<h2>เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว NEIGHBOR SERVICE มาร์เก็ตเพลสสร้างรายได้รูปแบบใหม่ นำร่องเปิดใช้งานกับลูกค้าเครือเอพีกว่า 80,000 ครอบครัว อีกหนึ่งความตั้งใจในการสร้างสังคมคุณภาพ ภายใต้ปรัชญา COMMUNITY OF THE FUTURE</h2>
สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายงานกลยุทธ์แบรนด์ องค์กร บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญกับภาวะการล็อกดาวน์มามากถึง 4 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งได้สร้างความเสียหายอย่างมากกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน

หลายคนนำเงินเก็บที่มีอยู่มาใช้เพื่อให้ชีวิตสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านมาหลายหน่วยงานจะร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เชื่อว่าการช่วยเหลือที่ยั่งยืนและดีที่สุดคือ การให้เครื่องมือหรือสร้างช่องทางที่เอ็มพาวเวอร์ให้คนไทยทุกคนสามารถลุกขึ้นมาเดินหน้าต่ออย่างเข้มแข็งด้วยตนเองอีกครั้ง

ดังนั้น เอพี ไทยแลนด์ จึงเปิดตัว NEIGHBOR SERVICE มาร์เก็ตเพลสสร้างรายได้รูปแบบใหม่ หนึ่งเดียวในไทยที่เป็นศูนย์กลางซื้อ-ขาย สินค้าในรูปแบบของ ‘ความสามารถพิเศษ’ เพื่อคนไทยในทุกไลฟ์สไตล์ใช้งานแพลตฟอร์มได้ฟรี! โดยไม่จำกัดต้องเป็นลูกค้าเอพีเท่านั้น ผ่าน <a href="http://www.apneighborservice.com">www.apneighborservice.com</a>

“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการหมดสิ้นความหวัง การที่ตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วอยู่กับความคิดที่ไม่รู้จะไปต่อหรือเริ่มต้นยังไง นั่นแหละคือสิ่งที่จะฆ่าเรามากกว่าเชื้อโควิด-19 ด้วยซ้ำ และด้วยความเชื่อที่ว่า ทักษะหรือความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่ทุกคนมีอยู่นั้น เป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามาก

สร้างประโยชน์ให้กับใครอีกหลายคนได้ และที่สำคัญสามารถนำมาสร้างให้เกิดเป็นอาชีพที่ 2 เสริมรายได้เพิ่มในภาวะวิกฤตเช่นนี้ เราจึงพัฒนาแพลตฟอร์มรูปแบบนี้ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนให้คนขาย-คนซื้อมาเจอกัน โดยมีสินค้าที่ไม่ได้เป็นสิ่งของ แต่คือความสามารถเฉพาะด้าน”

<img class="alignnone size-full wp-image-51936" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/เอพี-ไทยแลนด์_0903.jpg" alt="" width="600" height="419" />

วันนี้ในแพลตฟอร์ม NEIGHBOR SERVICE เรามีผู้ขายมาเปิดร้านมากแล้วกว่า 200 ความสามารถพิเศษ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของคนทุกวัย ที่มีตั้งแต่การให้คำปรึกษาฟรีโดยไม่คิดค่าบริการ เช่น สอนทักษะการขับรถบิ๊กไบค์ การขับขี่ในสนาม แนะนำการจูนรถ การแต่งรถ หรือสอนเทคนิคเลี้ยงไก่เพาะไข่ออร์แกนนิคกินเองที่บ้าน ที่ทำให้ได้เห็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของคนในสังคม เป็นคุณค่าทางใจที่ได้นำความสามารถพิเศษมาช่วยเหลือ

แลกเปลี่ยนกัน ไปจนถึงเซอร์ไพรส์พิเศษด้วยความสามารถเฉพาะด้านจากนักร้องสาวเสียงดี เจ้าของเพลงฮิตมากมาย รู้จักกันดีในชื่อ “โบกี้ไลอ้อน” (BOWKYLION) ที่พร้อมไปร้องเพลงอวยพรวันเกิดหรือเซอร์ไพรส์ในโอกาสพิเศษให้ถึงที่บ้าน และบริการเฉพาะด้านอีกมากมายจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของแต่ละคน

โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์มจะจุดประกายให้ทุกคนหันกลับมามองตัวเอง ด้วยสายตาใหม่ กลับมามองความสามารถของตัวเองในบริบทใหม่ เพราะทุกความสามารถที่คุณมีอาจจะมีค่าและเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของใครอีกคนก็ได้ และยังสร้างรายได้หมุนเวียนให้เกิดขึ้นในสังคมของตัวเอง

<img class="alignnone size-full wp-image-51937" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/เอพี-ไทยแลนด์_0904.jpg" alt="" width="600" height="474" />

“เราได้นำร่องเปิดใช้งานแพลตฟอร์ม NEIGHBOR SERVICE ไปแล้วกับลูกค้าเครือเอพีกว่า 80,000 ครอบครัว ซึ่งมากกว่าเรื่องของค่าตอบแทนคือ มิตรไมตรีและความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในคอมมูนิตี้ที่เครือเอพีดูแลกว่า 270 โครงการ

เกิดเป็นเฟรนด์ชิพแห่งการแบ่งปันระหว่างเพื่อนบ้าน และขยายผลออกไปยังสังคมภายนอก เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนสร้างสังคมที่มีความหมายให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามปรัญญา COMMUNITY OF THE FUTURE ที่เอพีเราใช้เป็นแนวทางในการดูแลและสร้างสัมคมแห่งการอยู่อาศัยร่วมกันให้เกิดขึ้นกับลูกบ้านของเรา”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/the-incubation-network-การรวมตัวเพื่อมุ่งแ.html">The Incubation Network การรวมตัวเพื่อมุ่งแก้ปัญหา “ขยะพลาสติก”</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว NEIGHBOR SERVICE มาร์เก็ตเพลสสร้างรายได้รูปแบบใหม่

<h2>บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส เปิดตัว NocNoc ที่รวบรวมสินค้าและบริการวัสดุก่อสร้างรายแรกและรายเดียวในไทยบนโลกออนไลน์ ด้าน เจฟฟ์ บูธ ผู้ร่วมก่อตั้ง เผยเป้าสูงสู่ผู้นำด้านแพลตฟอร์มในไทยและอาเซียนในปี 2568</h2>
ชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ผู้ร่วมก่อตั้ง และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด กล่าวว่า ในปัจจุบันพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นักการตลาดรวมถึงผู้พัฒนาในหลายๆ อุตสาหกรรมต้องปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ ขณะที่อุตสาหกรรมอื่นมีผู้ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคมากมาย แต่การจะซ่อมหรือทำบ้านสักหลังในทุกวันนี้ ยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายที่สูง

"จากปัญหาและ Pain Point ข้างต้น จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสขึ้น ภายใต้ชื่อ“NocNoc” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มากไปกว่าการรวบรวมสินค้าและบริการด้านวัสดุก่อสร้าง สินค้าเฟอร์นิเจอร์เพื่อการตกแต่งบ้านเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขายให้เจอกันบนโลกออนไลน์ง่ายยิ่งขึ้นกว่าในอดีต ทำให้เจ้าของบ้านได้รับประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน การเลือกซื้อสินค้า การได้สัมผัสสินค้าตัวอย่างจริงก่อนตัดสินใจซื้อได้ถึงหน้าบ้าน การเปรียบเทียบราคาสินค้า รวมถึงการเลือกผู้รับเหมาให้บริการที่ตรงกับความต้องการได้ครบบนแพลตฟอร์มเดียว" ชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย กล่าว

<figure><img class="wp-image-4367" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/close-up.jpg" alt="" width="547" height="825" /><figcaption> ชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ผู้ร่วมก่อตั้ง และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด </figcaption></figure>

บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสธุรกิจวัสดุก่อสร้างสอดคล้องกับกำลังซื้อในประเทศเริ่มฟื้นตัว ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยในประเทศอยู่ที่ราว 4.8 พันล้านบาท รวมถึงการขยายตัวของกำลังซื้อในกลุ่มครัวเรือนใช้จ่ายเกี่ยวกับการสร้างบ้าน การซ่อมแซมบ้านมากขึ้นตามลำดับ

