<h2>‘วีซ่า’ เผย ‘โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024’ กระตุ้นเศรษฐกิจฝรั่งเศส ร้านค้ารายย่อยในกรุงปารีสมียอดขายเพิ่มขึ้น 26% ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการแข่งขัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วีซ่า พันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในระหว่างสุดสัปดาห์ช่วงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 โดยระบุว่าโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กระตุ้นการค้าในกรุงปารีสให้คึกคักยิ่งขึ้น และสร้างผลบวกให้กับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสโดยรวม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ธุรกิจขนาดเล็ก และร้านค้ารายย่อยในกรุงปารีสมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 26% จากผู้ถือบัตรวีซ่าในช่วงสุดสัปดาห์แรกของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ยอดการใช้จ่ายในกรุงปารีสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงละคร และพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นถึง 159% ธุรกิจเครื่องอุปโภคบริโภค (อาหารและร้านขายของชำ) เพิ่มขึ้น 42% ร้านอาหารเพิ่มขึ้น 36% ร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น 21% และธุรกิจความบันเทิงต่างๆ เพิ่มขึ้น 18%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-โดยชาวต่างชาติที่มีปริมาณการใช้จ่ายมากที่สุดมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา (29%) ในขณะที่สัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มมากสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้น 129%) และบราซิล (เพิ่มขึ้น 33%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-78% ของการชำระเงินดิจิทัลจากบัตรที่มาจากต่างประเทศในกรุงปารีสเป็นการแตะเพื่อจ่าย (คอนแทคเลส) โดยเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ยอดจองเที่ยวบินไปกรุงปารีสก่อนโอลิมปิกเริ่ม สูงขึ้น 39% เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-จำนวนนักเดินทางไปยังกรุงปารีสที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เพิ่มขึ้นถึง 120% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-จำนวนนักเดินทางต่างชาติไปยังกรุงปารีสที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากสหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้น 64%) ตามด้วยนักเดินทางจากเยอรมนี (เพิ่มขึ้น 61%) และสเปน (เพิ่มขึ้น 27%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-การใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเมืองต่างๆ ที่มีจัดการแข่งขันกีฬานอกกรุงปารีส ได้แก่ แซ็งเตเตียน (Saint-Etienne) เพิ่มขึ้น 214%, ลีล (Lille) เพิ่มขึ้น 100%, และมาร์เซย์ (Marseille) เพิ่มขึ้น 38%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/wZmALgq4jDnfnqP5krrf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wZmALgq4jDnfnqP5krrf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,720"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาล็อต ฮ็อกก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวีซ่า ประจำยุโรป กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาร่วม 40 ปี และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เราทราบดีถึงผลบวกจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของวีซ่าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายสำหรับทุกคนในทุกที่ทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ที่สำคัญยิ่งกว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจรายย่อยได้รับอานิสงส์จากการที่ประเทศของเขาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยตลอดสี่ปีที่ผ่านมาวีซ่าได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 13 ล้านรายทั่วยุโรปให้เข้าถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับคณะผู้จัดงานตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ในการออกแบบและสร้างเครือข่ายการชำระเงินที่เหมาะสำหรับกรุงปารีสและเมืองต่างๆ ที่จัดการแข่งขัน และรองรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าในกว่า 3,500 จุดขายที่กระจายอยู่ทั่วสนามจัดการแข่งขันโอลิมปิกทั้ง 32 แห่ง และของงานพาราลิมปิกอีก 16 แห่ง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/global/15-countries-paid-athletes-six-figure-prize-paris-2024-olympic" alt="15 ประเทศที่ให้ ‘เงินอัดฉีดเหรียญทอง’ โอลิมปิก 2024 สูงสุดหกหลัก">15 ประเทศที่ให้ ‘เงินอัดฉีดเหรียญทอง’ โอลิมปิก 2024 สูงสุดหกหลัก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ปารีส 2024 กระตุ้นเศรษฐกิจฝรั่งเศส วีซ่าเผยร้านค้ารายย่อยยอดขายพุ่ง 26%

