Dusit Central Park เผยก่อสร้างคืบหน้าตามแผน เรสซิเดนซ์ปิดการขาย 85% แล้ว ตั้งเป้าส่งมอบห้องชุดปลายปี 2568

<h2>นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 พบกับบุคคลบนปก ‘วิชัย กุลสมภพ’ ภารกิจ SPI ผูกพัน-แบ่งปัน KingsQuare The Sustainable Mixed-Use</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘วิชัย กุลสมภพ’ ภารกิจ SPI ผูกพัน-แบ่งปัน KingsQuare The Sustainable Mixed-Use - การตอบรับที่ดีของโรงเรียนนานาชาติ King’s College Bangkok หลังเปิดตัวไม่นานมีนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความต้องการหลายอย่างตามมา ทำให้เครือสหพัฒน์ตัดสินใจลงทุนโครงการใหญ่ด้วยแนวคิด Community of Kindness มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท หรือโครงการ KingsQuare ที่ถือเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (mixed-use) ขนาดใหญ่ที่สุดบนทำเลถนนพระราม 3 โดยโครงการนี้อยู่ภายใต้บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI ซึ่งดูแลด้านการร่วมทุนและการพัฒนาใหม่ๆ ของเครือสหพัฒน์ โดยมี ‘วิชัย กุลสมภพ’ นำทัพในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารนั่นเอง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/Rdr4MQzqVy5ZV8USNzxa.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Rdr4MQzqVy5ZV8USNzxa.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="571,751" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Thriving 30s พบกับ พัชรพล เตชะหรูวิจิตร ปรับโฉม ASIA - ทายาทรุ่น 3 ของธุรกิจโรงแรมทุ่มงบ 750 ล้านบาทรีโนเวตโรงแรมเอเชียและโรงแรมในกลุ่มให้มีความร่วมสมัยเป็น Top Tier ของโรงแรม 4 ดาว เจาะกลุ่มลูกค้าภาคเอกชน ตั้งเป้าเติบโต 10%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ The Next Tycoons พบกับ พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล PCE สานต่อน้ำมันปาล์มยั่งยืน – เมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการบ่มเพาะใต้ร่มเงาอาณาจักรเพชรศรีวิชัยแห่งสุราษฎร์ธานี สู่ลูกไม้ใกล้ต้นที่สามารถเติบโตตามรอยทางและสานต่อความยั่งยืนทางธุรกิจ พร้อมจัดทัพแข่งขันระดับโลก ตอกย้ำการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/QTVhPmRFwygs4YmxL8Bn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QTVhPmRFwygs4YmxL8Bn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="573,751" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Strategies พบกับ ณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี FSMART เติมแต้มต่อคู่ชุมชน - ภารกิจยกระดับบุญเติมสู่ธนาคารชุมชนให้บริการทางการเงินเข้าถึงทุกภูมิภาค พร้อมผนึกกำลังเดินหน้าอัปเกรดตู้เต่าบินขวัญใจมหาชน และขยายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ากิ้งก่า (GINKA) ปักหมุดทำเลศักยภาพทั่วประเทศเชื่อมต่อนวัตกรรมที่ยั่งยืนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Small Giants พบกับ สรชัย เรืองสขศิลป์ ขับเคลื่อนความฝันเภสัชกรไทย - เพราะต้องการผลิตยาที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม ลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศ ปี 2526 เภสัชกรกลุ่มหนึ่งจึงร่วมกันจัดตั้งบริษัทเพื่อผลิตยาและจำหน่ายให้กับสมาชิก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/XXz86QY92Cp6MAWuSKkY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XXz86QY92Cp6MAWuSKkY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="573,739" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp; &nbsp; การเป็นแม่ทัพหญิงคนแรก และเป็นผู้บริหารไทยคนแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบริษัทข้ามชาติที่ทำธุรกิจมายาวนานกว่า 50 ปี ย่อมมีความน่าสนใจ และการก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งทำให้เธอมีความโดดเด่นทั้งในแง่การรับมือกับวิกฤตและการบริหารจัดการที่ก้าวข้ามอุปสรรคสู่การปรับองค์กรและวิธีทำงานใหม่ ซึ่งนอกจากยอดขายไม่ตกแล้ว เธอยังทำให้การบริหารจัดการทำาได้รวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น พบกับ นพมาศ ปิยะธำรงชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิทิชีโน (ประเทศไทย) จำกัด ในคอลัมน์ Dine with the Boss ของเล่มนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนคอลัมน์ Innovations ในเล่มนี้ พบกับ นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ ซีอีโอแห่ง “Gracz” โมเดลบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน นวัตกรรมรักษ์โลก-สุขภาพ – สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่คนทั้งโลกตระหนักและให้ความสำคัญ แต่ถึงกระนั้นความสูญเสียจากสิ่งแวดล้อมถูกทำลายก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่ำงรวดเร็วและต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes Lifestyle ในเล่มนี้ยังพบกับเรื่องราวการผนึกพันธมิตรญี่ปุ่นของ OR เพื่อเปิดไลน์ธุรกิจใหม่ด้านสุขภาพ-ความงามผ่านร้านต้นแบบ “found &amp; found” รวมถึงอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ เรื่องราวของ นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ จากเพจท่องเที่ยวสู่คลินิกบนห้างหรู ​ร่วมอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจรวมถึงเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 และอ่านในรูปแบบ e-magazine

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 พบกับบุคคลบนปก ‘วิชัย กุลสมภพ’ ภารกิจ SPI ผูกพัน-แบ่งปัน KingsQuare The Sustainable Mixed-Use

