<h2>LINE MAN ผู้นำแพลตฟอร์มออนดีมานด์ของไทย ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญกับ Domino’s Pizza แบรนด์พิซซ่าระดับโลก เดินเกมขยายสาขาใหม่กว่า 10 แห่ง ทั่วหัวเมืองหลักในไทย พร้อมให้บริการเดลิเวอรีแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบน LINE MAN เท่านั้น ในช่วงเปิดสาขา ตอกย้ำความแข็งแกร่งของทั้งสองแบรนด์ที่มุ่งมั่นยกระดับในการเสิร์ฟประสบการณ์ความอร่อยเข้าถึงทุกพื้นที่ พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มที่หาที่ไหนไม่ได้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การขยายตลาดของ Domino’s Pizza ไปยังต่างจังหวัด แต่ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของพาร์ทเนอร์ชิประหว่างแบรนด์ระดับโลกกับหนึ่งในแพลตฟอร์มเดลิเวอรีที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย ที่ให้บริการครอบคลุมใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีผู้ใช้งานกว่า 10 ล้านคน และไรเดอร์อีกกว่า 100,000 คน เป็นแรงสำคัญทำให้ Domino’s Pizza สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า “LINE MAN ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มส่งอาหาร แต่คือ ‘พาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์’ ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มออนดีมานด์ของไทย เราไม่เพียงแค่ให้บริการที่ครอบคลุม แต่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการเชื่อมต่อผู้บริโภคให้กับ Domino’s Pizza ในการขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ต่างๆ และยังเป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมเดลิเวอรีไทยเป็นพาร์ทเนอร์เคียงข้างร้านอาหารอย่างยั่งยืนอีกด้วย”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/mzw68yFPWZzJVUzUytfa.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mzw68yFPWZzJVUzUytfa.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากศักยภาพของ LINE MAN ในฐานะพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์แล้ว Domino’s Pizza ยังเล็งเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดพิซซ่าในไทยที่มีมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท จากตลาดร้านอาหารขายด่วน (QSR) ของไทยปีละกว่า 47,000 ล้านบาท จึงเปิดเกมรุกเดินหน้าขยายสาขา ด้วยการร่วมมือกับ LINE MAN เพื่อยึดหัวหาดในทุกเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมืองท่องเที่ยวหรือพื้นที่ที่กำลังเติบโต โดยคาดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วย ผลักดันยอดขายเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 40% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 150 ล้านบาท ภายในปีแรกของการเปิดให้บริการร่วมกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ CEO บริษัท เอธธิคอล กูร์เมต์ จำกัด ผู้มีสิทธิบริหารและจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้ Brand Domino’s Pizza ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว กล่าวเพิ่มเติมว่า “การร่วมมือกันครั้งนี้ ถือเป็น Win-Win Situation อย่างแท้จริง LINE MAN คือพาร์ทเนอร์ที่ทำให้ Domino’s Pizza เข้าถึงผู้บริโภคในทำเลใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สร้าง Brand ให้เป็นที่รู้จักอย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานความร่วมมือที่ให้ประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ผมเชื่อว่าการร่วมมือครั้งนี้ จะสร้างบรรทัดฐานความร่วมมือแบบใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับร้านค้าที่อยู่ในช่วงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เหมือนอย่าง Domino’s Pizza ในปัจจุบัน ให้สามารถเจาะเข้าถึงลูกค้าในทำเลใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/Scc1PKavuA3PQuwvTdjn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Scc1PKavuA3PQuwvTdjn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการตอกย้ำว่า LINE MAN คือผู้นำในตลาดเดลิเวอรีอย่างแท้จริง ด้วยความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และการใช้อินไซต์ในการพัฒนาดีลและแคมเปญเฉพาะพื้นที่ ซึ่งนับเป็นตัวเปิดที่สำคัญที่ทำให้ Domino’s Pizza สามารถรุกตลาดเดลิเวอรีในไทยได้อย่างมั่นใจพร้อมลงสนามแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ทางยังพร้อมมอบดีลสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และเข้าถึงผู้บริโภคในทุกมุมเมืองทั่วไทยอย่างแท้จริง ภาพ: LINE MAN เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/thai-glico-new-pocky-rose-challenged-premium-snack-market" alt="ไทยกูลิโกะเปิดตัว Pocky Rose ป๊อกกี้รสชาติใหม่สุดพรีเมียม พร้อมกลยุทธ์เติมความสนุกเอาใจชาว Gen Z">ไทยกูลิโกะเปิดตัว Pocky Rose ป๊อกกี้รสชาติใหม่สุดพรีเมียม พร้อมกลยุทธ์เติมความสนุกเอาใจชาว Gen Z</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Domino’s Pizza เดินเกมรุก ผนึกกำลัง LINE MAN ขยาย 10 สาขาทั่วหัวเมืองหลักในไทย คาดยอดขายปีแรกโต 150 ล้านบาท

