนให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2542

“เราก็รู้สึกภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรถไฟฟ้า BTS ให้เกิดขึ้นและเป็นบริการที่ช่วยบรรเทาปัญหารถติดให้คนกรุงเทพฯ ได้ในที่สุด”

ทว่าเมื่อมองย้อนกลับไปถึงเส้นทางสานฝันให้รถไฟฟ้า BTS กลายเป็นความจริงได้นั้นหนึ่งในขวากหนามที่เกือบจะทำให้ความหวังของสุรพงษ์ต้องเกือบพังครืน คือการลอยตัวค่าเงินบาทปี 2540 ที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวอ่อนลงถึง 130% เมื่อเทียบกับเงินสกุลเหรียญสหรัฐฯ ในเวลาไม่ถึง 6 เดือน ซึ่งส่งผลกระทบต่อ TYONG และ BTSC เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีภาระหนี้สินในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง

ส่งผลให้บริษัทต้องเผชิญกับสถานการณ์พลิกผันในปี 2549 ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ BTSC เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการซึ่งระหว่างนั้นสัดส่วนการถือหุ้นของ TYONG ลดลงจนเหลือน้อยกว่า 1% ของหุ้นทั้งหมดของ BTSC แต่ท้ายสุดก็สามารถออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการในปี 2551

“เราก็ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ได้ ซึ่งเราเลือกเข้าฟื้นฟูกิจการ ด้วยการเป็นนักสู้ของคุณคีรีก็ทำให้สามารถกอบกู้สถานการณ์จนผ่านพ้นมาได้ จนเหลือหนี้ราว 1 หมื่นล้านบาท และกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติจริงๆ ได้ก็ใช้เวลารวมราว 10 ปีจึงเริ่มมีกำไร”

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/33f10b24008679cbae11eedcefa5d579.jpg" alt="" />
<h2></h2>
<h2>ดันแผน 5 ปี มุ่งเป็นที่ 1</h2>
สำหรับภารกิจในฐานะซีอีโอนั้น สุรพงษ์ เน้นย้ำว่าคือการขับเคลื่อนให้ธุรกิจของ BTSC เติบโตต่อไปเพื่อรักษาสถานะการเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของธุรกิจขนส่งมวลชนระบบราง เพราะแม้ว่าทุกนี้บริษัทจะถือครองโครงการรถไฟฟ้าทั้งปัจจุบันและอนาคตอยู่ในมือไม่น้อย แต่สุรพงษ์ก็เชื่อว่าไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ BTSC ต้องมุ่งมั่นขยายการเติบโตต่อไป

“ตอนนี้เริ่มมีผู้ประกอบการรายอื่น สนใจที่จะเข้ามาแบ่งแชร์ในตลาดรถไฟฟ้าด้วยต่างจากเดิมที่ต่างมองว่าทำแล้วขาดทุน แต่ตอนนี้พอมีกำไรก็ทำให้บริษัทใหญ่ๆ อยากเข้ามาเพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่ดี จึงทำให้เราเริ่มมีคู่แข่งชัดเจน”

ควบคู่กับการที่ต้องพยายามให้ผู้โดยสารพึงพอใจกับบริการของเรามากที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบริการขนส่งมวลชนที่มีผู้ใช้บริการเกือบ 1 ล้านคนต่อวันที่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น กรณีที่บางสถานียังมีผู้โดยสารต้องต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอขึ้นรถไฟ เป็นต้นเช่นเดียวกับที่บริษัทต้องสร้างผลกำไรในระดับที่ทำให้ผู้ถือหุ้นพึงพอใจด้วย

“เราไม่มีทางทำให้ทุกคนพอใจได้ แต่ต้องพยายามทำให้ยอมรับได้ และอยากให้ผู้โดยสารเข้าใจปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น”

ทั้งนี้ปัจจุบัน BTS มีเส้นทางรวมทั้งสิ้น 38.1 กิโลเมตร (35 สถานี) ซึ่งด้วยโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ย่อมทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเติบโตจากปัจจุบันที่ 6% ของระบบ mass transit รวมของกรุงเทพฯ ที่ 109.6 กม. เป็น 18% ของ 124.3 กม. ในปี 2562 และไต่ขึ้นเป็น 24% ของ 515.2 กม. ในปี 2572 อีกเป้าหมายที่สุรพงษ์ต้องเข็นให้ไปถึงตามแผน 5 ปี คือเพิ่มจำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้า BTS เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้าน เที่ยว/วัน จากปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสาร 8 แสนเที่ยว/วัน จากการเดินรถเพิ่มกว่าสามเท่าเป็น 132 กม. (112 สถานี)

สำหรับโครงการอื่นๆ ที่ BTSC คาดหวังต่อยอดเสริมศักยภาพให้แก่บริษัทในอนาคตซึ่งจะมีเส้นทางใหม่เพิ่มขึ้นจากทุกโครงการรวมแล้ว 82.9 กม. นั้น หนึ่งในโครงการเด่นคือรถไฟฟ้าไลท์เรล (LRT) สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือรถไฟฟ้า BTS สายบางนา-สุวรรณภูมิ ระยะทาง 18.3 กม.ซึ่งกรุงเทพมหานครเป็นผู้ลงทุน และจะว่าจ้าง BTSC เดินรถ โดยคาดเริ่มประมูลงานโยธา ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี และเปิดให้บริการภายในปี 2565

&nbsp;
<h2>ไม่เคยฝันถึงที่นั่งซีอีโอ</h2>
อย่างไรก็ตามแม้ซีอีโอแห่ง BTSC จะเริ่มจากหน้าที่ Transport Team Leader แต่ระยะเวลา 25 ปีในองค์กรแห่งนี้ ตัวเขาก็ผ่านประสบการณ์ทำงานในหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น Strategic Planner ที่ดูแลด้านส่วนต่อขยาย จนขยับขึ้นมาเป็น Assistance CEO ซึ่งขณะนั้นเป็นชาวต่างชาติ แล้วตามมาด้วยกับได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการหรือซีโอโอ (COO) ในปี 2549

จนไต่ระดับขึ้นเป็นซีอีโอในปี 2558 “ผมเป็นคนทำงานที่ไม่เคยวางเป้าหมายว่าจะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ คิดเพียงทำสิ่งที่ผมรับผิดชอบให้ดีที่สุด เพื่อทำให้ทั้งองค์กรและประชาชนเกิดประโยชน์อย่างสมดุลแต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นซีอีโอ”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events