<h2>ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดโรดแมป 5 ปี พัฒนามิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ในหัวเมืองท่องเที่ยว เริ่มพัฒนา 2 ทำเลพร้อมกัน ภูเก็ต บางเทา บีช และเขาใหญ่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,000 ล้านบาท ผสมผสานคอนโดมิเนียม, ลักชูรี วิลล่า, โฮเทล วิลล่า, บีชคลับ, เรสซิเดนซ์, โรงแรม 5 ดาว, บริการ Wellness</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฤษณ์ เตชะสัมมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า วิสัยทัศน์ของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงการพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สะดวกสบาย ครบวงจร พร้อมทั้งสร้างความเจริญ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ และการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบให้กับพื้นที่​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/rNidWoKDFg3DotdAUNqy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="rNidWoKDFg3DotdAUNqy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด จึงได้เกิดโมเดลการพัฒนาเมืองระดับเมกะโปรเจกต์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด” (Origin Resort World) ขึ้น เป็นการยกทัพหลากหลายบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด,บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI, บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO, บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาร่วมกันพัฒนาอาณาจักรมิกซ์ยูสในทำเลท่องเที่ยวศักยภาพ สร้างเมืองที่บูรณาการทุกองค์ประกอบ อาทิ โรงแรมระดับ 5 ดาว, วิลล่า, คอนโดมิเนียม และ บริการด้าน Wellness ให้เป็น World Detitanation แห่งการพักผ่อนครบวงจรอย่างเหนือระดับ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/fejuV6KMqCwfxs9kn7cH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fejuV6KMqCwfxs9kn7cH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div>กฤษณ์ เตชะสัมมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด บริษัทวางโรดแมประยะ 5 ปี (2567-2572) นำร่องพัฒนาโครงการออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ก่อนใน 2 ทำเล ได้แก่ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต | บางเทา บีช” (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) และ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด | เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 11,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องจากเป็น 2 ทำเลท่องเที่ยวระดับท็อปของประเทศ มีดีมานด์สำหรับทุกตลาด ทั้งตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อการอยู่อาศัยเอง ตลาดบ้านพักตากอากาศ ตลาดลงทุนปล่อยเช่าระยะยาว ตลาดเข้าพักท่องเที่ยวระยะสั้น ตลอดจนตลาดเข้าพักระยะยาว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต | บางเทา บีช (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ ติดหาดบางเทา หาดที่ขึ้นชื่อว่าพระอาทิตย์ตกสวยที่สุด และถือเป็นทำเลศูนย์กลางในการเดินทางเพื่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ของภูเก็ตได้อย่างสะดวก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประกอบด้วย 5 โครงการ ได้แก่ 1.โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (SO Origin Bangtao Beach) คอนโดมิเนียมหรู สูง 8 ชั้น 2.บัลโค (Balco) ลักชูรี พูล วิลล่า จำนวน 35 หลัง 3.วัน ออริจิ้น โฮเทล บางเทา (One Origin Hotel Bangtao) โรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเชน 4.Branded Residences 5.Tichuka Phuket Beach Club ยกทัพจากบาร์ชื่อดังในทองหล่อ สู่พื้นที่สังสรรค์และพักผ่อนริมทะเล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 100%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 100%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/H8HLi7BcJy2yjoTfYypb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="100%," data-align="center" data-file-name="H8HLi7BcJy2yjoTfYypb.jpg" data-file-size="0" origin-size="900,506" data-origin="497px,279px" style="width: 100%;" data-index="2" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="100,"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>โซ ออริจิ้น บางเทา บีช</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จะประเดิมพื้นที่เฟสแรกในภูเก็ตด้วย โซ ออริจิ้น บางเทา บีช มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 545 ยูนิต และ 1 คลับเฮ้าส์ ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 26 ตร.ม. 32 ตร.ม. และ 50 ตร.ม. ตกแต่งครบแบบ Fully Furnished&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3/2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2569 เปิดขายรอบ VVIP ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท หลังจากนั้น บริทาเนีย จะเปิดขายบัลโค (Balco) อย่างเป็นทางการในเฟสถัดไปภายในปีนี้ ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 32 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/esB8nFYWnWCNf54VcFBE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="esB8nFYWnWCNf54VcFBE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"><figcaption><div>บัลโค</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด | เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) เป็นเมกะโปรเจกต์มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้าน ในแปลงที่ดินขนาด 40 ไร่ บน ถ.ธนะรัชต์ ที่ประกอบด้วยความพิเศษหลายอย่าง ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการ่วมทุนกันระหว่างเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และเครือบริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.มีบริการด้าน Wellness และ Well-Being พร้อมรองรับผู้พักอาศัยทุกช่วงวัย อาทิ บริการทางการแพทย์ระดับเวิลด์คลาส บริการตรวจสุขภาพประจำสัปดาห์ ศูนย์ฟื้นฟูและกายภาพ ศูนย์สันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจ เติมพลังบวกให้แก่การพักผ่อนทั้งของคู่รัก ครอบครัว กลุ่มเพื่อน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/KatpdP7d1noDRskc2cyQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KatpdP7d1noDRskc2cyQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"><figcaption><div>ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด | เขาใหญ่</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวโครงการ พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ The Integrated Well-Being Residence and Hospitality Destination บูรณาการพลังแห่งธรรมชาติอันเป็นจุดเด่นของเขาใหญ่ การออกแบบระดับมาสเตอร์พีซ บริการระดับเวิลด์คลาส และโปรแกรมการพักผ่อนที่ยกระดับ Well-Being ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.Branded Residences Villa เป็น Luxury Pool Villa จำนวน 19 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.Branded Residences Condominium เป็นอาคารขนาด 4-6 ชั้น จำนวน 20 อาคาร รวม 405 ยูนิตพักอาศัย ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.โรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 191 ห้องพัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.ศูนย์บริการด้าน Wellness​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/6RCJiooAkBga5tf79r1p.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6RCJiooAkBga5tf79r1p.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="5"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เขาใหญ่กำลังกลายเป็นเมืองตากอากาศที่จะมาแทนที่เชียงใหม่ เนื่องจากมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การผ่อนคลายจากทุกความเหนื่อยล้าจากการทำงานและชีวิตในเมือง อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และยังสามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/vyPiWSbENu5Rpg22SLKh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="vyPiWSbENu5Rpg22SLKh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="6"><figcaption><div>ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามองว่าตลาดบ้านพักตากอากาศ ยังมีความต้องการสูงมากในพื้นที่นี้ ส่งผลให้เราเปิดตัว Branded Residences Villa และ Branded Residences Condominium ก่อนเปิดให้ชม Show unit ครั้งแรกพร้อมนำเสนอ 3D simulation urban &amp; lifestyle เจ้าแรกเจ้าเดียวในเขาใหญ่ ปลายเดือน ม ค. นี้ และ เปิดขายรอบ VVIP ปลายเดือน ก.พ. นี้ และน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมเร็วๆ นี้” ประเสริฐกุล กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/property/phuket-hot-location-luxury-villa" alt="‘ภูเก็ต’ ทำเลฮอตบ้านพักตากอากาศหรู ดีมานด์ทะลัก ทั้งอยู่เองและลงทุน">‘ภูเก็ต’ ทำเลฮอตบ้านพักตากอากาศหรู ดีมานด์ทะลัก ทั้งอยู่เองและลงทุน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ออริจิ้น” ลุยปั้นมิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว ปักธง “ภูเก็ต-เขาใหญ่” มูลค่าโครงการรวม 11,000 ล้าน

