<h2>นีโอ คอร์ปอเรท เปิดเส้นทางความสำเร็จ “ดีนี่” ครองใจคุณแม่นับล้าน ขึ้นแท่น “อับดับ 1” ตลาดสินค้าเด็ก ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 26% พร้อมเดินหน้าฝ่าปัจจัยลบ สร้างการเติบโตกว่า 6 % ในปีที่ผ่านมา </h2>
<figure><img class="wp-image-61963 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/GetFileAttachment-แ.jpeg" alt="" width="720" height="479" /><figcaption> สุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด</figcaption></figure>

ศิริสุภา อาจสัญจร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัททำตลาดสินค้าอุปโภคตอบสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคเป็นเวลายาวนานถึง 33 ปี  มีแบรนด์และสินค้าที่อยู่เคียงข้างชาวไทยอย่างหลากหลาย เช่น ไฟน์ไลน์ ดีนี่ ทรอส บีไนซ์ และโทมิ เป็นต้น 

ทั้งนี้ ปี 2564 ที่ผ่านมา “ดีนี่” (D-nee) หนึ่งในแบรนด์สำคัญของบริษัทสามารถสร้างผลงานการเติบโตอย่างโดดเด่น ครองใจคุณแม่นับล้าน จนก้าวเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในตลาดสินค้าเด็ก ด้วยการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 26% เพิ่มจาก 23% ถือเป็นผลงานที่น่าพึงพอใจ ท่ามกลางปัจจัยลบที่เกิดขึ้นมากมาย

สำหรับกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ดีนี่ ประสบความสำเร็จ เกิดจากความมุ่งมั่นของบริษัทในการผลิตสินค้าคุณภาพตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มคุณพ่อคุณแม่ที่ซื้อสินค้าเพื่อดูแลลูกน้อย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มสินค้าใหม่เพื่อเป็นตัวช่วยในการดูแลเด็ก 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังช่วยให้แบรนด์สามารถขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขวางขึ้นได้อีกด้วย เช่น จากสินค้าเจาะกลุ่มเด็กแรกเกิด (Baby) ไปสู่เด็กที่โตขึ้นตามวัยของลูกน้อย เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้นสำหรับเด็ก แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในตลาด รวมถึงการออกสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องใช้ส่วนบุคคล ทั้งอาบน้ำ แป้ง โลชั่น ฯลฯ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายวัย Preteen หรือช่วงก่อนเข้าวัยรุ่น เป็นต้น

“เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนสินค้าในตลาดมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคไม่เหมือนเดิม พ่อแม่ใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าให้ลูกน้อยมากขึ้น บริษัทต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำตลาดให้สอดคล้องสถานการณ์ โดยการออกสินค้าที่ผ่านการปรับปรุงและพัฒนาเป็นอย่างดี เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอร์แกนิคที่อ่อนโยนจากธรรมชาติอย่างดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ ซึ่งปรับเป็นสูตร 100% ออร์แกนิค”

<img class="alignnone wp-image-61964" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/mwj237rt03m02dbm8lvjgydmj5fmgjsgAk1wA14fmn15gkjl2fnxq8lqgbzwbhh2x7prd70lyzlnqAkx4v0fxmsnsf85prjgAsjk0jA6wc1jr6A9hjdls5lyrnksv25nx81yt2f5wtm2xA069jpb1znfqlA9kbxls5nmzfjl64k3qc4p6kd1.jpeg" alt="" width="197" height="350" />

นอกจากนี้ บริษัทมีการทำตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ให้ครองใจผู้บริโภค ซึ่งข้อมูลจากคันทาร์ (ประเทศไทย) ระบุว่า การรับรู้แบรนด์ของดีนี่สูงสุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับแบรนด์สินค้าเด็กในตลาด อีกทั้งยังสามารถคว้ารางวัลแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือเวทีต่างๆ เช่น Amarin Baby &amp; Kids Awards, theAsianparent Awards ได้อีกด้วย

บริษัทยังปรับตัวในการทำตลาดให้สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคการเสพสื่อที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เวลาดูคอนเทนท์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น TikTok, Facebook, Instagram จนได้รางวัลเข้ารอบ 5 แบรนด์สุดท้ายในกลุ่มแบรนด์สินค้าแม่และเด็กที่ “ทำการตลาดดีสุดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย” จากงานไทยแลนด์ โซเชียล อวอร์ด 

ขณะเดียวกันดีนี่ยังคงทำแคมเปญการตลาดแบบบูรณาการสื่อด้วยการโฆษณาทางโทรทัศน์ สื่อโฆษณานอกบ้าน และสื่อ ณ จุดขายต่างๆ

ที่ขาดไม่ได้คือการขยายช่องทางจำหน่ายจากออฟไลน์เชื่อมต่อออนไลน์ ตอบไลฟ์สไตล์คุณแม่ยุคใหม่ที่นิยมช้อปปิ้งด้วยปลายนิ้วเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย (Promotion) มอบความคุ้มค่าด้านราคาเพื่อให้คุณแม่ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น และการมีลอยัลตี้โปรแกรมให้ลูกค้าสะสมแต้มเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านช่องทาง Line Official : DneeThailand ที่มีฐานสมาชิกกว่า 120,000 ราย และขายผ่าน E-commerce Platform ต่างๆ ภายใต้ชื่อ NeoDealDDShop และ         D-nee Official Store ซึ่งมียอดเติบโตอย่างมาก ปี 2021 โตกว่า 171%