Trudon เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งวงการเทียนหอม ด้วยศิลปะการชงชาชั้นปรมาจารย์

10 บริษัท “BLOCKCHAIN” ระดับโลก

<h2 class="p3">จลาจลกลางกรุง Paris ส่อกระทบการท่องเที่ยว กลุ่มผู้ประท้วง “เสื้อกั๊กเหลือง” เดือดจัดหลังประธานาธิบดี Macron ขึ้นภาษีน้ำมัน บุกระเบิด-เผารถยนต์-ทุบทำลายอาคารบนถนนฌ็องเซลิเซ่ ผู้ค้าหวั่นภาคท่องเที่ยวทรุดหนัก รัฐบาลฝรั่งเศสพิจารณาประกาศภาวะฉุกเฉิน</h2>
รถยนต์ที่ถูกเผาและการพ่นกราฟิตี้บนถนนสำคัญอย่างฌ็องเซลิเซ่ใจกลางกรุง Paris นับเป็นภาพการจลาจลครั้งใหญ่ของทศวรรษ การประท้วงเสื้อกั๊กเหลือง เมื่อวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561 ลุกลามและเกิดการปะทะระหว่างประชาชนกับตำรวจ มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 130 ราย (ในจำนวนนี้ 23 รายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ) หนึ่งในผู้ประท้วงยังอยู่ในอาการโคม่า และมีประชาชนถูกจับกุมมากกว่า 400 ราย โดย 300 รายจากกลุ่มนี้ยังคงอยู่ระหว่างควบคุมตัว
การจลาจลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังกลุ่มผู้ประท้วงชายสวมหน้ากากหลายรายเริ่มเผาทำลายรถยนต์ เข้าปะทะกับตำรวจที่พยายามเข้าควบคุมสถานการณ์ และมีการทุบหน้าต่างเพื่อบุกเข้าไปในร้านค้า ท่ามกลางสายตาของชาวปารีเซียงและนักท่องเที่ยว


<figure><img class="size-full wp-image-2280" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/068_FtpTrial-AA_01122018_858948-1.jpg" alt="" width="768" height="470" /><figcaption> การประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองที่ฝรั่งเศส ลุกลามไปสู่การจลาจลเผารถยนต์และบุกทำลายร้านค้า (PHOTO CREDIT: ELYXANDRO CEGARRA / Anadolu Agency)</figcaption></figure>
ห้างสรรพสินค้าหรูหลายแห่งใน Paris ต่างต้องเร่งอพยพนักท่องเที่ยวออกนอกพื้นที่ เช่น Place Vendome ศูนย์กลางร้านเครื่องเพชรและแบรนด์แฟชั่น รวมถึงย่านการค้า Grands Magasins โดย Printemps หนึ่งในศูนย์การค้าของย่านนี้จำเป็นต้องปิดให้บริการฉุกเฉินหลังจากผู้ประท้วงพยายามบุกเข้ามาภายในหลายครั้ง “หน่วยรักษาความปลอดภัยของเราร้องขอให้ห้างฯ เร่งปิดบริการจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดขึ้น โดยปกติวันเสาร์เช่นนี้เราจะมีลูกค้ามาใช้บริการ 150,000 คนตลอดทั้งวัน” โฆษกของ Printemps กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
&nbsp;
<h2 class="p3">กระทบหนักท่องเที่ยวแม้ตำรวจคุมสถานการณ์ได้</h2>
กลุ่มผู้ค้าย่านใจกลางเมืองมีการประเมินไว้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า การประท้วงดังกล่าวมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และจะมีผลกระทบลูกโซ่ซ้ำเติมการค้าการท่องเที่ยวของฝรั่งเศสซึ่งมียอดขายต่ำลง 35% ในปีนี้
สื่อฝรั่งเศสต่างรายงานว่า ใจกลางการโจมตีและจลาจลครั้งนี้เกิดขึ้นโดยรอบประตูชัยอันเป็นสัญลักษณ์เมือง เกิดการระเบิดขึ้นหลายจุด ทำให้ประตูชัยต้องปิดซ่อมแซมตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2018 และจะยังไม่เปิดบริการจนกว่าจะเสร็จเรียบร้อย ซึ่งน่าจะยิ่งส่งผลทางลบต่อการท่องเที่ยว