<h2>ปีนี้จะมี ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ครบ 77 จังหวัดทั่วไทย! หลังลุยเต็มที่เตรียมอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่มอีกกว่า 50% เปิดสาขาใหม่ทั่วประเทศเท่าตัว ปรับโฉมสาขาเก่า พร้อมอัดฉีดงบการตลาดและโปรโมชั่น เพื่อโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางตลาดแข่งขันรุนแรง และปัจจัยลบรุมเร้าทั้งค่าแรง ต้นทุน และการอ่อนตัวของเศรษฐกิจมหภาค</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เดอะ พิซซ่า คอมปะนีจะใช้เงินลงทุนทั้งหมด 600 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจในปีนี้ โดยงบ 200 ล้านบาทจะใช้เพื่อการเปิดสาขาใหม่อีก 20 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งจะทำให้เดอะ พิซซ่า คอมปะนี มีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดในไทย และมีจำนวนสาขารวมทั้งสิ้น 450 แห่งในสิ้นปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนเงินลงทุนอีก 100 ล้านบาท จะใช้เพื่อการปรับโฉมสาขาเดิมประมาณ 80-100 สาขา ให้มีความสว่าง ทันสมัย นั่งสะดวกสบายสำหรับลูกค้ามากขึ้น และที่เหลืออีก 300 ล้านบาทจะเป็นงบการตลาดและโปรโมชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีที่ผ่านมา บริษัทใช้เงินลงทุนไปทั้งหมด 380 ล้านบาท น้อยกว่าปีนี้ประมาณ 50% แบ่งเป็นการเปิดสาขาใหม่ 10 แห่ง ใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท ส่วนอีก 80 ล้านบาทใช้เพื่อปรับโฉมร้านเดิม และอีก 200 ล้านบาท เป็นงบทำการตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราตัดสินใจขยาย เดอะ พิซซ่า คอมปะนีแบบเชิงรุกในปีนี้ เพราะปี 2567 ที่ผ่านมาเป็นปีที่เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ประสบความสำเร็จด้วยการเติบโตของจำนวนลูกค้าถึง 10% เป็นการเติบโตสูงที่สุดหลังจากการระบาดของโควิด และยอดขายเองก็เติบโตมากกว่า 5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขณะที่ตลาดรวมของพิซซ่ามูลค่า 11,000 ล้านบาท โตน้อยกว่า 5% และอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมที่มีมูลค่าประมาณ 3-4 แสนล้านบาท ยังเติบโตติดลบ 3-5% นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของจำนวนลูกค้าที่เข้ามา visit ในร้านเดิมยังเพิ่มขึ้นถึง 3% ทั้งๆ ที่ตลาดแข่งขันรุนแรงมาก จากธุรกิจอาหารประเภทใหม่ แบรนด์อาหารใหม่ๆ รวมทั้ง street food ที่เป็นตัวดึงลูกค้าออกไปกินอาหารนอกบ้านมากขึ้น” อนุพนธ์กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/jJ5woj4wXYxvqMembzCR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jJ5woj4wXYxvqMembzCR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อต่อยอดความแข็งแกร่งของแบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี และเพิ่มความถี่ให้ลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าสมาชิกให้กลับมาใช้บริการที่สาขามากขึ้นจาก 3.3-3.5 ครั้งในปี 2024 เป็น 4.3 ครั้ง ในปีนี้บริษัท จึงจะตอกย้ำความคุ้มค่าด้วยการเปิดตัวแคมเปญใหญ่แห่งปี “1 แถม 1 พร้อมบวก” เมื่อลูกค้าซื้อพิซซ่าสองถาด ในราคาเริ่มต้นเพียง 279 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยลูกค้าจะได้รับความคุ้มค่า 3 อย่างได้แก่ ฟรีค่าส่ง, ปีกไก่ 1 แถม 1 และคูปองส่วนลด 500 บาท โดยเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายตลอดเพิ่มขึ้น และช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่เป็น