<h2>“บมจ.วัน ออริจิ้น” หรือ ONEO ผนึกกำลัง “ทีแอลทีเอช” ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ ญี่ปุ่น ลุยสร้างมิกซ์ยูส (Mixed Used) แห่งใหม่ย่านบางนา โครงการ “วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68” มิกซ์ยูสมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท ผสมผสานโรงแรม ค้าปลีก และออฟฟิศ รองรับย่านบางนาที่จะกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งและท่องเที่ยวระดับโลก คาดเปิดให้บริการไตรมาส 4/2569</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า “ONEO” บรรลุข้อตกลงร่วมทุน (Joint venture) กับบริษัท ทีแอลทีเอช จำกัด (TLTH Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ โตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น เพื่อร่วมพัฒนา “โครงการวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68” (One Origin Sukhumvit 68)&nbsp;&nbsp; &nbsp; โดยเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส (Mixed Used) ผสมผสานระหว่างโรงแรม พื้นที่ค้าปลีก และอาคารสำนักงาน มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,700 ล้านบาท ภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 จำกัด ที่ ONEO ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และบริษัท ทีแอลทีเอช จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 49%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับแอคคอร์ กรุ๊ป (Accor Group) ผู้บริหารเครือโรงแรมชั้นนำระดับโลก นำแบรนด์โรงแรมระดับพรีเมียม แกรนด์ เมอร์เคียว (Grand Mercure) มาเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรมในโครงการวันออริจิ้น สุขุมวิท 68 อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การร่วมทุนดังกล่าวเกิดจากการที่ ONEO และทีแอลทีเอช มีวิสัยทัศน์ร่วมกันที่จะเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการบริการ ด้วยความมุ่งมั่นและสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า และขับเคลื่อนพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ของ ONEO ให้มีความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ประจำเติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมทั้งได้มองเห็นศักยภาพการเติบโตในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งบางนาถือเป็นทำเลหน้าด่านเชื่อมต่อสู่พื้นที่ EEC ซึ่งที่ผ่านมาทีแอลทีเอชได้ร่วมทุนกับ ONEO พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูสมาแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ วัน ออริจิ้น สนามเป้า และวัน ออริจิ้น พญาไท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการ วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 เป็นโครงการมิกซ์ยูส ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ติดถนนใหญ่บนถนนสุขุมวิท 68 ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ สามารถเข้าออกได้หลายทาง เช่น ถนนสุขุมวิท และบางนา-ตราด รวมถึงอยู่ใกล้กับบีทีเอส สถานีอุดมสุข เพียง 200 เมตร และห่างจากไบเทค บางนา เพียง 750 เมตร ประกอบด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.โรงแรมระดับพรีเมียม 339 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำคัญ อาทิ พื้นที่จัดประชุมขนาดประมาณ 1,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดไมซ์ (MICE) หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุม การท่องเที่ยว และการจัดแสดงสินค้าหรือบริการ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.อาคารสำนักงานให้เช่า สไตล์ Urban Resort พื้นที่ประมาณ 6,000 ตารางเมตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.พื้นที่ค้าปลีกให้เช่า พื้นที่รวมโดยประมาณ 1,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าในส่วนของโรงแรมจะเริ่มก่อสร้างไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และเปิดดำเนินการภายในไตรมาส 4 ปี 2569&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บางนา เป็นทำเลที่มีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลาย ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งและท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากปี 2567 จะมีห้างสรรพสินค้า Bangkok Mall มิกซ์ยูสขนาดใหญ่กว่า 100 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ห่างจากโครงการวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 เพียง 500 เมตร ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กับโครงการวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 เป็นอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“และเชื่อมั่นว่าวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 จะกลายเป็นมิกซ์ยูสที่มีความโดดเด่นที่สำคัญย่านบางนา พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้พักอาศัยทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนเป็นพื้นที่สำหรับคนวัยทำงานยุคใหม่ และยังเป็นส่วนช่วยยกระดับทำเลบางนาให้กลายเป็นทำเลทองที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ EEC แบบแนบแน่น” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ONEO กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ฮิเดทาสึ อิเคดะ กรรมการ บริษัท ทีแอลทีเอช จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ตลอดจนเป็นประเทศศูนย์กลางที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในตลาดไมซ์ เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์การประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการในทุกระดับอย่างครบครัน ทำให้ ทีแอลทีเอช ยังคงพิจารณาโครงการร่วมทุนใหม่ๆ ที่มีศักยภาพรองรับการเติบโตในอนาคตของตลาดไมซ์ในไทยอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วัน ออริจิ้น นับเป็นพันธมิตรรายสำคัญของเราในประเทศไทย จากประสบการณ์ที่ได้ร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในโครงการมิกซ์ยูสที่จะเริ่มก่อสร้างใหม่ ได้แก่ โครงการวัน ออริจิ้น สนามเป้า และ โครงการวัน ออริจิ้น พญาไท และกลุ่มโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ โรงแรมไอบิส ภูเก็ต กะตะ (Ibis Phuket Kata) โรงแรมไอบิส หัวหิน (Ibis Hua Hin) โรงแรมไอบิส สไตล์ กระบี่ อ่าวนาง (Ibis Style Krabi Ao Nang)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราตระหนักดีกว่า วัน ออริจิ้น คือพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันในการส่งมอบโครงการบนทำเลศักยภาพ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และบริการเหนือระดับ ตอบโจทย์ผู้บริโภค เมื่อประกอบกับคอนเซ็ปต์และที่ตั้งบนทำเลศักยภาพของวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 ทำให้เรามั่นใจในการร่วมทุนในครั้งสำคัญนี้” ฮิเดทาสึ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/property/news/origin-resort-world-phuket" alt="เขย่าอสังหาฯ ภูเก็ต “ออริจิ้น” ทุ่ม 8,000 ล้าน เนรมิตอาณาจักรมิกซ์ยูส 25 ไร่">เขย่าอสังหาฯ ภูเก็ต “ออริจิ้น” ทุ่ม 8,000 ล้าน เนรมิตอาณาจักรมิกซ์ยูส 25 ไร่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บางนายังคงฮอต “วัน ออริจิ้น” ผนึกญี่ปุ่นผุดมิกซ์ยูสใหม่ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้าน