<figure><img class="size-full wp-image-2281" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/075_stoupak-clashesb181201_npLIt.jpg" alt="" width="768" height="512" /><figcaption> การประท้วงเกิดขึ้นรอบๆ ประตูชัย ถนนฌ็องเซลิเซ่ กรุง Paris (PHOTO CREDIT: Michel Stoupak/NurPhoto)</figcaption></figure>
ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตำรวจสามารถคุมสถานการณ์ได้โดยระดมพลเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5,000 นายเข้าตรึงพื้นที่จุดเสี่ยงทั้งหมด เจ้าหน้าที่ภาครัฐสามารถเข้าเคลียร์พื้นที่ ทำความสะอาดถนนในย่านที่หรูหราที่สุดของ Paris อันเต็มไปด้วยรถยนต์ที่ถูกเผา กราฟิตี้เรียกร้องให้ประธานาธิบดี Emmanuel Macron ลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงขยะจากแก๊สน้ำตาและเศษกระจกจากร้านค้าที่ถูกทุบทำลาย
&nbsp;
<h2 class="p3">ประท้วงน้ำมันแพง-เรียกร้องการลาออกของ Macron</h2>
การประท้วง “เสื้อกั๊กเหลือง” ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นด้วยการนัดชุมนุมโดยสงบช่วงวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อต่อต้านระเบียบข้อบังคับใหม่ของประธานาธิบดี Macron โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีน้ำมัน
นโยบายดังกล่าวนับเป็นการสืบต่อวิสัยทัศน์นโยบายรักษาสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล Francois Hollande การขึ้นภาษีน้ำมันเกิดขึ้นเพื่อลดการใช้รถยนต์ของประชาชนฝรั่งเศสซึ่งช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม


<figure><img class="size-full wp-image-2282" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/075_stoupak-clashesb181201_npzSg.jpg" alt="" width="768" height="512" /><figcaption> กลุ่มผู้ประท้วงมีการเผาทำลาย ส่งผลให้ตำรวจต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ มีผู้บาดเจ็บกว่า 130 คน (PHOTO CREDIT: Michel Stoupak/NurPhoto)</figcaption></figure>
อย่างไรก็ตาม การประท้วงกลับทวีความไม่พอใจมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นการประท้วงต่อต้านรัฐบาล Macron ทั้งคณะ และเรียกร้องให้ Macron ลาออกจากตำแหน่ง จุดชนวนให้การชุมนุมเพิ่มระดับความรุนแรง
สโลแกนการชุมนุมต่อต้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปและทำให้เกิดความรุนแรงในวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยเน้นไปที่การโจมตีประธานาธิบดี Macron ที่ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์การปกครองของชนชั้นสูงที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุน และไม่สนใจช่องว่างทางชนชั้น รวมถึงดำเนินนโยบายซึ่งทำให้มาตรฐานการครองชีพตกต่ำลง
สำนักข่าว CNN รายงานว่า ราคาน้ำมันดีเซลในฝรั่งเศสสูงขึ้น 16% ในปีนี้ โดยปรับขึ้นจาก 1.24 ยูโรต่อลิตร เป็น 1.48 ยูโรต่อลิตร และเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 1.53 ยูโรต่อลิตรในเดือนตุลาคม อ้างอิงข้อมูลจาก UFIP สมาพันธ์อุตสาหกรรมน้ำมันของฝรั่งเศส
ทั้งนี้ CNN รายงานด้วยว่าดัชนีราคาน้ำมันดิบปีนี้ปรับเพิ่มขึ้น 20% ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก ปี 2018 จากราคา 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็น 86.07 เหรียญต่อบาร์เรลเมื่อต้นเดือนตุลาคม