pizza lover ตัวจริง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/MXdaF2a3TNsjVGvgzroR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MXdaF2a3TNsjVGvgzroR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ – 20 เมษายน 2568 ในทุกช่องทาง ทั้งเดลิเวอรี ผ่านแอปพลิเคชัน The Pizza Company 1112, เว็บไซต์ www.1112.com/th, โทร. 1112, ทานที่ร้าน หรือซื้อกลับบ้านที่ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี 430 สาขาทั่วประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับภาพรวมผลประกอบการปี 2567 ยอดขายของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนีเติบโตในทุกช่องทางประมาณ 5% และจำนวนลูกค้าเข้าร้านเติบโตมากกว่า 10% ทั้งที่ภาพของธุรกิจอาหารโดยรวมยังไม่ได้ฟื้นตัวเท่าที่ควร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แรงขับเคลื่อนหลักที่นำมาซึ่งความสำเร็จและความแข็งแรงของแบรนด์ มาจากกลยุทธ์การตลาดที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาเมนูใหม่ อาทิ การออก Pizza BiTE ในราคา 99 บาท ที่สามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าทานเดี่ยวได้มากขึ้น รวมถึงการนำเสนอเมนูพาสต้า สเต๊ก สลัด ที่ร้าน ในราคาเริ่มต้นแค่ 129 บาท ก็ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทำงาน นักเรียน และวัยรุ่น ได้เป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นี่เป็น magic movement และดึงลูกค้าให้เข้ามาที่ร้านได้ถี่ขึ้นมาก และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้กลายเป็น western food destination ในจังหวัดนั้้นๆ โดยไม่ต้องเข้ามาทานที่กรุงเทพฯ แล้ว เนื่องจากจุดแข็งเรื่องสาขา เราจึงรู้จักลูกค้าคนไทยดีที่สุด แม้เราจะเป็นอาหารตะวันตก แต่เราก็เป็นอาหารตะวันตกที่มีเมนูขี้เมา และซีฟู้ดส์” อนุพนธ์บอก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/gjopRxLXKwTaXFUaEF5q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gjopRxLXKwTaXFUaEF5q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ปัทม์ กล่าวต่อว่า แม้ในปี 2568 ยังจะเป็นปีที่ต้องเผชิญความท้าทาย ในเรื่องการอ่อนตัวของ macro economy ภาวะเงินเฟ้อ จากการขึ้นค่าแรงและวัตถุดิบ อาทิ นม โกโก้ เบอร์รี่ ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงจากการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ๆ แต่การจัดการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมการเสนอความคุ้มค่าของอาหาร การตอกย้ำไลฟ์สไตล์แบรนด์ตามกระแสนิยมของ art toy ด้วยมาสคอตน้องหนานุ่ม รวมทั้งการเปิดสาขาใหม่ จะทำให้ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยังคงเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดและเติบโตยอดขายมากกว่า 10% สูงกว่าการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ซึ่งคาดว่าจะโตเพียง 2.5% ในปีนี้ ภาพ: เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/dairy-queen-to-open-more-stand-alone-stores" alt="‘แดรี่ควีน’ บุกเปิดร้านสแตนด์อะโลน ในพื้นที่เชนร้านสะดวกซื้อ ประเดิม 7-Eleven ที่แรก">‘แดรี่ควีน’ บุกเปิดร้านสแตนด์อะโลน ในพื้นที่เชนร้านสะดวกซื้อ ประเดิม 7-Eleven ที่แรก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ พร้อมบวก! อัดงบลงทุนเพิ่มอีกกว่า 50% เปิดสาขาใหม่ทั่วประเทศเท่าตัว-ปรับโฉมสาขาเก่า