ธนพล ศิริธนชัย สร้าง “สามย่าน มิตรทาวน์” สู่ตำนานบทใหม่ที่เป็นกันเอง

<h2>ความเคลื่อนไหวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกล่าวถึงมากในระยะหลังๆ คือการพัฒนาโครงการบนพื้นที่เช่า หรือลีสโฮลด์ (Leasehold) ซึ่งสอดคล้องกับราคาที่ดินในเมืองที่ปรับตัวขึ้นไปสูงมาก หากพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ฟรีโฮลด์ (ขายกรรมสิทธิ์) กลางใจเมืองในปัจจุบัน ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตขนาดเล็กสุด เกือบ 10 ล้านบาท จึงไม่แปลกที่เทรนด์ที่พักอาศัยแบบสิทธิการเช่าจะมาแรง</h2>
แนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ กำลังเติบโตไปในทิศทางเดียวกับหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก อาคารสูงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะราคาที่ดินปรับตัว สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เริ่มมองแนวโน้มที่พักอาศัยแบบสิทธิการเช่าว่าจะกลายเป็น เทรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์

อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐอย่างเช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เปิดมาสเตอร์แพลนในที่ดินแปลงใหญ่หลายแปลง เช่น บางซื่อ สเตชั่น มักกะสันคอมเพล็กซ์ ที่มีคอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโครงการ รวมถึงแนวคิดที่จะ นำที่ดินรอบตัวสถานีรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ๆ ที่ถือเป็น ที่ดินภาครัฐมาพัฒนาเป็นที่พักอาศัยสิทธิการเช่า รอบสถานีในราคาที่ชนชั้นกลางเอื้อมถึง และหวังจะลดความร้อนแรงของราคาที่ดินใจกลางเมืองลง

แม้ว่าโครงการเหล่านี้จะยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แต่แนวโน้มของโครงการคอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าก็เริ่มเกิดขึ้นบนที่ดินหลายแปลงใหญ่ของภาครัฐ ประเดิมด้วย โครงการ Sindhorn Village ที่พัฒนาโดยบริษัท สยามสินธร จำกัด บนที่ดินเช่าสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระดับ ลักชัวรี่

นอกจากนี้ กลุ่มโรงแรมดุสิตที่จับมือกับซีพีเอ็น เปิดตัว “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ก็เปิดตัวที่พักอาศัย สิทธิการเช่าระดับลักชัวรี่ โดยจะใช้ 2 แบรนด์ ได้แก่ Dusit Residences จำนวน 159 ยูนิต พื้นที่ตั้งแต่ 120-600 ตารางเมตร และ Dusit Parkside จำนวน 230 ยูนิต พื้นที่ตั้งแต่ 60-80 ตารางเมตรเช่นเดียวกับโครงการยักษ์ใหญ่ที่หลายคนจับตาอย่าง One Bangkok บนที่ดินสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ ล่าสุดเพิ่งเผยมาสเตอร์แพลน ว่าจะมีคอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 110 ยูนิต คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2563 พื้นที่เริ่มต้นที่ 130 ตารางเมตร ราคาราวๆ 700,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นราคาสิทธิการเช่าที่สูงสุดในตลาด

<img class="alignnone wp-image-25180 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/อสังหาฯ-ลีสโฮลด์.jpg" alt="ราคาอสังหาริมทรัพย์แบบ ลีสโฮลด์" width="800" height="401" />
<h2>มิกซ์ยูส เทรนด์ใหม่คอนโดลีสโฮลด์</h2>
ผู้ประกอบการหลายรายที่หันมาลงทุนพัฒนาโครงการแบบลีสโฮลด์ ล้วนมีมุมมองคล้ายกันคือ เลือกพื้นที่ทำเลทองแต่มองโอกาสในการทำตลาดในราคาที่ต่ำลง เช่นเดียวกับ ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า คอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์จะเกิดได้ต้องอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง หรือไม่สามารถหาซื้อที่ดินแบบซื้อขายได้ ซึ่งเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานของรัฐ โดยทำเลหลักของคอนโดมิเนียมเหล่านี้ คือ ราชดำริ หลังสวน และพระราม 4 อีกทั้งในระยะหลังคอนโดมิเนียม

<figure><img class="wp-image-25177 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/ธนพล-ศิริธนชย.jpg" alt="ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)" width="800" height="619" /><figcaption> ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ลีสโฮลด์จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งแต่ละองค์ประกอบก็จะสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างลงตัวจากการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ตั้งแต่ปี 2560-2562 มีคอนโดสิทธิการเช่าระยะยาวเกิดขึ้นใหม่ราว 1% ของตลาดคอนโดมิเนียมทั้งหมด โดยทุกโครงการจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง เชื่อมต่อรถไฟฟ้า จุดเด่นสำคัญของคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์

นอกจากอยู่ในทำเลที่ดี หาซื้อยากแล้ว ยังต้องมีราคาถูกกว่าประมาณ 30-40% เมื่อเทียบกับฟรีโฮลด์ ในย่านเดียวกัน และภายในย่านเดียวกัน ลีสโฮลด์จะอยู่ในพิกัดที่สะดวกกว่า เช่น ลีสโฮลด์ติดสถานีรถไฟฟ้า อยู่ใจกลางแหล่งธุรกิจ แหล่งการศึกษา แต่ฟรีโฮลด์ จะต้องเดินต่อไปอีก 400-800 เมตร จึงเป็นจุดที่ดึงให้คน ยังมาสนใจลีสโฮลด์ได้
<h2>ลีสโฮลด์ไพร์มแอเรียราคาเพิ่มทุกปี</h2>
นอกจากผู้ประกอบการแล้ว บริษัทที่ปรึกษาการลงทุน และการตลาดก็ให้ความสำคัญเก็บตัวเลขสถิติตลาดคอนโดมิเนียมมาอย่างต่อเนื่อง นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวในมุมมองการลงทุนคอนโดมิเนียมลีสโฮลด์ว่า ในประเทศไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศเช่น อังกฤษ หรือสิงคโปร์ ยังไม่แพร่หลายเท่า