<figure><img class="size-full wp-image-2283" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/068_FtpTrial-AA_01122018_858975.jpg" alt="" width="768" height="544" /><figcaption> การประท้วงจากความไม่พอใจนโยบายขึ้นภาษีน้ำมันของประธานาธิบดี Macron จบลงด้วยการจลาจล (PHOTO CREDIT: ELYXANDRO CEGARRA / Anadolu Agency)</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2 class="p3">ฝรั่งเศสอาจประกาศภาวะฉุกเฉิน</h2>
Benjamin Griveaux โฆษกรัฐบาลกล่าวผ่านการให้สัมภาษณ์กับวิทยุช่อง Europe 1 ของฝรั่งเศสว่า รัฐกำลังพิจารณาทุกแนวทางในการควบคุมสถานการณ์ ซึ่งรวมถึงการประกาศภาวะฉุกเฉินด้วย และยังกล่าวด้วยว่า การจลาจลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วม 1,000-1,500 คน โดยเชื่อว่าผู้ประท้วงเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองที่เกิดขึ้นมาตลอด 2 สัปดาห์
ขณะที่ประธานาธิบดี Macron เรียกประชุมรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมออกแถลงการณ์ยืนยันว่า “จะให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการจัดการในชั้นศาล เพื่อมิให้การกระทำความผิดใดๆ ถูกละเว้นจากการลงโทษ”
&nbsp;
ที่มา:


<ul>
 	<li>https://www.forbes.com/sites/ceciliarodriguez/2018/12/02/rioting-in-paris-yellow-vests-violence-vandalism-and-chaos-hits-tourism/#435703c836ac</li>
 	<li>https://edition.cnn.com/2018/12/03/europe/paris-yellow-vest-protests-intl/index.html</li>
 	<li>https://www.independent.co.uk/news/world/europe/paris-protests-riots-state-emergency-france-macron-yellow-vests-fuel-prices-tax-police-a8663521.html</li>
</ul>

เหตุจลาจล “เสื้อกั๊กเหลือง” ใน Paris กระทบหนักการท่องเที่ยวฝรั่งเศส

<h2>เหตุที่การเลือกตั้งประจำปี 2017 ครั้งนี้ของฝรั่งเศสร้อนแรงและเป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง เนื่องมาจากสตรีวัย 48 ปี หนึ่งในผู้สมัครรับเลือกตั้ง “Marine Le Pen” เป็นตัวเก็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและเธอคือผู้นำพรรค Front National (FN) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด มีแนวนโยบายสำคัญอย่างหนึ่งคือการนำประเทศฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) หรือที่เธอเรียกมันว่า “Frexit” เช่นเดียวกับที่อังกฤษได้เริ่มกระบวนการดังกล่าวไปแล้ว</h2>
และจากการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา จาก 11 ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ผลปรากฏว่า สองผู้สมัครที่มีคะแนนนำ ได้แก่ Emmanuel Macron ผู้ก่อตั้งพรรค En Marche! ซึ่งถือเป็นพรรคสายกลาง เน้นแนวคิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ มีผลโหวต 24.01% นำเป็นอันดับหนึ่ง และ Marine Le Pen ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยคะแนนเลือกตั้ง 21.3%

นอกจากนี้ ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงยังมี Francois Fillon จากพรรค Republican ตัวเก็งอีกรายหนึ่ง ได้คะแนนคิดเป็น 20.01% และ Jean-Luc Melenchon จากพรรค La France Insoumise มีผลโหวต 19.58%

<img style="width: 680px; height: 334px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1a393d7d5e967cd65a2078f16fdb1ec7.png" alt="" />

อย่างไรก็ตาม ตามกติกาการเลือกตั้งฝรั่งเศส หากไม่มีผู้สมัครรายใดได้รับผลโหวตมากกว่า 50% ตั้งแต่รอบแรก จะทำให้ต้องเลือกตั้งรอบที่สอง โดยจะแข่งขันเลือกตั้งกันเฉพาะผู้มีคะแนนสูงสุดสองอันดับแรกจากการโหวตรอบแรก ซึ่งนั่นหมายถึง Macron และ Le Pen จะต้องลงแข่งขันอีกครั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้