พิซซ่าเกาหลี-อเมริกันบุกไทย ตบเท้าชิงแชร์ตลาดหมื่นล้าน ฝั่งเดอะ พิซซ่า ดึง ‘บิวกิ้น-พีพี’ เป็นพรีเซ็นเตอร์

<h2>ความสำเร็จของ Domino’s, Papa John’s และธุรกิจพิซซ่ารายใหญ่ทั้งหลาย ก่อความเสียหายให้เหล่าร้านพิซซ่ารายย่อยมากมายตอนนี้ Slice กำลังลงมือช่วยรวมพลคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ พาเข้าสู่โลกออนไลน์ และปล่อยหมัดสวนกลับบ้าง</h2>
Ilir Sela ชอบเรียกตัวเองว่า “พิซซ่ารุ่นที่ 3” ผู้อพยพชาวแอลเบเนียวัย 38 ปี ซึ่งครอบครัวขยายของเขาเป็นเจ้าของร้านขายพิซซ่าจำนวนมากกระทั่งเขาเองก็จนปัญญาจะนับ ดังนั้นเมื่อเขาเปิดตัวธุรกิจในปี 2010 เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีช่วยร้านพิซซ่าอิสระให้สามารถแข่งขันกับร้านแบบ Domino’s, Little Caesars, Papa John’s และ Pizza Hut ได้ สิ่งแรกที่เขาทำคือให้พี่เขย ลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนๆ เขา เข้ามาสมัครใช้บริการในบรรดาคนจำนวนนั้นคือ Blerim Marku ผู้จัดการร้าน Pizza Club ในเมือง Edgewater รัฐ New Jersey และเป็นลูกพี่ลูกน้องญาติห่างๆ ของ Sela ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเขาใน New York ช่วงนั้น

Pizza Club ทำธุรกิจขายพิซซ่าผ่านหน้าร้านและส่งอาหารผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นวิธีล้าสมัย แม้จะรู้ว่า “Papa John’s และ Domino’s นั้นขายดิบขายดีจากยอดสั่งซื้อทางออนไลน์” Marku กล่าว ปัญหาคือร้านขายพิซซ่าขนาดเล็กยังไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากพอในการสร้างระบบสั่งซื้อออนไลน์ที่เป็นรูปแบบเฉพาะตัว ในขณะที่ตัวกลางเชื่อมระบบดิจิทัลอย่าง Grubhub และ Seamless ก็แพงเกินไปเมื่อ Sela นำเสนอหนทางราคาไม่แพงให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาในการรับคำสั่งซื้อรูปแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นบริการที่เขาเรียกว่า “MyPizza” Marku ก็เข้าร่วม ผลปรากฏว่ายอดขายของ Pizza Club ที่เคยชืดชากลับร้อนแรงขึ้นมาและตอนนี้ Slice กำลังช่วยให้ร้านทำเงินได้ราว 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ใกล้เคียงกับสาขาทั่วไปของ Domino’s “นี่แหละที่เราต้องการ” Marku กล่าว

วันนี้ Pizza Club คือหนึ่งในร้านขายพิซซ่ากว่า 8,200 แห่ง ทั้งในเมืองใหญ่และเมืองเล็กรวม 2,200 เมืองตลอดทั่วทุกรัฐในประเทศ ที่ใช้แพลตฟอร์มสั่งพิซซ่าของ Sela ซึ่งตอนนี้รีแบรนด์เป็น Slice จากการได้รับเงินสนับสนุน 20 ล้านเหรียญ Slice ตั้งอยู่ในมหานคร New York เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทดำเนินการจัดส่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว FORBES คาดการณ์ว่าคำสั่งซื้อในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 250 ล้านเหรียญซึ่งจะทำให้ Slice มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านเหรียญบริษัทมีศักยภาพที่จะโตยิ่งขึ้นไปกว่านี้เพราะถึงที่สุดแล้ว ตลาดพิซซ่าในสหรัฐอเมริกานั้นมีมูลค่าถึง 4.5 หมื่นล้านเหรียญ

แต่เนื่องจากเครือข่ายธุรกิจนี้ขยายตัวผ่านระบบดิจิทัล ร้านขายพิซซ่าท้องถิ่นจึงอยู่ในสภาวะล้าหลัง โดยเฉพาะ Domino’s นั้น ได้รับความเชื่อถือจากการพลิกธุรกิจมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีซึ่งสามารถผลักดันยอดขายออนไลน์ไปอยู่ที่กว่าครึ่งหนึ่งของอดขายทั้งหมดในสหรัฐฯ