ความแตกต่างสำคัญคือเรื่องระยะเวลาของสัญญาเช่า เนื่องจากคอนโดมิเนียมลีสโฮลด์ ในประเทศไทยมีระยะเวลาการเช่าที่กฎหมายรับรองที่ 30 ปี ในขณะที่ในบางประเทศกฎหมายรองรับถึง 99 ปี

<figure><img class="wp-image-25178 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/นางนลินรัตน์-เจริญสุพงษ์-กรรมการผู้จัดการ-บริษัท-เน็กซัส-พร.jpg" alt="นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด" width="800" height="533" /><figcaption> นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด</figcaption></figure>

นอกจากนี้ที่ดินที่มีศักยภาพและเป็นที่ยอมรับในการให้เช่าระยะยาวในประเทศไทย ยังมีอยู่อย่างจำกัด เมื่อเทียบกับต่างประเทศความเชื่อสำหรับคนส่วนใหญ่ในการลงทุนคอนโด-มิเนียม ลีสโฮลด์ คือมูลค่าของคอนโดมิเนียมจะลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อสัญญาเช่ามีจำนวนปีลดลง ซึ่งความเชื่อ ดังกล่าวไม่ได้ถูกต้องนัก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมลีสโฮลด์ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ที่เป็น ทำเลซูเปอร์ไพร์มได้ถูกพัฒนาขึ้นมากกว่า 20 โครงการโดยส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณหลังสวน ราชดำริ และ สามย่าน ราคาไม่ได้ปรับลดลงตามจำนวนปีของสัญญาเช่าที่ลดลงเลย ในทางตรงข้ามกลับปรับตัวสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง

อย่ำงไรก็ตำม ข้อจำกัดของคอนโดมิเนียมลีสโฮลด์ในประเทศไทยยังคงมีอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของผู้ซื้อ ที่รู้สึกว่าไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่แท้จริงเมื่อเทียบกับคอนโดฟรีโฮลด์ ซึ่งกำรแก้ปัญหาเรื่องนี้จะทำได้ให้กฎหมายไทยอนุญาตให้จดสิทธิการเช่าได้มากกว่า 30 ปีที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อรายย่อยยังมีอยู่จำกัด และระยะเวลาการให้กู้จะสั้นกว่าฟรีโฮลด์

เรื่อง: ฐิตาภา ญาณพัฒน

<hr />

<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/bebabb02-eb1c-4942-ab9c-3fbf41894111/forbes-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99-2562">คลิกเพื่ออ่านบทความทางด้านการลงทุนได้ที่ Forbes Life แถมฟรีมาในนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2019 ในรูป e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-24460" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/ForbesLifeNov2019.jpg" alt="" width="300" height="359" />

“ลีสโฮลด์” ทางเลือกมาแรงยุคที่ดินในเมืองราคาพุ่ง

<h2>ออริจิ้นกางแผนเป้าหมายการเติบโตถึงปี 2565 หวังทำรายได้ 27,500 ล้านบาท เบ่งพอร์ตโครงการแนวราบ-อสังหาฯ เพื่อเช่าเร่งการเติบโต กลยุทธ์สำคัญพัฒนา Mixed-use เพิ่มมูลค่า สำหรับปี 2561 เตรียมเปิดตัว 14 โครงการใหม่ 30,000 ล้านบาท</h2>
แม้ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เพิ่งก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2552 เริ่มต้นจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่างในย่านแบริ่ง-ลาซาลเลยไปจนถึง จ. สมุทรปราการ แต่เพียง 6 ปีให้หลังออริจิ้นมีความพร้อมมากพอที่จะเปิดขายหุ้น IPO และช็อกวงการอีกครั้งเมื่อเข้าเทกโอเวอร์กิจการ บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ในปี 2560 เป็นการเรียนลัดเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ระดับบน อีกทั้งได้พันธมิตรต่างชาติคือ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด จากญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุน

ในอีก 5 ปีจากนี้ ออริจิ้นยังวางแผนการเติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่อง โดย พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กางกราฟทิศทางการเติบโตของรายได้บริษัทช่วงปี 2561-2565 (ไม่รวมโครงการร่วมทุน) วางเป้ารายได้ปีนี้ที่ 15,500 ล้านบาท และต้องการเติบโต 10-23% ทุกปีสู่เป้า 27,500 ล้านบาทในปี 2565

<img style="width: 680px; height: 503px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/66c724b9c87a1f44908fd9da330e1ab1.png" alt="" />

ทั้งนี้ พีระพงศ์ชี้ให้เห็นว่าเมื่อถึงปลายทางที่ปี 2565 “ทุกเครื่องยนต์ของบริษัทจะเดินไปด้วยกัน” จากเดิมที่ออริจิ้นเคยพัฒนาเฉพาะโครงการแนวสูง แต่ตั้งแต่ปีก่อน บริษัทเริ่มเปิดโครงการแนวราบแห่งแรกคือ “บริทาเนีย ศรีนครินทร์” และพอร์ตโครงการแนวราบจะกลายเป็นพอร์ตสำคัญที่ขยายตัวทุกปีจนถึงหลักหมื่นล้านในปี 2565 คิดเป็นสัดส่วน 36% ของรายได้รวม

รวมถึงพอร์ตรายได้จากอสังหาฯ เพื่อเช่า เช่น โรงแรม อะพาร์ตเมนต์ ออฟฟิศบิลดิ้ง หรือโกดังที่กำลังศึกษาร่วมกับโนมูระ และธุรกิจบริการ เช่น นิติบุคคล แม่บ้าน เอเย่นต์ขาย-เช่า จะมีสัดส่วนราว 5-6% ของรายได้ทั้งหมด

ในขณะที่โครงการร่วมทุนกับโนมูระจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2563 เมื่อถึงปี 2565 คาดว่ารายได้ส่วนนี้จะอยู่ที่ 14,500 ล้านบาท แต่การบันทึกในบัญชีจะรับรู้ในรูปของกำไรสุทธิ