จากผลโพลสำรวจของ IFOP (สถาบันวิจัยความคิดเห็นสาธารณะแห่งฝรั่งเศส) สอบถามประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งว่า หากมีการเลือกตั้งรอบที่สอง โดยมีสองตัวเลือกคือ Macron กับ Le Pen พวกเขาจะเลือกใคร ปรากฏว่า Macron มีคะแนนนำที่ 60.93% ส่วน Le Pen มีผลโพลที่ 39.07%

ถึงแม้กระแสประชาชนที่สนับสนุนการเป็นสมาชิก EU ต่อไปดูจะ “ใจชื้น” ขึ้นมาบ้างหลังการเลือกตั้งรอบแรก เนื่องจาก Macron มีคะแนนนำ และ Fillon ผู้ได้อันดับสามเองก็ประกาศสนับสนุน Macron ในทันที ซึ่งน่าจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เลือก Fillon ไปในรอบแรก หันมาเลือก Macron ทดแทน

แต่ผลโพลและกระแสในสื่อหลักอาจเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป หลังจากเมื่อปีก่อนการลงประชามติเพื่อออกจากสมาชิก EU ของอังกฤษและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็เคยหักปากกาเซียนและสำนักสถิติต่างๆ มาแล้ว

ดังนั้น ประชาชนฝรั่งเศสและประเทศอื่นในสหภาพยุโรปอาจจะยังต้องลุ้นกันอีกเฮือก และประเทศภูมิภาคอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้ากับฝรั่งเศสหรือกับ EU ก็ต้องลุ้นเกาะขอบเวทีเช่นกัน เพราะฝรั่งเศสถือเป็นประเทศเสาหลักแห่งหนึ่งในเศรษฐกิจภูมิภาคยุโรปร่วมกับประเทศเยอรมนี หาก Le Pen ได้รับเลือก ดำเนินการจัดทำประชามติเหมือนกับอังกฤษ และหากชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ตัดสินใจลาออกจากสมาชิก EU และทำได้สำเร็จจริง ย่อมส่งผลสะเทือนอย่างสูงต่อภูมิภาคนี้

&nbsp;
<h2>Macron vs Le Pen ประวัติ-นโยบายสำคัญ</h2>
<figure><img style="width: 680px; height: 397px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ad5e63c3d5b742688b00d7f30d3c74b8.png" alt="" width="680" height="397" /><figcaption> (Photo Credit: nationalreview.com)</figcaption></figure>

Emmanuel Macron
<ul>
 	<li>พรรค En Marche! (สายกลาง, เศรษฐกิจเสรีนิยม)</li>
 	<li>อายุ 39 ปี</li>
 	<li>อดีตนายธนาคารและอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัฐบาล Froncois Hollande (รัฐบาลชุดปัจจุบัน) ลาออกในปี 2016 เพื่อก่อตั้งพรรค En Marche!</li>
 	<li>นโยบายเศรษฐกิจ: ลดภาษีนิติบุคคลจาก 33% เหลือ 25% เพื่อดึงดูดนักลงทุน, ผ่อนคลายกฎหมายแรงงาน, ลดการใช้จ่ายสาธารณะของภาครัฐ, ลดจำนวนพนักงานรัฐ</li>
 	<li>นโยบายผู้อพยพและความมั่นคง:  ฝรั่งเศสควรเป็นประเทศผู้รับอพยพเช่นเดียวกับเยอรมนี แต่จะเพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10,000 นายเพื่อรักษาความปลอดภัย</li>
 	<li>วิสัยทัศน์: ปฏิรูปการเมืองใหม่และสร้างความเป็นปึกแผ่นของสหภาพยุโรป</li>
</ul>
<figure><img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b276c6bb6fa2413bdaf2f76b2e0b3866.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> (Photo Credit: EPA/Indepedent)</figcaption></figure>