<figure><img class="wp-image-61965 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/003-นภิศา-พาชีรัตน์-.jpg" alt="" width="720" height="479" /><figcaption> นภิศา พาชีรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และ ศิริสุภา อาจสัญจร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด</figcaption></figure>

สำหรับแนวทางการทำตลาดปี 2565 เพื่อรักษาการเป็นผู้นำอย่างแข็งแกร่ง บริษัทยังมุ่งมั่นนำเสนอสินค้าคุณภาพออกสู่ตลาด โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น กลุ่มผลิตภัณฑ์อาบสระสำหรับเด็กเล็ก Organic Sakura Series เป็นฮีโร่โปรดักซ์ เนื่องจากเป็นสูตรอ่อนโยน ช่วยตอบโจทย์กลุ่มคุณแม่ที่ต้องการความอ่อนโยนที่สุดให้กับลูกน้อย การใช้กลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ต่อยอดความแข็งแกร่ง

ในส่วนของพรีเซนเตอร์ ก็ได้ใช้ตัวแทนครอบครัวรุ่นใหม่อย่าง “มิว” นิษฐา - “เซนต์” ธราภุช คูหาเปรมกิจ และ “น้องมาริน เป็นพรีเซนเตอร์ เนื่องจากเป็นครอบครัวที่มีความน่ารักสดใส อารมณ์ดี มีชีวิตชีวา สอดคล้องกับคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ ที่สำคัญทั้งคู่มีความใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าของใช้ให้กับลูก ถือว่าเป็นพ่อแม่ที่ทันสมัย ตรงกับกลุ่มลูกค้าของแบรนด์  อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่มีการแต่งตั้งพรีเซนเตอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำและกลุ่มผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้น โดยเลือกครอบครัว “ป๊อก” ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์, “มาร์กี้” ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ และ น้องมิก้า-มิญ่า ซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัวดีนี่ได้อย่างดี จากการที่เป็น พรีเซนเตอร์ในกลุ่มเด็กเล็กมากว่า 2 ปี ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของครอบครัวยุคใหม่ที่สนับสนุนทุกการเรียนรู้ของลูก ๆ ให้ได้เล่นสนุกในแต่ละวันอย่างเต็มที่

สำหรับภาพรวมตลาดสินค้าเด็กมีมูลค่า 5,200 ล้านบาท แนวโน้มปี 2565 อยู่ในระดับทรงตัว ไม่เติบโตหวือหวาเหมือนก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ประกอบกับประชากรเด็กเกิดน้อยลง จึงมีผลกระทบต่อตลาด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกคือการที่พ่อแม่ยังคงใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลลูกน้อยให้ดีที่สุด และมองหาสินค้าพรีเมียมมากขึ้น

ทั้งนี้ "ตลาดสินค้าเด็กกลุ่มใหญ่สุดคือหมวดเครื่องใช้ส่วนบุคคลมีสัดส่วนประมาณ 76% ตามด้วยเครื่องใช้ในครัวเรือน 24% โดยแบรนด์ดีนี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวม 26% เพิ่มจาก 23% แบ่งตามรายสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก 71% จาก 68% เป็นเบอร์ 1 ติดต่อกันปีที่ 4 ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก 78% จาก 71% เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันปีที่ 3 และกลุ่มที่ใช้กับผิวพรรณก็เติบโต มีส่วนแบ่งทางการตลาด 13% เพิ่มจาก 11% เป็นต้น"

“ปัจจุบันอัตราการเกิดของประชากรเด็กลดลงต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้กระทบกับตลาดสินค้าเด็กมากนัก เพราะพ่อแม่ยุคใหม่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อลูกน้อยเป็นอันดับแรก มองหาสินค้าพรีเมียม ยินดีจ่ายแพงเพื่อให้ลูกน้อยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด”  

จากแผนงานดังกล่าว บริษัทตั้งเป้ายอดขายของดีนี่ในปี 2565 ไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท โต 20% จากปี 2564 มียอดขาย 2.9 พันล้านบาท โต 10% ส่วนแผนระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้าต้องการผลักดันให้   ดีนี่เป็นผู้นำตลาดสินค้าออร์แกนิคสำหรับเด็กครอบคลุมทุกหมวดหมู่

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/people/strategies/กิตติพงศ์-ลิ่มสุวรรณโรจ.html">กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ BBGI เดินเกมรุกไบโอเทค</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

นีโอ คอร์ปอเรท เปิดเส้นทางความสำเร็จ “ดีนี่” ครอง “อันดับ 1” ตลาดสินค้าเด็ก

<h2>บริษัท คลิมโก้ พลัส จำกัด ผู้นำเข้าเบเบ้ซุป (Bebesup) อย่างเป็นทางการของประเทศไทยจับมือ LocknLock สร้างแคมเปญตอบโจทย์คุณแม่ยุคใหม่ที่มองหาความปลอดภัย สะอาด และรักษ์โลก</h2>
<img class="alignnone wp-image-52547 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/พิกุลแก้ว-เพ็ชร์สีสม.jpg" alt="Bebesup" width="600" height="400" />

จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายคนหันมาสนใจสุขภาพมากกว่าเคย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ตลาดทิชชู่เปียกในไทยมีมูลค่าตลาดรวมสูงกว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตอีกว่าร้อยละ 20 ภายในปีนี้ โดยหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยคือ Bebesup ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากคุณแม่และคนรุ่นใหม่อย่างล้นหลาม และส่งผลให้ที่ผ่านมามียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่าร้อยละ 40 ต่อปี

นอกจากนั้นแล้ว ก๊าซเรือนกระจกที่คอยกัดกร่อนโอโซนโลกก็ไม่มีทีท่าที่จะเบาบางลง ส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงการบริโภคบรรจุภัณฑ์แบบ single use มากขึ้น โดยเห็นได้ชัดจากอัตราการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์กล่องถนอมอาหารที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2-3 ต่อปี

บริษัท คลิมโก้ พลัส จำกัดจึงได้เลือกที่จะตอบโจทย์เหล่านี้โดยผ่านกลยุทธ์ Collaboration แบบ 360 องศากับแบรนด์ชั้นนำเรื่องเครื่องครัวเครื่องใช้ภายในบ้านสัญชาติเกาหลีใต้ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง LocknLock ตั้งเป้าเจาะตลาดครอบครัวยุคใหม่ โดยการจับมือกันในคอนเซ็ปต์ “SAFE, CLEAN, ECO” ที่มุ่งมอบทั้งความปลอดภัย สะอาด และรักษ์โลกให้กับผู้บริโภคทุกคน

พิกุลแก้ว เพ็ชร์สีสม กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลิมโก้ พลัส จำกัด กล่าวว่า เราเป็นเพียงแบรนด์เดียวที่มีห้องวิจัยเกี่ยวกับผิวเด็กโดยตรงเพียงยี่ห้อเดียว และยังไม่มีแบรนด์ทิชชู่เปียกระดับพรีเมี่ยมที่ใช้วัสดุคุณภาพสูง อีกทั้งยังทำมาจากธรรมชาติอย่างใยเรยอน 100% ในไทยมากนักอีกด้วย 

<img class="alignnone size-full wp-image-52551" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/-หัตถกิจวิไล-e1634549208539.jpg" alt="Bebesup" width="600" height="400" />

ด้าน ธมณณัฏฐ์ หัตถกิจวิไล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ล็อก แอนด์ ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน แบรนด์ LocknLock ได้มีการพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้แบรนด์มีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่ม food container สูงถึงกว่าร้อยละ 29 และมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี อีกทั้ง LocknLock ยังผลิตมาจากแก้วโบโลซิลิเกต ที่ทนทานต่อความร้อนและความเย็นได้ดี และปราศจากสารก่อมะเร็ง

โดยการร่วมมือครั้งนี้ ทั้งสองแบรนด์ได้สร้างสรรค์กล่องแก้วถนอมอาหารเด็กรุ่นพิเศษ รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ผลิตด้วยแก้วโบโลซิลิเกตของ LocknLock พร้อมโลโก้​ Bebesup โดยลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ Bebesup ตามเงื่อนไขของแคมเปญ จะได้รับกล่องแก้วนี้ทันที ส่วนลูกค้าของ LocknLock ที่ซื้อผลิตภัณฑ์กล่องถนอมอาหารเด็กผ่านช่องทาง Official Website และ Line Shopping จะได้รับทิชชู่เปียกพรีเมี่ยมทันที

“ความร่วมมือครั้งนี้เป็นความร่วมมือของ 2 แบรนด์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้ ที่มี Brand Value ที่เหมือนกัน คือ ปลอดภัย สะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวยุคใหม่ ต้องการความสะดวกสบายคล่องตัว และมั่นใจในการใช้สินค้า แคมเปญนี้มุ่งสร้าง Brand Awareness ให้กับเบเบ้ซุป และ ล็อก แอนด์ ล็อก ในกลุ่มครอบครัวและแม่บ้านยุคใหม่ พร้อมขยายตลาดของทั้งสองแบรนด์ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างกัน 

โดยฐานลูกค้าของเบเบ้ซุปจะอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตพรีเมียม และช่องทางออนไลน์ ในขณะที่ล็อก แอนด์ ล็อกจะเน้นไปทางกรุ๊ปไลน์แม่และเด็ก เว็บไซต์ และ LINE Shopping แคมเปญนี้จะช่วยสร้าง Brand Awareness ตอกย้ำจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์ผ่านสื่อการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และให้ทั้งสองแบรนด์ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย” พิกุลแก้ว ทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/hr/บลูบิค-เร่งขยายทีมรับเท.html">บลูบิค เร่งขยายทีมรับเทรนด์ดิจิทัล มุ่งผงาดที่ปรึกษาระดับภูมิภาค</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events