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/87e9ce92edcd08dee58e2571814651a6.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> (จากซ้าย) จตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด, พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, ปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>รอโอกาสผุด Mixed-use อีก 2 ทำเล</h2>
สำหรับกลยุทธ์สู่เป้าหมาย พีระพงศ์กล่าวถึงการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Mixed-use โดยเริ่มจากปีก่อนที่ออริจิ้นซื้อกิจการพราวด์ เรสซิเดนซ์ ทำให้ได้โครงการคอนโดมิเนียม “พาร์ค 24” ย่านพร้อมพงษ์ไว้ในมือ และยังเช่าที่ดินโดยรอบเพิ่มเติม รวมเนื้อที่ทั้งหมด 17 ไร่ บริเวณพาร์ค 24 จึงเป็น Mixed-use แห่งแรกของออริจิ้น จากคอนโดฯ 2 อาคารเดิมของพราวด์ฯ ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ปี 2560-61 และที่บริษัทจะก่อสร้างเพิ่มเป็นโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ในชื่อ “ออริจิ้น 24” และคอมมูนิตี้มอลล์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3/61 รวมมูลค่าโครงการนี้ 23,000 ล้านบาท

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4299807d41fdbd9c8f3f219858783683.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> โครงการพาร์ค 24</figcaption></figure>

&nbsp;

ในปีเดียวกัน ออริจิ้นซื้อที่ดินจาก ตัน ภาสกรนที บริเวณโครงการอารีนา 10 ในซอยทองหล่อ ที่ดินขนาด 13 ไร่ เตรียมพัฒนารูปแบบ Mixed-use แบบเดียวกับพาร์ค 24 เริ่มเฟสแรกก่อสร้างคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีภายใต้แบรนด์พาร์คในปีนี้ และจะตามด้วยโรงแรม อะพาร์ตเมนต์ คอมมูนิตี้มอลล์ในเฟสต่อไป รวมมูลค่าโครงการ 37,000 ล้านบาท วางแผนก่อสร้างเสร็จทั้งหมดภายในปี 2566

สุดท้ายคือแปลงที่ดิน 4 ไร่บริเวณริมถนนพญาไท จะก่อสร้าง Mixed-use คอนโดฯ ออฟฟิศบิลดิ้ง และโรงแรม มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ช่วงปลายปี

นอกจากนี้ บริษัทยังซื้อแปลงที่ดินย่านใจกลางเมืองอีก 2 แปลงเตรียมพัฒนาเป็นคอนโดฯ แบรนด์พาร์คในปีหน้า และมีความต้องการจะขยายเป็นโครงการ Mixed-use ต่อไป

“พาร์คอีก 2 โครงการจะเริ่มจากพัฒนาเป็นคอนโดฯ เป็นฐานไว้ก่อน ถ้าสามารถขยายหาที่ดินรอบๆ ได้ก็จะพัฒนาอสังหาฯ อื่นๆ ต่อไป เช่น ถ้าเป็นอสังหาฯ เพื่อเช่าจะเป็นที่ดินเช่าก็สามารถทำได้” พีระพงศ์กล่าว

&nbsp;
<h2>โครงการแนวราบขยายสู่ EEC</h2>
ด้าน ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า สำหรับโครงการแนวราบของบริษัทจะเปิดโครงการทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท

<figure><img style="width: 350px; height: 470px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4219655dff948e7941ad412b247a55b2.png" alt="" width="350" height="470" /><figcaption> บริทาเนีย ศรีนครินทร์ โครงการแนวราบแห่งแรกของออริจิ้น</figcaption></figure>

โดยจะมีทั้งทำเลโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก ถนนบางนา-ตราดและถนนศรีนครินทร์ รวมถึงจะมีโครงการแนวราบในต่างจังหวัดแห่งแรกที่ จ. ระยอง ซึ่งอยู่ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ภาครัฐสนับสนุน และพอร์ตโครงการแนวราบใน EEC จะเป็นส่วนสำคัญของบริษัทต่อไป

กลุ่มสินค้าและราคาโครงการแนวราบที่ออริจิ้นจะพัฒนาประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์และโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดราคา 5-8 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 8-20 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการลูกค้าทุกระดับ

&nbsp;
<h2>ปี 2561 ยังเป็นตลาดบน ปีหน้ากำลังซื้อกลาง-ล่างจะกลับมา</h2>
ด้านแผนธุรกิจปี 2561 พีระพงศ์ กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย 14 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 10 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 15,500 ล้านบาท โดยมีแบ็กล็อกรอโอนกรรมสิทธิ์ภายในปีนี้แล้ว 12,000 ล้านบาท

ในปีนี้สัดส่วนโครงการเปิดตัวใหม่จะเน้นเจาะกำลังซื้อระดับบนเป็นหลัก ผ่านแบรนด์พาร์คซึ่งเป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรี ราคามากกว่า 2 แสนบาท/ตร.ม. สัดส่วน 60% ของมูลค่าโครงการเปิดตัวทั้งหมด และแบรนด์ไนท์บริดจ์ คอนโดฯ ระดับบนราคา 1.2-2 แสนบาท/ตร.ม. สัดส่วน 21%

อย่างไรก็ตาม ปี 2562 บริษัทจะกลับมาเน้นหนักกลุ่มคอนโดฯ กลางและล่างอีกครั้ง โดยคาดว่าสัดส่วน 50-60% ของพอร์ตโครงการเปิดใหม่จะเป็นแบรนด์เคนซิงตันและน็อตติ้ง ฮิลล์ ราคา 8 หมื่น-1.2 แสนบาท/ตร.ม. และแบรนด์บีลอฟท์ราคาต่ำกว่า 8 หมื่นบาท/ตร.ม.