จากการเปลี่ยนแปลงนี้ เชื่อว่าNocNoc จะสามารถเป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหาเดิมและเติมเต็มความต้องการให้กับผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งยังเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนใหม่ให้กับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างอย่างแน่นอน

ด้าน เจฟฟ์ บูธ ผู้ร่วมก่อตั้ง และคณะกรรมการบริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด กล่าวเสริมว่าNocNoc เป็นแพลตฟอร์มที่จะเข้ามามีบทบาทสร้างให้เกิด Ecosystem ที่มีศักยภาพขึ้นในวงการธุรกิจวัสดุก่อสร้างในไทยและอาเซียน สร้างเครือข่ายและพันธมิตรกับผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ร้านค้า รวมถึงช่างรับเหมาก่อสร้าง

โดยเริ่มพัฒนาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ซื้อ - สามารถเลือกสินค้าได้อย่างหลากหลาย ในราคาที่เหมาะสม ในขณะเดียวกัน ผู้ขาย - สามารถเพิ่มช่องทางการขาย และขยายฐานลูกค้ามากขึ้น และยังได้เรียนรู้ เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเพิ่มขึ้น และ ผู้ให้บริการ - มีพื้นที่ให้สร้างชื่อเสียงและตัวตนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

นอกจากนี้ยังรวมถึงระบบการชำระเงินและการขนส่งสินค้าอย่างมืออาชีพ โดยเริ่มต้นจากหัวเมืองขนาดใหญ่ และขยายสู่ทุกพื้นที่เพิ่มเติมในอนาคต เริ่มให้บริการใน 3 หมวดหมู่หลัก ได้แก่ Flooring รวบรวมสินค้ากระเบื้อง พื้นไม้ลามิเนต ฯลฯ, Walling กระเบื้องคอนกรีตตกแต่งผนัง กำแพงตกแต่งสวน วอลเปเปอร์ วัสดุบุผนังใช้ในการตกแต่งภายใน และ Furniture

<figure><img class="wp-image-4369" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/close-2.jpg" alt="" width="555" height="794" /><figcaption> เจฟฟ์ บูธ ผู้ร่วมก่อตั้ง และคณะกรรมการบริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส </figcaption></figure>

เจฟฟ์ คาดการณ์จำนวนผู้เข้าใช้บริการราว 5 แสนราย และมีสินค้ามากกว่า 50,000 SKUs รวมถึงหมวดหมู่สินค้าและบริการให้มากขึ้นภายในสิ้นปี 2562

“สำหรับแพลตฟอร์ม NocNoc เราได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาประมวลผลและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล หรือการทำ Personalize Customization เพื่อตอบโจทย์และตรงความต้องการของลูกค้าให้ได้สินค้าที่เหมาะสมกับตนเองมากยิ่งขึ้น และลดความยุ่งยากเกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้าในอดีต ตลอดจนตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไม่มีสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง ซ่อมแซมปรับปรุง ต่อเติมที่อยู่อาศัย หรือ การหาวัสดุก่อสร้างที่ต้องการได้สินค้าที่ถูกต้องตรงใจได้ในระยะเวลาจำกัด และงบประมาณที่ควบคุมได้” เจฟฟ์ บูธ กล่าวและทิ้งท้ายว่า

“ในอนาคตNocNoc จะเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้แก่วงการวัสดุก่อสร้างได้อย่างเป็นรูปธรรม  พร้อมก้าวสู่ผู้นำด้านแพลตฟอร์มวัสดุก่อสร้างในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2568”

เปิดตัว NocNoc แพลตฟอร์มออนไลน์รุกตลาด วัสดุก่อสร้าง และตกแต่งบ้าน

<h2>JD.com ฉวยจังหวะที่พฤติกรรมการช็อปออนไลน์ของลูกค้าแดนมังกรกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ดันตัวเองให้เป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือ เพื่อขึ้นแท่นขวัญใจลูกค้าแทนที่ Alibaba</h2>
เช้า 8.30 น. ของวันนัดประชุมวันหนึ่ง Richard Liu ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร JD.com ห้างค้าปลีกออนไลน์ของจีนเข้าประชุมผู้บริหารประจำวัน ในฐานะลูกค้าที่รู้สึกไม่สบอารมณ์