Sela ใช้เงินนั้นเริ่มธุรกิจ MyPizza ที่นำเสนอสิทธิประโยชน์ 2 อย่างให้ร้านค้าท้องถิ่น อย่างแรกคือการขายแบบดิจิทัลที่ทำให้ปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้ามีแนวโน้มสั่งเพิ่มสินค้าที่ให้กำไรงามเช่น มอสซาเรลลาสติ๊ก หรือน้ำอัดลมขนาด 2 ลิตร Sela บอกว่าปริมาณการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อออร์เดอร์ของลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 18 เหรียญผ่านทางโทรศัพท์ มาอยู่ที่ 30 เหรียญผ่านแพลตฟอร์ม อย่างที่สองคือยอดขายออนไลน์มาพร้อมข้อมูล ซึ่งช่วยให้ร้านท้องถิ่นส่งมอบบริการและจับกลุ่มลูกค้าได้อยู่หมัดขึ้นผ่านโปรแกรมส่วนลดต่างๆ และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าขาประจำในช่วงแรกนั้น

บริษัทมีแค่ Sela และวิศวกรประจำเว็บไซต์ เขาไม่ได้มีงบทำการตลาดมากนัก เลยใช้วิธีติดแผ่นป้ายรอบรถ แล้วขับไปจอดหน้าร้านที่เขาหวังว่าจะสมัครใช้บริการ “ผมจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าของร้านเห็นรถ” เขากล่าว “นั่นช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เรา และทำให้พวกเขาคิดว่าธุรกิจเราใหญ่กว่าที่เราเป็น”

เขาคงต้นทุนไว้ที่ระดับต่ำด้วยการตั้งระบบหลังบ้านไว้ที่บ้านเกิดในมาซิโดเนียซึ่งตอนนี้เขามีพนักงาน 300 คน โดยส่วนใหญ่ทำหน้าที่คีย์ข้อมูลเข้าระบบและบริหารจัดการฐานข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานจุดขายของ Slice เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการเจ้าใหญ่กว่าที่ไม่ใช่แพลตฟอร์มเฉพาะสำหรับการสั่งซื้อพิซซ่า

Sela ทำเงินได้แล้ว 40 ล้านเหรียญจากคำสั่งซื้อพิซซ่าในปี 2015 ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นขณะที่กำลังมองหาเงินทุนและความชำนาญเฉพาะทางมาช่วยในการขยายธุรกิจ เขาก็เริ่มระดมทุนก้อนแรก จากนั้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา Sela และ Ryan Scott ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Slice และอดีตผู้บริหารของ Grubhub และ Seamless ก็ช่วยกันหว่านล้อมให้ Jeff Richards หุ้นส่วนผู้จัดการที่ GGV Capital บินมาจาก Silicon Valley เพื่อมาเจอพวกเขาที่งาน International Pizza Expo ใน Las Vegas Sela นักขายที่เต็มไปด้วยพลังและชอบเข้าสังคมพยายามเสนอขายโอกาสในการสร้างธุรกิจที่อาจแข่งขันกับยักษ์ใหญ่วงการพิซซ่า ด้วยการรวมร้านพิซซ่าขนาดเล็กนับหมื่นแห่งเข้าด้วยกัน เขายังมองเห็นโอกาสสำหรับ Slice ที่จะช่วยลูกค้าในการทำราคาขายต่อกล่องและต่อเมนูได้ดีกว่า และโอกาสในการขยายธุรกิจไปนอกสหรัฐฯ

“ในฐานะนักลงทุนในบริษัทร่วมลงทุน” Richards กล่าว “หลายครั้งที่เราได้ยินว่ามีผู้คนแวดวงเทคโนโลยีหาทางเข้ามาทำงานในธุรกิจที่พวกเขาพยายามเรียนรู้ นี่คือชายหนุ่มจากธุรกิจนั้น ที่เติบโตมากับซอสพิซซ่าในเส้นเลือด และรู้ดีว่ามีปัญหาใหญ่อยู่ในธุรกิจของตน” และทั้ง Richards กับ Sela ต่างก็รู้ว่าปัญหาขนาดใหญ่ย่อมนำมาซึ่งโอกาสอันยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน

เรื่อง: Amy Feldman เรียบเรียง: ชูแอตต์

<hr />

<a href="http://bit.ly/2sscxRI">คลิกอ่านฉบับเต็มของ "ปลดตรวนพิซซ่า" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มิถุนายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2sscxRI"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f88efffd328103b25d80f6c20d7f1bea.jpg" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events