“เชื่อว่ากลางปีหน้า คอนโดฯ ห้องละ 1 ล้านกว่าบาทจะกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เพราะมีหลายสำนักคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยแล้วว่าจะโตราว 4% ติดต่อกัน 2 ปี ซึ่งจะทำให้เงินหมุนถึงมือประชาชนกลุ่มกลางล่างในช่วงปีหน้า ส่วนปีนี้บริษัทยังเกาะกลุ่มกำลังซื้อคอนโดฯ ห้องละ 5-10 ล้านบาทก่อน โดยมีอานิสงส์ดอกเบี้ยผ่อนบ้านต่ำ 2-3% เกื้อหนุนให้คนซื้อของได้คำใหญ่ขึ้น สมมติคอนโดฯ ราคา 7 ล้านบาทในยุคนี้ ลูกค้ามีรายได้ 7 หมื่นบาท/เดือนก็สามารถซื้อได้แล้ว” พีระพงศ์กล่าว

สูตรอสังหาฯ ฉบับ ‘ออริจิ้น’ เกิดจากคอนโดฯ โตด้วยแนวราบ-ค่าเช่า

<h2>กลยุทธ์การพัฒนาที่ดินยุคใหม่ในกรุงเทพฯ เริ่มมีกระแสการพัฒนาในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส-ผสมผสานอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบนที่ดินขนาดใหญ่นับหลักสิบไร่ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของทำเลซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่</h2>
Forbes Thailand ได้รวบรวมตัวอย่างโครงการมิกซ์ยูสบนที่ดินขนาด 10 ไร่ขึ้นไปในกรุงเทพฯ 4 แห่ง ที่มีการผสมผสานการใช้ประโยชน์ที่ดิน 3 รูปแบบขึ้นไป มีทั้งโครงการที่เริ่มก่อสร้างเสร็จเป็นบางส่วนและอยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งน่าจับตามองในฐานะโครงการผู้พลิกโฉมทำเลในอนาคต

&nbsp;

เดอะ แกรนด์ พระราม 9

<figure><img style="width: 680px; height: 340px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6bda268d21ac2e7be0f9cba03fa815c6.png" alt="" width="680" height="340" /><figcaption> (ขอบคุณภาพจาก: grandcanalland.com)</figcaption></figure>

หัวมุมแยกถนนรัชดาภิเษกตัดถนนพระราม 9 คือที่ตั้งของที่ดินขนาด 73 ไร่ในมือ บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือตระกูล บุญดีเจริญ ที่ถือที่ดินนี้มาตั้งแต่ก่อนปี 2550 ก่อนจะเริ่มเปิดตัวเมกะโปรเจ็กต์ที่จะพัฒนาที่ดินทั้งผืนราวปี 2552 โดยมีมูลค่าโครงการรวม 6 หมื่นล้านบาท พื้นที่ใช้สอยรวม 1.2 ล้านตารางเมตร ตามแผนงานโครงการที่ใช้ชื่อว่า “เดอะ แกรนด์ พระราม 9” นี้จะประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ได้แก่
<ul>
 	<li>พื้นที่รีเทล: เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม 9 และ เดอะ ช้อปเปส แอท เบล แกรนด์ พระราม 9</li>
 	<li>สำนักงานให้เช่า: เดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ส, ยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์, จี ทาวเวอร์ และ เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ ซึ่งจะมีพื้นที่เช่ารวมกันกว่า 5 แสนตารางเมตร</li>
 	<li>ที่พักอาศัย:  เบล แกรนด์ อเวนิว คอนโดมิเนียม 8 อาคาร จำนวน 2,000 ยูนิต</li>
 	<li>โรงแรม: นิวเวิลด์ แกรนด์ พระราม 9 กรุงเทพฯ</li>
</ul>
ซึ่ง GLAND ได้ทยอยพัฒนาก่อสร้างทีละส่วน ปัจจุบันเปิดบริการไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยจี ทาวเวอร์ เป็นอาคารล่าสุดที่เปิดใช้เมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา

ส่วนที่ยังรอการพัฒนาต่อไปคือโรงแรม นิวเวิลด์ แกรนด์ พระราม 9 กรุงเทพฯ ที่จะเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว และโครงการไฮไลต์ที่น่าจับตามองคือ “เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์” ซึ่งเฉพาะส่วนนี้ใช้เม็ดเงินลงทุน 1.8 หมื่นล้านบาท วางแผนให้เป็นตึกที่สูงที่สุดในไทยและอาเซียน ด้วยความสูง 615 เมตร 125 ชั้น เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2558 ด้วยความสูงนี้ทำให้ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4-5 ปี กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมใช้บริการปี 2563

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c316d690f935f37d541a7a16de812139.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ หากก่อสร้างเสร็จจะเป็นตึกสูงที่สุดในไทยและอาเซียน ด้วยความสูง 615 เมตร</figcaption></figure>

ความสำคัญ: ย่านรัชดา-พระราม 9 ถือเป็นพื้นที่ นิวซีบีดี หรือ ย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ขยายจากย่านซีบีดีเก่าอย่างสีลม สาทร สุขุมวิท ซึ่งการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่มีครบทั้งสำนักงานขนาดใหญ่ ศูนย์การค้า และที่อยู่อาศัย ที่สำคัญแลนด์มาร์กใหม่คือ เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ หากก่อสร้างเสร็จจะทำให้เพิ่มความคึกคัก ดันทำเลรัชดา-พระราม 9 สู่การเป็นย่านนิวซีบีดีมากขึ้น

&nbsp;

ไอคอนสยาม ถ.เจริญนคร

<img style="width: 680px; height: 309px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/315d0934bca0fa6e328cb2354a4431d1.png" alt="" />

3 ประสาน สยามพิวรรธน์-MQDC-เครือซีพี ลงขันปลุกย่านธนบุรีด้วยโครงการ “ไอคอนสยาม” บนที่ดินขนาด 50 ไร่ ฝั่งหนึ่งติดถนนเจริญนคร อีกฝั่งติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ระหว่างโรงแรมเพนนินซูล่าและโรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน โครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5.5 หมื่นล้านบาทเนรมิตเป็นโครงการสุดหรูซึ่งประกอบไปด้วย
<ul>
 	<li>พื้นที่รีเทลรวม 5.25 แสนตร.ม. บริหารโดยสยามพิวรรธน์และห้างฯ Takashimaya พันธมิตรจากญี่ปุ่น และจะมีศูนย์ประชุม โรงมหรสพ โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ</li>
 	<li>ที่พักอาศัย: แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนเซส และ <a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1611">เดอะ เรสซิเดนเซส แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ</a></li>
 	<li>ทางเดินเลียบแม่น้ำยาว 500 เมตร พร้อมจัดกิจกรรมแสงสีเสียง</li>
 	<li>รถไฟฟ้าสายสีทอง กรุงธนบุรี-คลองสาน</li>
</ul>
โครงการนี้ผู้บริหารต่างมีความตั้งใจปั้นให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังแถลงการจับมือร่วมทุนเมื่อปี 2555 และดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง คาดว่าส่วนรีเทลจะสร้างเสร็จภายในปี 2560 ส่วนที่พักอาศัยจะเริ่มโอนได้ในปี 2561