เรื่องของเรื่องก็คือ Liu สั่งไอศกรีมจาก JD.com แต่กลับต้องผิดหวังเพราะไอศกรีมมาถึงในสภาพละลายเล็กน้อย เขาไม่ยอมให้มีการให้บริการแบบขอไปทีเช่นนี้ และประกาศต่อหน้าผู้บริหารที่เข้าประชุมว่า จะไม่มีการขยายธุรกิจจัดส่งของชำที่ก่อตั้งใหม่จนกว่าปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไข ท้ายสุด JD แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มเจลเก็บความเย็นในภาชนะจัดส่ง

Liu วัย 42 ปี ตรวจสอบการดำเนินงานของ JD อย่างใกล้ชิด แต่ละวันเขาจะสั่งสินค้าประมาณสองชิ้นเพื่อติดตามความฉับไวในการจัดส่ง ความแข็งแรงทนทานของบรรจุภัณฑ์ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์

“คุณควรลองใช้บริการของบริษัทของคุณเองอยู่เสมอไม่เช่นนั้น พนักงานจะมองว่าค่านิยมของบริษัทก็เป็นแค่คติพจน์ลอยๆ ที่ติดไว้บนผนังเท่านั้น” Liu บอก

การที่ Liu ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการให้บริการนับเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจาก JD ต้องต่อกรกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Alibaba ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง (แต่บางคนอาจบอกว่าชื่อเสียมากกว่า) สำหรับ Taobao ซึ่งเป็นตลาดที่แออัดไปด้วยผู้ค้าสินค้าราคาถูกคุณภาพต่ำและของเลียนแบบ ตรงข้ามกับ JD.com ที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดส่งสินค้าของแท้ตั้งแต่ทีวีจนถึงไวน์และเตาไมโครเวฟอย่างรวดเร็วทันใจและเชื่อถือได้ในห่วงโซ่อุปทานที่มีการควบคุมเข้มงวดและต้นทุนสูง

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีหุ้นของบริษัทใดมีผลงานเข้าตากรรมการเลย นับจากที่ Alibaba เสนอขายหุ้นให้สาธารณชนครั้งแรก (IPO) เมื่อปี 2014 ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทมีผลตอบแทนต่ำกว่า 8.5% ของดัชนี S&amp;P 500 มาโดยตลอด โดยหุ้น Alibaba ร่วง 3% ส่วน JD.com ดิ่ง 7%

กระนั้นดูเหมือน JD อยู่ในตำแหน่งที่มีลู่ทางพลิกสถานการณ์ได้ เนื่องจากมีการคาดหมายว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 30% เป็น 3.7 หมื่นล้านเหรียญในปี 2016 จากการฉวยจังหวะที่รสนิยมของผู้บริโภคจีนเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารได้เร็วกว่าคู่แข่ง

“ผู้ใช้มีความซับซ้อนมากขึ้น รวยขึ้น และคาดหวังผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงขึ้น รวมทั้งการจัดส่งและการให้บริการที่ดีขึ้น” Chi Tsang หัวหน้าฝ่ายวิจัยอินเทอร์เน็ตในเอเชียของ HSBC ในฮ่องกงกล่าว

Liu เริ่มสร้างตัวจากแผงลอยในตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของปักกิ่งในปี 1998 แต่ความลังเลในการต่อรองราคาและการยืนกรานที่จะขายแต่ของแท้ทำให้เขาแทบกระอัก จนกระทั่งเขาเปลี่ยนไปป้อนสินค้าให้แผงอื่นๆ แทน เนื่องจากมีผู้ค้าเพียงไม่กี่เจ้าที่ตุนของมากเท่าเขา

การระบาดของโรค SARS ในปี 2003 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อผู้คนพากันหลีกเลี่ยงพื้นที่สาธารณะซึ่งทำให้ Liu ฉุกคิดขึ้นมาทันใดว่ามีผู้คนมากมายแค่ไหนที่ต้องการจับจ่ายสบายๆ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน

หนึ่งปีต่อมา เขาเริ่มนำสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของตนไปปล่อยบนอินเทอร์เน็ตแต่ไม่นานการจัดส่งเริ่มฟ้องว่ามีปัญหา ลูกค้ามากมายบ่นว่าได้รับของช้า บ้างว่าสินค้ามาถึงมือในสภาพบุบบี้ ปี 2007 Liu จึงตัดสินใจว่า JD จำเป็นต้องมีเครือข่ายโลจิสติกส์ของตัวเองเพื่อ “ปูทางสำหรับการเติบโตอย่างรวดเร็วในปีต่อๆ ไป”

สินค้าเกือบทั้งหมดที่ JD ขายให้ลูกค้าโดยตรงมาจากเครือข่ายคลังสินค้า 254 แห่ง (สินค้าอื่นๆจำหน่ายโดยผู้ค้าภายนอกที่ได้รับการอนุมัติ โดยที่ JD รับผิดชอบการจัดส่งสินค้าเหล่านั้นกว่า 1 ใน 3)

ถัดมาคือกองทัพพนักงานส่งของในเครื่องแบบสีแดงประมาณ 62,000 คน ที่จัดส่งรวดเร็วทันใจด้วยรถสามล้อไฟฟ้าและยานพาหนะอื่นๆ งานของพนักงานเหล่านี้ต้องการความฉับไว เพราะ JD ให้สัญญาว่าถ้าสั่งของในเมืองใหญ่ก่อนเวลา 11.00 น. ลูกค้าจะได้รับของในวันเดียวกัน

“เราสอนพนักงานทุกคนให้ปฏิบัติต่อลูกค้าด้วยความเคารพนบนอบ” Liu กล่าว

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c14214aa58eef36106c588c6cf0db477.png" alt="" />

อันที่จริงแล้ว JD คือสูตรผสมระหว่าง Amazon.com กับ UPS ในเวอร์ชั่นจีน นอกจากนั้น Liu ยังหยิบยืมกลเม็ดเคล็ดลับต่างๆ จากตำราของ Bezos มาใช้ด้วย เขาใช้จ่ายอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเบ่งบานถึง 8 เท่านับจากปี 2011 เป็น 2.9 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว เขายังขยายธุรกิจอย่างดุเดือด (นอกเขตเมืองสู่พื้นที่ชนบท) ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ (อาจใช้โดรนเพื่อเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล) และสร้างหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (รวมถึงแผนกไฟแนนซ์)

และเช่นเดียวกับที่ Amazon ประสบการใช้จ่ายทั้งหมดเหล่านั้น ส่งผลให้ JD ขาดทุน 1.4 พันล้านเหรียญเมื่อปี 2016 หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2011 ถึง 630% ในทางกลับกัน Alibaba พึ่งพิงพันธมิตรภายนอกในการขายและจัดส่งสินค้าบนแพลตฟอร์มของบริษัทแบบที่ทำมาตั้งแต่ต้น ซึ่งส่งผลให้บริษัททำกำไรอย่างน่าประทับใจ โดยในปีที่ผ่านมา Alibaba มีกำไรสุทธิกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญมากกว่าที่เคยทำได้นับจากปี 2013 กว่า 3 เท่า

“เรากำลังขยับเข้าใกล้ความสามารถในการทำไรเข้าไปทุกที” Liu มั่นใจ สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า JD จะขาดทุนลดลงอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านเหรียญในปี 2016 และ 250 ล้านเหรียญในปีนี้ก่อนที่จะทำกำไรได้ในที่สุดในปี 2018 “ลูกค้าทุกวันนี้ใช้อี-คอมเมิร์ซเพราะให้ความสำคัญกับคุณภาพเป็นอย่างแรก รองลงมาคือบริการ และราคา และผู้บริโภคจีนกำลังต้องการสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น” Liu ปิดท้าย

&nbsp;

<hr />

<a href="http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/FORBES/509ec3a7-8163-45f3-99d4-3a4d51b44dd1">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มของ "มอลล์ออนไลน์ ยักษ์ใหญ่แดนมังกร" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2560</a>
<a href="http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/FORBES/509ec3a7-8163-45f3-99d4-3a4d51b44dd1"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/600d1842ba62b7ea65c2ad33b3022a0c.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events