Marine Le Pen
<ul>
 	<li>พรรค Front National หรือ FN  (ขวาจัด)</li>
 	<li>อายุ 48 ปี</li>
 	<li>เติบโตจากอาชีพทนายความ สู่ฐานะผู้นำพรรค FN ในปี 2011 ลงสมัครเลือกตั้งเมื่อปี 2012 โดยได้คะแนนโหวต 18.0% ในรอบแรก</li>
 	<li>ต้องการพาฝรั่งเศสลาออกจากสมาชิก EU, ปิดพรมแดน, กลับสู่การใช้สกุลเงินฟรังก์</li>
 	<li>นโยบายเศรษฐกิจ: ลดภาษีบุคคลธรรมดา, เพิ่มภาษีบริษัทหากมีการใช้แรงงานต่างชาติและการนำเข้า, ให้สิทธิสวัสดิการสังคมกับประชาชนฝรั่งเศสก่อนชาวต่างชาติ, ลดภาษีธุรกิจ, ลดอายุเกษียณเหลือ 60 ปี</li>
 	<li>นโยบายผู้อพยพและความมั่นคง: ลดจำนวนผู้อพยพเหลือ 10,000 คนต่อปีและระงับการรับผู้อพยพในขั้นต่อไป, เพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ 15,000 นาย, เพิ่มจำนวนเรือนจำอีก 40,000 แห่ง</li>
 	<li>วิสัยทัศน์: ฝรั่งเศสต้องมาก่อน ปลดปล่อยชาวฝรั่งเศสผู้รักชาติออกจากชนชั้นนำที่ปกครองอย่างเผด็จการ</li>
</ul>
&nbsp;
รวบรวมจาก
-French presidential election: first round results in charts and maps <a href="http://bit.ly/2p6rZjH">http://bit.ly/2p6rZjH</a>
-Emmanuel Macron v Marine Le Pen: Who are they and what are their policies? <a href="http://bit.ly/2pVBhz4">http://bit.ly/2pVBhz4</a>
-French Election Result Means Europe Can Breath A Little Easier…For Now <a href="http://bit.ly/2panyEp">http://bit.ly/2panyEp</a>
-เทียบนโยบาย 2 ผู้สมัครชิงตำแหน่งปธน.ฝรั่งเศสคนใหม่ <a href="http://www.posttoday.com/world/news/491615">http://www.posttoday.com/world/news/491615</a>
-เศรษฐกิจยุโรปกับปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน <a href="http://www.forbesthailand.com/commentaries-detail.php?did=1580">http://www.forbesthailand.com/commentaries-detail.php?did=1580</a>

ลุ้นผลเลือกตั้งฝรั่งเศส จะ 'Frexit' ลาออกจาก EU ตามรอยเท้า Brexit หรือไม่?

<h2>หลังจากที่ทุ่มงบประมาณไป 90 ล้านเหรียญกับเวลาอีกเกือบทศวรรษ La Cité du Vin ซึ่งเป็นการผสมผสานสวนสนุกกับพิพิธภัณฑ์ไวน์เข้าด้วยกันนั้น ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวในบอร์กโดซ์</h2>
La Cité du Vin (แปลว่า เมืองแห่งไวน์) เป็นส่วนผสมของไดโอนีซัส เทพเจ้าแห่งไวน์เข้ากับดิสนีย์แลนด์ และมีทั้งสวนสนุก Epcot กับเรื่องราวของ Pirates of the Caribbean อาณาจักรแห่งเวทมนตร์ในเมืองบอร์กโดซ์แห่งนี้เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือน มิถุนายน ภายในมีภัตตาคาร 3 แห่ง มีเปิดให้ชิมไวน์ นำโดยผู้เชี่ยวชาญ และห้องเก็บไวน์บรรจุ 14,000 ขวด ซึ่งมีทั้งไวน์ประจำภูมิภาคและไวน์จากแดนไกลถึงตาฮีตีและซีเรีย นอกจากนี้ยังจัดแสดงเรือขนาด 50 ที่นั่งเพื่อรำลึกถึงการเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นของพ่อค้าไวน์ในศตววรษที่ 17

La Cité du Vin ก็เหมือนกับไวน์ชั้นดี คือต้องใช้เวลาบ่มจนได้ที่ อีกทั้งยังมีราคาสูง สถานที่แห่งนี้มีขนาด 143,000 ตารางฟุต ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 8 ปีกับเงินลงทุนอีก 90 ล้านเหรียญ (สูงกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ 28%) จนได้สิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมริมแม่น้ำอันแสนมหัศจรรย์