<img style="width: 340px; height: 337px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1b03fa7fc1555963bd777bd9bf3f4faf.png" alt="" />

ความสำคัญ: แม้ก่อนหน้านี้จะมีโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ที่ปลุกความคึกคักริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ไอคอนสยามมีทำเลที่ต่างออกไปคือเลือกตั้งบนฝั่งธนบุรีต่างจากโครงการพาณิชย์อื่นที่เลือกทำเลบนฝั่งรัตนโกสินทร์ อีกทั้งเป็นโครงการระดับเมกะโปรเจ็กต์ หลังจากโครงการเปิดตัว ทำให้ที่ดินในบริเวณขยับราคาสูงขึ้น จากข้อมูลของคอลลิเออร์สรายงานโดยนสพ.โพสต์ทูเดย์ พบว่าเมื่อปี’57 ราคาที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่ 4.5 แสนบาท/ตร.ว. ปรับขึ้น 70% จากปี’54 หรือเฉลี่ยสูงขึ้นปีละ 23%

&nbsp;

Whizdom 101 ปุณณวิถี

<img style="width: 680px; height: 378px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6a01976550f776ff0d75c714a23be62c.png" alt="" />

ข้ามโซนมาที่ถนนสุขุมวิทช่วงสถานี BTS ปุณณวิถี พื้นที่ 43 ไร่ซึ่งเดิมเคยเป็น ปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ศูนย์กีฬาเก่าแก่ที่ดึงดูดชนชั้นกลางถึงสูงในย่านเข้ามาใช้บริการ ซึ่ง บมจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) บริษัทอสังหาฯในมือตระกูล เจียรวนนท์ เข้าซื้อที่ดินทั้งหมดและวางผังพื้นที่ใหม่เป็นโครงการ <a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1547">“Whizdom 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน)”</a> มูลค่าโครงการ 3 หมื่นล้านบาท ภายในประกอบด้วย
<ul>
 	<li>คอนโดมิเนียม 3 อาคาร รวม 3,000 ยูนิต: วิสซ์ดอม คอนเนค, วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ และอีก 1 โครงการที่รอการเปิดตัว</li>
 	<li>สำนักงานให้เช่า 2 เฟส รวมพื้นที่ 7 หมื่นตร.ม.</li>
 	<li>พื้นที่รีเทล 2 หมื่นตร.ม. : Hillside Town และ 24 Hours Street</li>
 	<li>สปอร์ตคลับ 1 หมื่นตร.ม.</li>
</ul>
MQDC เริ่มออกแบบโครงการเมื่อปี 2558 และคาดว่าจะเปิดบริการได้เต็มรูปแบบในเดือนตุลาคม 2561

<img style="width: 680px; height: 359px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/7bd7be5e06cf8ba52ca34f8aca40609d.png" alt="" />

ความสำคัญ: ทำเลถนนสุขุมวิทช่วงอ่อนนุช-อุดมสุข ที่ผ่านมาเป็นเขตที่พักอาศัยผสมกับบริษัทขนาดกลางถึงเล็กซึ่งมีที่ดินหรืออาคารพาณิชย์ของตนเอง และยังไม่มีโครงการอสังหาฯขนาดใหญ่ในแบบมิกซ์ยูส ดังนั้น Whizdom 101 จึงเป็นโครงการที่เข้ามาบุกเบิก ซึ่งเปลี่ยนให้พื้นที่มีการใช้งานเชิงพาณิชยกรรมสูงขึ้นอีกระดับ

&nbsp;

One Bangkok ถ.พระราม 4-วิทยุ

<img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/723c383b61d700d4a557172a9b6dd67b.png" alt="" />

โครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดเพิ่งประกาศเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน’60 <a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1551">“One Bangkok”</a> โครงการอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินขนาด 104 ไร่ หัวมุมถนนพระราม 4-วิทยุ ตรงข้ามสวนลุมพินี มูลค่าโครงการรวม 1.2 แสนล้านบาท พื้นที่ก่อสร้าง 1.83 ล้านตร.ม. ซึ่ง ทีซีซี กรุ๊ป ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นผู้เช่าที่ดินผืนงามนี้จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเวลา 30+30 ปี

<img style="width: 680px; height: 377px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c67581a427339d74b907fd1588d4b0a8.png" alt="" />

ที่ดินเดิมเคยเป็นที่ตั้งสวนลุมไนท์บาซาร์ ขณะที่โครงการใหม่ One Bangkok มีคอนเซปท์การพัฒนาเป็น City within the city เสมือนเป็นเมืองใหม่เมืองหนึ่ง ประกอบด้วย
<ul>
 	<li>สำนักงานให้เช่า 5 อาคาร พื้นที่รวม 5 แสนตร.ม. : อาคารไฮไลต์คือ อาคารดอกพิกุลสูง 380 เมตร 90 ชั้น</li>
 	<li>โรงแรมระดับ 5 ดาว 5 แห่ง รวมจำนวน 1,000 ห้อง</li>
 	<li>คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้า ลักเซอรี่ 3 อาคาร</li>
 	<li>พื้นที่รีเทล 4 แห่ง</li>
</ul>
ซึ่งแผนงานที่วางไว้จะเริ่มเปิดบริการพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ในปี 2564 ก่อนจะเปิดเต็มรูปแบบในปี 2568 รองรับผู้ใช้บริการและพักอาศัยในโครงการได้ 6 หมื่นคน

ความสำคัญ: นอกจากจะเป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว ทำเลสวนลุมพินียังถือเป็นย่านซีบีดีดั้งเดิม การพัฒนาโครงการผืนใหญ่นับร้อยไร่กลางเมืองในลักษณะเมืองใหม่จึงน่าจับตามองอย่างยิ่ง

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events