อาคารแห่งนี้มีลักษณะโค้ง ทำให้ไวน์ในแก้วหมุนวน ด้านหน้าตึกเป็นกระจกและโลหะ 6,000 แผ่น สะท้อนภาพแม่น้ำกาโรน บัตรเข้าสถานที่มีราคา 23 เหรียญ ซึ่งจะพาเที่ยวชมจุดที่น่าสนใจต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับปรัชญา (นิทรรศการแสดงบทบาทของไวน์ในศาสนา) ไปจนถึงประสบการณ์พิลึก (นอนในห้องเก็บไวน์) ส่งท้ายการทัวร์ด้วยไวน์บอร์กโดซ์สักแก้ว หรือลองไวน์จากแคว้นผลิตไวน์สักแห่งจากทั้งสิ้น 20 แห่งทั่วโลกก็เข้าท่าดี

La Cité du Vin (แปลว่า เมืองแห่งไวน์) เป็นส่วนผสมของไดโอนีซัส เทพเจ้าแห่งไวน์เข้ากับดิสนีย์แลนด์ และมีทั้งสวนสนุก Epcot กับเรื่องราวของ Pirates of the Caribbean อาณาจักรแห่งเวทมนตร์ในเมืองบอร์กโดซ์แห่งนี้เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือน มิถุนายน ภายในมีภัตตาคาร 3 แห่ง มีเปิดให้ชิมไวน์นำโดยผู้เชี่ยวชาญ และห้องเก็บไวน์บรรจุ 14,000 ขวด ซึ่งมีทั้งไวน์ประจำภูมิภาคและไวน์จากแดนไกลถึงตาฮีตีและซีเรีย นอกจากนี้ยังจัดแสดงเรือขนาด 50 ที่นั่งเพื่อรำลึกถึงการเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นของพ่อค้าไวน์ในศตววรษที่ 17

La Cité du Vin ก็เหมือนกับไวน์ชั้นดี คือต้องใช้เวลาบ่มจนได้ที่ อีกทั้งยังมีราคาสูง สถานที่แห่งนี้มีขนาด 143,000 ตารางฟุต ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 8 ปีกับเงินลงทุนอีก 90 ล้านเหรียญ (สูงกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ 28%) จนได้สิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมริมแม่น้ำอันแสนมหัศจรรย์

อาคารแห่งนี้มีลักษณะโค้ง ทำให้ไวน์ในแก้วหมุนวน ด้านหน้าตึกเป็นกระจกและโลหะ 6,000 แผ่น สะท้อนภาพแม่น้ำกาโรน บัตรเข้าสถานที่มีราคา 23 เหรียญ ซึ่งจะพาเที่ยวชมจุดที่น่าสนใจต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับปรัชญา (นิทรรศการแสดงบทบาทของไวน์ในศาสนา) ไปจนถึงประสบการณ์พิลึก (นอนในห้องเก็บไวน์) ส่งท้ายการทัวร์ด้วยไวน์บอร์กโดซ์สักแก้ว หรือลองไวน์จากแคว้นผลิตไวน์สักแห่งจากทั้งสิ้น 20 แห่งทั่วโลกก็เข้าท่าดี

<img style="width: 580px; height: 285px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ea8ae951298e1ceb9e965730f16742ce.png" alt="" />

<img style="width: 580px; height: 294px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/7ae38111d5ba615ccecd6eb9df07e26f.png" alt="" />

<img style="width: 350px; height: 524px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6a4f749dcddd698baba810694f0f1a27.png" alt="" />

<hr />

<a href="http://goo.gl/tFHEVl">คลิกเพื่ออ่านฉบับเต็ม "พิพิธภัณฑ์เหล้าองุ่น" อ่าน ForbesLife Thailand Luxury Travel ฉบับพิเศษประจำเดือนกันยายน 2559 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="https://goo.gl/tFHEVl"><img style="width: 450px; height: 538px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bf738d4443380d2860a33a4596f6b5fa.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events